การ อยู่กับปัจจุบันขณะ คืออะไร ธรรมะปลุกสติจาก ท่าน ว.วชิรเมธี
อยู่กับปัจจุบันขณะ หมายความว่าอยู่ที่นี่แล้ว ก็เดี๋ยวนี้ ขณะอึดใจนี้ คำว่าอยู่กับปัจจุบันไม่ใช่มิติของสถานที่ แต่อยู่กับปัจจุบันนี้มันเป็นมิติของจิตวิญญาณ หมายความว่าขณะใดก็ตามที่เรามีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ ไม่หลุดไปอยู่ในโลกของความคิดในอนาคต หรือโลกของความคิดในอดีต
แต่เป็นการที่เรารู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาในทุกเรื่องที่คิด ทุกกิจที่ทำ ทุกคำที่พูด ทุกคำที่พูดและทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหว อาการที่เรารู้ตัวอยู่ ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยตัณหา อวิชชา และอุปาทาน หรืออวิชชา ตัณหา ทิฐิ อวิชชาก็คือความหลง ตัณหาคือความอยาก ทิฐิคือชุดความคิดต่าง ๆ
แต่เรารู้ตัวอยู่ที่นี่แล้วก็เดี๋ยวนี้ สด ๆ ในปัจจุบันขณะ โดยไม่ผ่านกระบวนการทางความคิด แต่เป็นความรู้สึกตัวสด ๆ ร้อน ๆ ซึ่งเกิดขึ้นเอง ณ เดี๋ยวนี้ ที่นี่ เช่น เราหายใจอยู่ เราก็รู้ว่าเราหายใจ อันนี้คือการอยู่กับปัจจุบันขณะที่แท้จริง ฉะนั้นเมื่อพูดถึงปัจจุบันขณะ เราไม่พูดถึงวัน เดือน ปี เลย เพราะว่ามันเป็นมิติทางจิตวิญญาณ
และลมหายใจเป็นอุปกรณ์ของปัจจุบันขณะจริง ๆ ปัจจุบันขณะไม่ได้หมายความว่า อยู่กับลมหายใจเท่านั้น คุณทำอะไรอยู่ คุณรู้สึกตัวอยู่ นั่นคือคุณอยู่กับปัจจุบัน สิ่งไหนก็ตามที่คุณอยู่กับมัน แล้วคุณรู้สึกตัวอยู่ตรงนั้น สิ่งนั้นคืออารมณ์ของปัจจุบัน ฉะนั้นอยู่กับปัจจุบันจะอยู่อย่างไร ต้องอยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน อะไรคืออารมณ์ปัจจุบันในทางกรรมฐาน
ในทางกรรมฐานการที่เราตามดู ตามรู้ ตามเห็น หรือการที่เราเฝ้าสังเกต รูป-นาม รูป-นามคือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ การที่เราเฝ้าสังเกต รูป-นาม แล้วเราตื่นตัวรู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ไขว้เขว ไม่หลุดไปสู่โลกของความคิด เรารู้ตัวอยู่ตลอดเวลาที่รูป-นามนั้นเกิดดับ ๆ อันนี้คืออยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน
อารมณ์ปัจจุบันในความหมายเชิงเคร่งครัด คืออยู่กับรูปกับนามที่เป็นปัจจุบันขณะเช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันแสดงอาการที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนันตาอย่างไร เราก็รู้อยู่ ตื่นอยู่ ไม่หลุด ไม่ไหล ไม่ลอย อันนี้แหละเขาเรียกว่าอยู่กับปัจจุบัน การที่เราดูกายอยู่ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
