ทุกวันนี้หลายคนรู้จักผม ( เพชร – ภมรพล ประเสริฐสุข ) ในฐานะนักแสดง แต่กว่าที่ผมจะมาถึงจุดนี้ได้ไม่ง่ายเลย
1
ผมเป็นลูกคนเดียว ครอบครัวอาศัยอยู่ในชุมชนแออัด เนื่องจากพ่อแม่มีปัญหาเรื่องเงินอย่างหนัก จึงต้องส่งผมไปอยู่ที่วัด ช่วงเรียนอยู่ชั้น ป. 4 พ่อเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับ ฐานะการเงินที่คลอนแคลนอยู่แล้วยิ่งทรุดลงไปอีก แม่ช็อกมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องออกจากงานเพราะทํางานต่อไม่ได้
2
ตอนนั้นน้าส่งเสียให้ผมได้เรียนหนังสือ แต่ผมคิดว่าเมื่อแม่ทํางานไม่ได้เราต้องเป็นเสาหลักให้ครอบครัว จึงพยายามหางานพิเศษทําเพื่อหารายได้มาช่วยที่บ้าน ช่วงปิดเทอมผมทํางานเป็นพนักงานเดินสายเคเบิลย่านคลองเตย ไปกินอยู่ในที่พักของสํานักงานที่จัดไว้ให้คนงาน ต้องนอนเบียดกัน 7 คนในห้องแคบ ๆ ตื่นตีห้าเพื่อไปทํางาน ช่วย
กันโยงสายเคเบิลบนตึกสูง
3
ระหว่างทํางานผมเห็นการซื้อขายยาเสพติดอย่างเปิดเผย บางทียัดใส่มือกันต่อหน้าต่อตา แต่ก็ต้องทําเฉย ๆ เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเองเหมือนกัน นานวันไปเริ่มรู้สึกว่างานนี้ไม่ปลอดภัยกับชีวิต จึงเลิกทํา จากนั้นไปสมัครงานเป็นพนักงานแบกน้ํำแข็งในโรงน้ํำแข็ง ทําจนเปิดเทอมก็กลับมาเรียนหนังสือ เหนื่อยแทบขาดใจ แต่บอกตัวเองว่าท้อไม่ได้ เพราะไม่อยากให้แม่ลําบากไปมากกว่านี้อีกแล้ว
4
ระหว่างเรียนหนังสือผมเริ่มรู้ว่าตัวเองชอบการแสดง หลังจากมีโอกาสได้แสดงละครหน้าห้องแล้วได้รับเสียงปรบมือและคําชื่นชม ซึ่งทําให้รู้สึกว่าผมมีตัวตนอยู่ในสังคม ผมได้เป็นตัวแทนห้องไปประกวดละครธรรมะ เคยรวมทีมกันไปแข่งจนถึงเวทีระดับประเทศ สนุกมาก รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เราทําแล้วมีความสุข
5
แม้จะชอบการแสดงแค่ไหน ผมก็ไม่กล้าฝันว่าจะได้เป็นนักแสดง เพราะเงินจะกินข้าวแต่ละมื้อยังแทบไม่มี เดี๋ยวอดบ้าง เดี๋ยวมีบ้าง ตอนนั้นแค่อยากมีเงินเข้าเซเว่นแล้วซื้อของที่อยากได้ก็เพียงพอแล้ว เพราะปกติเวลาเข้าเซเว่นผมทําได้แค่ไปเดินตากแอร์และอ่านหนังสือฟรีแค่นั้น การเป็นดาราจึงดูห่างไกลและเป็นไปไม่ได้
6
ช่วงเรียนมัธยมต้น แม้แม่กลับมาทํางานได้แล้วแต่ก็โดนไล่ออกบ่อย ๆ ผมจึงตั้งใจว่าต้องทํางานช่วยแม่ งานที่ทําช่วงนั้นคือพนักงานเสิร์ฟ คงเพราะผมเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี ทําให้แขกชอบและให้ทิปผมมากกว่าเพื่อนพนักงานจนคนอื่นหมั่นไส้และโดนแกล้งให้ทํางานอยู่หลังร้าน รายได้ก็ลดลงเพราะไม่ได้เงินจากทิปเหมือนเดิม
7
ผมทํางานนี้จนเรียนจบชั้นมัธยมต้นแล้วเลือกเรียนต่อสายอาชีพ เพราะจะได้มีเวลาไปทํางานหาเงินมาช่วยแม่ หลังจากเรียนไปได้ไม่นานเพื่อนมาชวนให้ไปประกวด Cute Girls & Boys Thailand ตอนนั้นผมคิดแล้วว่าถ้าอยากให้แม่สบาย อาชีพที่ได้เงินเป็นกอบเป็นกําคือนักธุรกิจและนักแสดง แม้ตอนเด็ก ๆ ไม่เคยคิดฝันว่าจะไปเป็นนักแสดงได้ แต่เมื่อโอกาสมาถึงแล้วผมต้องคว้าไว้ จึงเข้าประกวดทันที
