โซเดียมแฝง

รู้จัก โซเดียมแฝง ในอาหารกึ่งสำเร็จรูปและเครื่องปรุงรส บ่อเกิดของโรค NCDs

โซเดียมแฝง ในอาหาร หนึ่งในสาเหตุ NCDs ที่ไม่ควรมองข้าม

รู้ไหมว่า โซเดียมแฝง มากับอาหารกึ่งสำเร็จรูปและเครื่องปรุงรส อาจนำมาซึ่งความเจ็บปวดเรื้อรัง และโรค NCDs ที่ไม่มีใครอยากเจอ ลองมาอ่านรายละเอียดบทความนี้กันค่ะ

ว่าด้วยโรคไตในปัจจุบัน

สมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย ร่วมกับเครือข่ายลดบริโภคเค็ม สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย  และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ภายใต้โครงการติดตามปริมาณโซเดียมในอาหารพร้อมบริโภคและกึ่งสำเร็จรูปเพื่อการรณรงค์ลดเค็ม ลดโรค เผยการสำรวจฉลากโภชนาการในกลุ่มอาหารกึ่งสำเร็จรูปและเครื่องปรุงรส   ประจำปี 2564 มีปริมาณโซเดียมดังนี้ เผยอาหาร ประเภท ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ บะหมี่ เส้นหมี่ และวุ้นเส้น มีปริมาณโซเดียมมากที่สุดตั้งแต่  220 – 7,200 มิลลิกรัม พร้อมเผย 10 อันดับผลิตภัณฑ์ยอดเค็ม

นายธนพลธ์  ดอกแก้ว  นายกสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย  กล่าวว่า จากความร่วมมือภายใต้โครงการติดตามปริมาณโซเดียมในอาหารพร้อมบริโภคและกึ่งสำเร็จรูปเพื่อการรณรงค์ลดเค็ม ลดโรค ได้ดำเนินการสุ่มสำรวจอ่านฉลากค่าโซเดียมกลุ่มอาหารกึ่งสำเร็จรูปจำนวน 300 ตัวอย่างและเครื่องปรุงรส จำนวน 100 ตัวอย่าง เพื่อผลักดันให้ผู้บริโภครู้เท่าทันการอ่านฉลากและเตือนภัยใกล้ตัวจากภัยเงียบโซเดียมแอบแฝง ในอาหารกึ่งสำเร็จรูปและเครื่องปรุงรส บ่อเกิดของโรค NCDs  โดยมีวัตถุประสงค์

  1. เพื่อให้ผู้บริโภคต้องอ่านฉลากโภชนาการก่อนตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์  เพื่อลดการเกิดโรค NCDs   
  2. เพื่อให้เกิดการแก้ไขกฎหมายหรือข้อบังคับเพื่อนำไปสู่การลดปริมาณโซเดียมและผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่าย  
  3. เพื่อโน้มน้าวให้ผู้ประกอบการลดปริมาณโซเดียม
ป้องกันโรคไต โซเดียมแฝง

โซเดียมในอาหาร

ด้วยปัจจุบันอาหารกึ่งสำเร็จรูปเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนเรามากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากสภาพการดำรงชีวิตในปัจจุบันตกอยู่ในภาวะที่ต้องเร่งรีบแข่งกับเวลา ทำให้ไม่มีเวลาในการเตรียมอาหารเพื่อรับประทาน ผลิตภัณฑ์อาหารกึ่งสำเร็จรูปจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะใช้เวลาในการเตรียมไม่นาน และกรรมวิธีในการปรุงก็ไม่ยุ่งยาก แถมยังมีรสชาติที่อร่อยแต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดคือโซเดียมที่แอบแฝงมา ไม่ว่ารสชาติเดิมจากผลิตภัณฑ์จะอร่อยแค่ไหน คนเราก็หนีไม่พ้นกับการปรุงเพิ่ม โดยเฉพาะเครื่องปรุงรสเค็ม ไม่ว่าจะเป็นน้ำปลา ซีอิ๊วขาว ซอสถั่วเหลือง ซอสปรุงรส  ซึ่งปกติคนเราหากกินโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ได้มากกว่าที่คิด ทั้งโรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น