การที่เราตื่นรู้ ดูกายอยู่ คำว่ากายคือกายนี้ รวมทั้งกายคือกล่องลมหายใจทั้งหมด อันนี้เป็นอารมณ์ปัจจุบันเรียกว่า ใช้กายเป็นอารมณ์ปัจจุบัน การที่เราดูเวทนาอยู่ กายานุปัสสนา คือการที่เราดูกาย ฉะนั้นเราก็ดูสิ่งที่เนื่องกับกายคือเวทนา ความรู้สึกซึ่งมันเกิดขึ้นมาทางกาย มันเจ็บไหม มันปวดไหม มันตึงไหม หรือมันผ่อนคลาย หรือมันเครียด อาการที่เรารู้สึก ว่าสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี อทุกขมสุข คือไม่สุขไม่ทุกข์ มันทรง ๆ อยู่ แล้วเรารู้อยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ โดยที่จิตไม่ไหล ไม่เลื่อน ไม่ลอย อันนี้เรียกว่าตื่นรู้ ดูเวทนา เวทนาคือความรู้สึก ก็เป็นอารมณ์ปัจจุบัน
จากนั้นเราก็ไปดูจิต จิตของเรา ณ ปัจจุบันขณะมันเป็นอย่างไร ตอนนี้จิตของเราฟุ้งซ่านไหม หรือว่าไม่ฟุ้งซ่าน จิตของเรามีราคะ คือมีความทะยานอยาก มีโทสะ มีความอึดอัดขัดข้องไหม หรือมีโมหะ มีความหลง มีความไม่รู้ มีความมึน ความซึม ความง่วง ความเหงา อย่างนี้เขาเรียกว่าดูจิต
ดูจิตก็คือดูคุณภาพของจิต ณ ขณะนั้นว่ามันเป็นอย่างไร จากนั้นก็ดูสิ่งที่เนื่องกับจิต คือดูธรรม ก็คือดูอาการของธาตุขันธ์ ของรูปของนามว่ามันเป็นอย่างไร ทุกข์มันเป็นอย่างไร สมุทัยมันเป็นอย่างไร นิโรธมันเป็นอย่างไร มรรคมันเป็นอย่างไร หรือขันธ์ 5 มันแสดงตัวเองเป็นอย่างไร มันกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง แล้วเป็นอนัตตา สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นที่กายและใจของเราทั้งหมดทั้งสิ้น มันเป็นอย่างไรเราก็รู้อยู่ ดูมันอยู่ เห็นทันอยู่ อย่างนี้เรียกว่าเป็นการดูธรรม ฉะนั้นอารมณ์ของปัจจุบัน กล่าวอย่างสั้นที่สุด ก็มีแค่ 4 เท่านั้นเอง
- กายเป็นอารมณ์ของปัจจุบัน
- เวทนาเป็นอารมณ์ของปัจจุบัน
- จิต เป็นอารมณ์ของปัจจุบัน
- ธรรม เป็นอารมณ์ของปัจจุบัน
4 ฐาน 4 อารมณ์ของปัจจุบันขณะนี้ พูดอย่างสั้นที่สุดคือกายและสิ่งที่เนื่องกับกาย จิตและสิ่งที่เนื่องกับจิตก็มีแค่นี้เอง ฉะนั้นที่บอกว่าอยู่กับปัจจุบัน ๆ ในความหมายอย่างเคร่งครัดก็คือการอยู่กับอารมณ์ปัจจุบันใน 4 ฐานนี้ ท่านจึงเรียกว่า สติปัฏฐาน แปลว่า ฐานที่ปรากฏตัวของสติ เราก็มาดูตรงนี้ ทีนี้ในความหมายอย่างกว้าง การที่เราทำอะไรอยู่ เรารู้สึกตัว เราไม่หลุด เราไม่ไหล เราไม่เลื่อน เราไม่ลอยออกไปจากฐาน คือสิ่งที่เรากำลังเป็นอยู่ ทำอยู่ คิดอยู่ เห็นอยู่ พูดอยู่ แสดงออกอยู่ พูดอีกอย่างหนึ่งว่าทุกเรื่องที่คิด ทุกกิจที่ทำ ทุกคำที่พูด ทุกครั้งที่เคลื่อนไหว