8
บรรยากาศภายในงานประกวดเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย มีผู้ประกวดชายประมาณ 800 คน และหญิงประมาณ 1,000 คน แต่จะคัดเหลือเพียง 20 คนเท่านั้น ทุกคนมาแบบสวยหล่อแต่งกายมาประชันกันแบบไม่มีใครยอมใคร ต่างกับผมที่ใส่เพียงเสื้อยืดกางเกงยีนสีดําและรองเท้าผ้าใบมือสอง ตอนนั้นถ้าถามผมว่าพร้อมแค่ไหน กายภาพของผมอาจไม่พร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะตอนนั้นน้ํำหนัก 90 เศษ แต่โชคดีที่เป็นคนสูงเลยดูไม่อ้วนเท่าไหร่ ส่วนเรื่องใจผมสู้เกินร้อย
9
ก่อนเวลาประกวดผมนั่งข้าง ๆ พี่คนหนึ่งเขาดูเป๊ะมากตั้งแต่หัวจรดเท้า เขามองผมแล้วเตือนอย่างหวังดีว่า
10
“พี่ว่าทรงผมน้องไม่ได้เรื่องเลย ไปทํามาใหม่ให้มันดูเป็นผู้เป็นคนหน่อยดีไหม”
11
เผอิญว่างานประกวดจัดในห้างสรรพสินค้า ผมจึงเดินออกไปหาบู๊ธเครื่องสําอาง เพื่อจะได้จัดแต่งทรงผมแบบไม่เสียเงิน ในขณะที่พนักงานประจําบู๊ธกําลังสาธิตการแต่งหน้าทําผม ผมก็ไปหยิบสเปรย์ของเขามาฉีดผม เพื่อนที่มาด้วยกันก็ช่วยกันเซตแบบตามมีตามเกิดเพราะรีบมาก ทุกคนในละแวกนั้นมองผมและเพื่อนเป็นตาเดียว พอกลับไปนั่งประจําที่พี่ที่นั่งข้าง ๆ คนเดิมเห็นทรงผมใหม่ก็พยักหน้าให้เป็นเชิงว่ามันดีขึ้นแล้ว เมื่อถึงเวลาประกวดผมเดินขึ้นเวทีด้วยความประหม่า ใจเต้นอย่างควบคุมไม่อยู่
12
“สวัสดีครับ ผมชื่อเพชร – นพรัตน์ ประเสริฐสุข น้ํำหนัก 180 กิโลกรัม ส่วนสูง 90 เซนติเมตรครับ”
13
สิ้นเสียงการแนะนําตัวของผม เกิดเสียงหัวเราะครืนใหญ่ลั่นกองประกวด ผมอายมาก แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ได้แต่นั่งรอผลด้วยใจจดจ่อ คิดว่าอาจไม่ผ่าน เพราะแค่แนะนําตัวเองก็พลาดเสียแล้ว
14
ผลการตัดสินรอบแรกจาก 1,000 คนเศษ ๆ คัดเหลือ 400 คน ผมติด 1 ใน 400 ในขณะที่พี่ที่แนะนําให้ผมไปเปลี่ยนทรงผมตกรอบ พี่เขามาแสดงความยินดีกับผมแล้วเดินจากไป ผมยังงงอยู่และคิดว่าอาจเป็นเพียงฝันไป พอตั้งสติได้ผมดีใจมาก รีบเดินออกมาบอกข่าวดีกับเพื่อนที่รออยู่ เพื่อนฉลองกับผมด้วยการแกะมาม่าที่มีติดตัวอยู่ 1 ห่อ ใส่เครื่องที่แถมมาในซองคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วกินแบบดิบ ๆ เพราะพวกเราไม่มีเงินซื้อข้าว มันหมดไปกับค่ารถเมล์ที่นั่งมาเรียบร้อยแล้ว
การประกวดยังเป็นไปอย่างเข้มข้น แต่ผมก็สามารถฝ่าด่านมาได้จนถึงรอบ 50 คนสุดท้าย ซึ่งกว่าจะมาถึงรอบนี้ได้ก็เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว ผมและเพื่อนกลับบ้านไม่ได้เพราะรถเมล์ฟรีหมด จึงปรึกษาเพื่อนว่าจะทําอย่างไรต่อดี จะเดินก็ไกลมาก แล้วพรุ่งนี้กองประกวดนัดเช้าตรู่ กลัวว่าถ้ากลับดึกกว่านี้พรุ่งนี้อาจมาไม่ทัน ผมตัดสินใจขอยืมเงินพี่คนหนึ่งที่มาประกวดเหมือนกัน บอกเขาตามตรงว่าไม่มีเงินกลับบ้าน เขาให้เงินผมมา 500 บาททําให้ผมสามารถกลับบ้านได้โดยสวัสดิภาพ แต่จนทุกวันนี้ผมไม่ได้เจอพี่คนที่ให้ยืมเงินอีกเลย