นายธนพลธ์ กล่าวว่า ขอเน้นให้ผู้บริโภคหันมาอ่านฉลากกันแบบจริงจังก่อนที่จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ ทุกวันนี้โรค NCDs เกิดขึ้นกับประชาชนคนไทยสูงมากเนื่องจากการบริโภคโซเดียมเกินปริมาณที่องค์การอนามัยโลกกำหนด ในข้อมูลจากผลสำรวจ ทั้งสองกลุ่มผลิตภัณฑ์ได้รวบรวมปัญหาหลายๆ ด้านออกมาเป็นข้อเสนอ ถึง 3 กลุ่ม คือ  

ข้อแนะนำต่อผู้บริโภค

1) อ่านฉลากโภชนาการก่อนตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์   เพื่อลดภาวะเลี่ยงเกิดโรค NCDs 

ข้อเสนอต่อผู้ประกอบการ  

1) ให้ผู้ประกอบการลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหาร  

2) ให้ผู้ประกอบการจัดทำฉลากให้ผู้บริโภคเห็นชัดเจนและตัดสินใจในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้ง่าย 

ข้อเสนอต่อหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง   

  1. แก้ไขกฎหมายหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการลดปริมาณโซเดียมในในผลิตภัณฑ์อาหาร  
  2. สนับสนุนให้เกิดมาตรการของรัฐเกี่ยวกับการเก็บภาษีโซเดียม เน้นสร้างแรงจูงใจในการปรับสูตรอาหารในทางธุรกิจ  
  3. ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ผลักดันฉลากสีสัญญาณไฟจราจร เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคในเรื่องการอ่านฉลาก  
  4. ผลักดันให้กระทรวงศึกษาธิการบรรจุหลักสูตรเรื่องการอ่านฉลากให้กับเด็กตั้งแต่ระดับปฐมศึกษา (สุขภาพดีแต่วัยเด็ก)

ปริมาณที่ไม่ควรมองข้าม

ด้านนางสาวศศิภาตา  ผาตีบ  ผู้สำรวจและนักวิจัย สมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย  กล่าวว่า ผลสุ่มสำรวจฉลากโภชนาการในกลุ่มอาหารกึ่งสำเร็จรูปและเครื่องปรุงรส ประจำปี 2564  เริ่มเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์  ในเดือนพฤษภาคม – เดือนพฤศจิกายน  พ.ศ.2564 จำแนกออกเป็น กลุ่มอาหารกึ่งสำเร็จรูป จำนวน 300 ตัวอย่าง กลุ่มเครื่องปรุงรส จำนวน 100 ตัวอย่าง ในซองผลิตภัณฑ์ ประกอบไปด้วย ฉลากอาหาร   ฉลากโภชนาการ (แบบเต็มและแบบย่อ) และฉลากโภชนาการแบบ GDA  ที่มีข้อมูลแตกต่างกันไปตามผลิตภัณฑ์   บางผลิตภัณฑ์ข้อมูลในฉลากโภชนาการกับฉลาก GDA ไม่ตรงกัน   ผลิตภัณฑ์หมดอายุแล้วแต่ยังวางจำหน่วย เป็นต้น สิ่งสำคัญที่สุดคือก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต้องอ่านฉลากทุกครั้ง 

ความเจ็บป่วยที่ตามมา

ด้านรศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยและประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวว่า คนไทยกินเค็ม เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังต่าง ๆในอนาคตได้ ซึ่งในปัจจุบันสาเหตุอันดับหนึ่งของการเสียชีวิตของประชากรทั่วโลก คือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือกลุ่มโรค NCDs ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่ยังมีการเจริญเติบโตไม่เต็มที่มีขนาดอวัยวะที่เล็กกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะไตและหัวใจที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงหากเด็กได้รับโซเดียมจากอาหารที่มากเกินความต้องการติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้ การติดกินเค็มจนเป็นนิสัยตั้งแต่เด็กก็ย่อมมีแนวโน้มที่ลิ้นจะติดเค็มไปจนโตเป็นผู้ใหญ่ ปริมาณโซเดียมเฉลี่ยที่เด็กรับประทานอยู่ที่ 3,194 มิลลิกรัม/วัน ในขณะที่ผู้ใหญ่ รับประทานโซเดียมเฉลี่ยที่ 3,636 มิลลิกรัม/วัน แต่ในขณะที่ปริมาณโซเดียมที่เด็กวัยเรียนอายุ 6-15 ปี และผู้ใหญ่ ควรได้รับ เท่ากับ 1,500 และ 2,000 มิลลิกรัมตามลำดับเท่านั้น และโซเดียมสามารถกระตุ้นน้ำลาย ทำให้อยากอาหารมากขึ้น ยิ่งกินก็ยิ่งติดเค็ม