เราตื่นรู้อยู่ตลอดเวลา มีความสดชื่นรื่นเย็นอยู่ตลอดเวลา รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ณ ปัจจุบันขณะนั้น ๆ ขณะที่เรากำลังหยิบจับทำอะไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นอารมณ์ปัจจุบันของเราได้ พูดอีกอย่างหนึ่งว่า เราทำอะไรอยู่แล้วเรารู้อยู่
สิ่งเหล่านั้นก็เป็นอารมณ์ปัจจุบันของเราได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเวลาที่เราขับรถ เราก็อยู่กับปัจจุบันได้ ถ้าเราไม่หลุด เห็นไหม เวลาที่เรากินอาหาร การกินอาหารก็เป็นอารมณ์ของปัจจุบันได้ ถ้าเราตระหนักรู้ ฉะนั้นในเวลาที่เราสอนฝรั่งต่างชาติ เราจึงพูดเสมอว่าสิ่งที่เป็นอารมณ์ปัจจุบันนั้นสารพัดเลย ทั้ง sitting sitting meditation แล้วก็บอกว่าการนั่ง การนั่งอย่างอยู่ในปัจจุบันขณะก็เป็น sitting meditation ฉะนั้นเวลาที่เรายืนด้วยความรู้ตัว การยืนก็เป็นอารมณ์ของปัจจุบัน ก็เรียกว่า standind meditation ฉะนั้นเวลาที่เราเดิน แม้กระทั่งเดินเข้าห้องน้ำ เดินไปออฟฟิศ เดินไปนู่น มานี่ ในชีวิตประจำวันก็เป็น walking meditation
ฉะนั้นคุณจะกิน คุณจะดื่ม คุณกินก็เป็น eating meditation เห็นไหมคุณรู้ตลอดเวลาที่คุณกิน ถ้าคุณดื่มน้ำ การดื่มน้ำก็เป็นอารมณ์ปัจจุบันได้ ถ้าดื่มด้วยความรู้สึกตัวก็เป็น drinking meditation เห็นไหมว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจับที่เราทำอยู่ แล้วเรามีความตื่นรู้ กำกับอยู่ตลอดเวลา ไม่หลง ไม่ไหล ไม่เลื่อน ไม่ลอย คำว่าไม่หลงก็คือไม่ขาดสติ ไม่ไหลก็คือไม่หลุดออกจากปัจจุบันฐาน คือฐานปัจจุบันไปอยู่ในอดีตและอนาคต ไม่เลื่อน ไม่ลอย ก็เหมือนกัน คือเราทำอะไรอยู่แล้วเราอยู่กับสิ่งที่เราทำจริง ๆ อันนั้นสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ใช้เป็นอารมณ์ปัจจุบันได้ทั้งหมดทั้งสิ้น
ฉะนั้นแม้กระทั่งการโทรศัพท์ ซึ่งเป็นของรุ่นใหม่มาก การโทรศัพท์ก็เป็น speaking meditation ได้ คุณกำลังออนไลน์อยู่ก็เป็น online meditation ได้ คุณกำลังแชทอยู่ก็เป็น chat meditation เห็นไหมว่าถ้าเราเติมตัวรู้ตัวสติเข้าไป ทุกอิริยาบถในชีวิตของเรา สามารถใช้เป็นอารมณ์ปัจจุบันได้ทั้งหมดทั้งสิ้น
ถอดความจาก : สุขทุกวัน7วัน7กูรู ตอน การอยู่กับปัจจุบันขณะคืออะไร? โดย พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี 7 มิ.ย. 60
ภาพ : www.pexels.com
บทความน่าสนใจ
อย่ายอมให้อัตตาครองใจ ธรรมะเตือนสติโดย พระไพศาล วิสาโล
พระพุทธเจ้าในภาษาคนภาษาธรรม ถอดอัตตาให้ไปสู่วิมุตติ
Dhamma Daily : เหตุใดพุทธศาสนาจึงสอนให้คนไม่ควรมี อัตตา