15
เช้าวันรุ่งขึ้นผมใส่เสื้อยืดกางเกงยีนเหมือนเคย เพราะมันคือดีที่สุดของผมแล้ว ในขณะที่คนอื่น ๆ ใส่ชุดหรูหรามาก แต่ละคนมีผู้ปกครองมาส่ง มีโทรศัพท์มือถือราคาแพง ผมรู้สึกว่าพวกเขาอยู่คนละโลกกับผม และรู้สึกแย่มากเมื่อสไตลิสต์เรียกให้ผมเข้าไปเอาเสื้อผ้าที่ทางกองประกวดเตรียมไว้ให้หลังเวที เขามองผมหัวจรดเท้าด้วยสายตาดูถูกพร้อมกับบอกว่า
16
“รองเท้าใหม่ ๆ ไม่มีปัญญาซื้อหรือไง ใครเลือกเข้ารอบมาเนี่ย”
17
ผมตัวชาไปหมด เจ็บแน่นอยู่ในอกได้แต่ถามตัวเองว่าผมทําอะไรผิด เสื้อผ้าพวกนี้มันคือดีที่สุดในชีวิตผมแล้ว คนเราวัดกันแค่การแต่งตัวอย่างนั้นหรือ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ปล่อยให้เขาพูดในสิ่งที่เขาอยากจะพูด
18
อาจจะเพราะรู้สึกไม่ดีตั้งแต่ก้าวเข้ามาในงานประกวด ทําให้ผมตกรอบ 20 คนสุดท้าย แต่ผมก็ไม่ได้เสียใจมากนัก เพราะถือว่าได้ทําดีที่สุดแล้ว แต่โชคชะตาไม่ได้โหดร้ายกับผมเกินไป เพราะมีโมเดลลิ่งมาติดต่อให้ผมไปอยู่ในสังกัด เขาบอกว่าจะปั้นผมให้เป็นในสิ่งที่วัยรุ่นหลายคนใฝ่ฝัน นั่นคือนักแสดง
19
หลังงานประกวดผมยังคงหารายได้พิเศษเพื่อมาเลี้ยงครอบครัว โดยซื้อของจากสําเพ็งมาขาย ในขณะที่โมเดลลิ่งก็เรียกผมไปเรียนการแสดง เขาจ้างครูมาสอนแล้วให้งาน โดยให้ผมไปยืนถือกล่องรับบริจาคให้บ้านเด็กกําพร้า
20
วันหนึ่งโมเดลลิ่งนัดผมออกมาคุยงาน บอกว่าจะให้คุยกับผู้กํากับภาพยนตร์ ตอนนั้นผมดีใจมากที่จะได้ทํางานแสดงที่รักมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่พอไปถึงสถานที่นัดคุยงานเป็นห้องนอนขนาดกะทัดรัดของบ้านผู้กํากับ ส่วนโมเดลลิ่งไม่ได้มาด้วย ผมจึงต้องอยู่กับผู้กํากับสองต่อสอง ผมเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลเมื่อเขาส่งสายตาที่แฝงเร้นไปด้วยความหมายมาให้ จากนั้นเขาก็ยื่นข้อเสนอพร้อมกับวางเงินปึกหนึ่งลงตรงหน้าผม
21
“ถ้าน้องยอมเป็นของพี่ น้องจะได้ทั้งบ้าน รถ เงิน และทุกสิ่งที่น้องอยากได้ พี่จะหามาให้ทั้งหมด”
22
ผมโกรธมากที่ได้ยินประโยคนี้ออกมาจากปากชายตรงหน้า ผมเกลียดการถูกดูถูกที่สุด แต่ผมกําลังได้รับสิ่งนี้จากคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าผม ผมต้องข่มความโกรธเอาไว้ พยายามพูดกับเขาดี ๆ แล้วแกล้งขอตัวไปห้องน้ํำ จากนั้นก็ปีนหนีออกมาทางด้านหลังห้องน้ํำ ผมมารู้ความจริงภายหลังว่าโมเดลลิ่งที่ติดต่อผู้กํากับคนนี้ให้มาเจอผมเป็นโมเดลลิ่งปลอม จ้างครูมาสอนการแสดงก็ไม่จ่ายค่าจ้าง อีกทั้งเงินที่ได้จากกล่องบริจาคที่ผมไปยืนถือก็เอาไปใช้เอง ไม่ได้เอาไปทําบุญอย่างที่บอกไว้
23