ไม่กินเค็ม โซเดียมแฝง

การสำรวจปริมาณโซเดียมในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารกึ่งสำเร็จรูปและเครื่องปรุงรสในครั้งนี้ ถือเป็นเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนเป็นอย่างมาก และหากมีการผลักดันการเก็บภาษีโซเดียมได้สำเร็จทางผู้ผลิตสามารถปรับสูตรลดเกลือโซเดียม และเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางเลือกโซเดียมต่ำออกสู่ตลาดมากขึ้น ก็จะเป็นประโยชน์ทั้งทางผู้ผลิตและผู้บริโภค ซึ่งในบางประเทศ เช่น ฮังการี อาหารที่มีเกลือโซเดียมไม่เกินเพดานที่กำหนด จะได้รับการยกเว้นเสียภาษี ทุกฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกัน ผู้บริโภคก็ลดปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรค NCDs ซึ่งเมื่อลดการเจ็บป่วยได้ ประเทศก็สามารถช่วยชาติประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาได้อีกด้วย

ด้านนางสาวมลฤดี โพธิ์อินทร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบายและยุทธศาสตร์สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่าด้านการคุ้มครองผู้บริโภคด้านอาหาร จากผลสรุปการอ่านฉลากโภชนาการและฉลาก GDA ในกลุ่มอาหารกึ่งสำเร็จรูป  จำนวน 300 ตัวอย่าง และเครื่องปรุงรส  จำนวน 100 ตัวอย่าง ของสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย นั้นพบว่าฉลากมี 2 ประเภท 1. ฉลากข้อมูลโภชนาการ ที่บอกข้อมูลต่อ 1 หน่วยบริโภค 2.ฉลาก GDA บอกข้อมูลต่อ 1 บรรจุภัณฑ์ ซึ่งผู้บริโภคจะเลือกทานอาหารต้องอ่านฉลากทั้ง 2 ประเภทเพื่อตัดสินใจ และอาจเกิดความไม่เข้าใจและสับสนได้ ซึ่งผู้บริโภคมีสิทธิที่จะได้รับการโฆษณาหรือแสดงฉลากตามความจริง  และสิทธิที่จะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการได้อย่างถูกต้องและพอเพียง ไม่หลงผิดในการซื้อสินค้าและบริการโดยไม่เป็นธรรม  ดังนั้นสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาต้องผลักดันนโยบายเรื่องฉลากสีสัญญาณไฟจราจร เขียว เหลือง แดง บนฉลากอาหาร เพื่อเป็นทางเลือกในการตัดสินใจซื้อโดยการอ่านฉลากผลิตภัณฑ์อาหารที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้บริโภค และสนับสนุนเผยแพร่แอพพลิเคชั่นฟู้ดช้อยส์ (FoodChoice) สแกนก่อนกินเมื่อสแกนบาร์โค้ดจากผลิตภัณฑ์ ข้อมูลบนฉลากโภชนาการจะถูกแสดงในรูปแบบสีเขียว เหลือง แดงที่สามารถเข้าใจได้ง่าย ช่วยผู้บริโภคในการตัดสินใจ เปรียบเทียบและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกันได้อย่างรวดเร็ว โดยมีการจัดเรียงข้อมูลผลิตภัณฑ์ตามเกณฑ์ เช่น พลังงาน น้ำตาล โซเดียม ไขมัน ไขมันอิ่มตัว และโปรตีน และเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการบรรจุหลักสูตรเรื่องการอ่านฉลากให้กับเด็ก จะทำให้เด็กรู้เท่าทันฉลาก เข้าใจฉลาก เพื่อลดภาวะโรคเรื้อรังในเด็ก


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เกลือและโซเดียม ภัยเงียบบั่นทอนสุขภาพ

แจก 3 สูตร ป้องกันโรคไต ปรับลดโซเดียม

อาหารของโรคไต ป้องกันภาวะไตเสื่อม

ติดตามชีวจิตได้ที่ :

Facebook : นิตยสารชีวจิต
Instagram : Cheewajitmedia
TikTok : cheewajitmediaofficial

© COPYRIGHT 2025 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.