หลังจากเหตุการณ์นั้นผมก็ไม่ได้เข็ดกับวงการบันเทิง ยังคงส่งใบสมัครไปตามบริษัทที่ประกาศหานักแสดงประกอบ จนได้มาเล่นเป็นตัวประกอบในซิตคอมเรื่อง คู่กิ๊กพริกกะเกลือ และเป็นนักแสดงประกอบให้ละครช่อง 8 ซึ่งทําให้ได้ไปเจอกับคุณครูสอนการแสดงท่านหนึ่ง ผมไม่อยากเป็นแค่นักแสดงประกอบแล้ว อยากพัฒนาทักษะการแสดงให้มากกว่านี้ จึงไปเรียนการแสดง และมีโอกาสได้ไปแคสติ้งละครสั้นเรื่อง คําพ่อสอน และในที่สุดผมก็ได้บทพระเอก
24
ตอนที่เห็นขวดน้ํำในกองถ่ายมีชื่อผมติดอยู่ ปลื้มใจมาก นึกไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะมีวันนี้ ผมตั้งใจแสดงสุดความสามารถ จนแม่ครัวและคนในกองชมว่าเลิกกองเร็วกว่ากําหนด ตั้งใจไว้แล้วว่าถ้ามีโอกาสได้อยู่วงการนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ผมจะพัฒนาฝีมือการแสดงให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น
25
ระหว่างเป็นนักแสดงประกอบ ผมยังขายของที่ซื้อมาจากสําเพ็งควบคู่ไปกับการเรียนหนังสือไปด้วย หลังจากนั้นไม่นานผู้ใหญ่ท่านหนึ่งติดต่อให้ไปแคสติ้งบท “มณีพิชัย” ของละครเรื่อง ยอพระกลิ่น ในที่สุดผมก็มีโอกาสได้เล่นละครยาวเรื่องแรกในชีวิต
26
วันนี้ผมและแม่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ผมเชื่อว่าการที่ชีวิตมาถึงจุดนี้ได้ มาจากการมองโลกในมุมบวกและไม่ย่อท้อต่อความยากลําบาก และสิ่งสําคัญที่สุดคือได้ทําในสิ่งที่รัก
27
ผมเชื่อว่าถ้าเราทําอะไรสักอย่างโดยปราศจากความรักแต่ทําเพื่อเงิน เราอาจได้เงินแต่คงไม่มีความสุข แต่หากเราทํางานด้วยความรักแล้วคิดถึงเรื่องเงินเป็นเรื่องรอง นอกจากจะมีความสุขแล้ว ผลงานก็จะออกมาดี
28
และท้ายที่สุดเมื่อผลงานดีแล้ว เงินก็จะตามมาโดยอัตโนมัติ
ข้อคิดจากพระพรพล ปสันโน วัดพระราม 9
คนเราเมื่อมีความรักและความพอใจในงานที่ทํา ย่อมนําความสุขและสร้างผลงานออกมาได้ดีตรงตามหลักอิทธิบาท 4 คือมีความพอใจในงานที่ทํา เมื่อเราพอใจและชอบในงานที่ทํา ย่อมทําให้เราทํางานนั้นอย่างเต็มที่โดยไม่ได้คิดถึงปัจจัยอื่นๆ เพราะมีความสุขในการทํางานนั้น เช่น เพชรที่ชอบการแสดงเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสได้แสดงจึงทําอย่างเต็มความสามารถ
29
แต่การเป็นนักแสดงที่ดีนั้น นอกจากความชอบหรือความเก่งแล้ว สิ่งสําคัญอีกสิ่งหนึ่งคือความดี เพชรประสบความสําเร็จได้ด้วยฉันทะและความดี คือตั้งอยู่ในศีลธรรม ไม่เดินออกนอกจารีตประเพณี คือไม่ยอมเอาตัวไปแลกกับการได้เงิน ได้เป็นนักแสดงกับผู้กํากับคนนั้น ความดีจึงส่งผลให้เขาประสบความสําเร็จ ได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงที่สุด
30
เพราะฉะนั้นการเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงจากการมีฉันทะหรือความชอบแล้ว อีกสิ่งที่สําคัญคือความดีที่ต้องใช้ในการรักษาชื่อเสียงให้ดี เพื่อให้สามารถอยู่ในวงการได้อย่างสง่างาม
31
ที่มา : นิตยสาร Seccret ฉบับที่ 172
เรื่อง : ภมรพล ประเสริฐสุข
เรียบเรียง : อุรัชษฎา ขุนขํา
ภาพ : สรยุทธ พุ่มภักดี