อาหารของโรคไต และอาหารป้องกันภาวะไตเสื่อม
หลายท่านคงเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของโรคไตมาแล้ว และคงทราบเกี่ยวกับ อาหารของโรคไต หรืออาจเคยเห็นผู้ป่วยโรคไตซึ่งต้องรับประทานยาต่อเนื่องหรือต้องฟอกไต ซึ่งถ้าเข้าสู่กระบวนการอย่างหลังจะหมายถึง ไตไม่สามารถทำหน้าที่ได้เหมือนเดิมแล้ว สร้างความทรมานต่อผู้ป่วยอย่างยิ่ง ทั้งยังต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อรักษาพยาบาล
ทว่าการแพทย์ในปัจจุบันก้าวหน้ามากจึงสามารถรักษาดูแลและยืดอายุผู้ป่วยโรคไตได้ยาวนานขึ้น พร้อมทั้งสิทธิในการรักษาพยาบาลหรือแม้กระทั้งการปลูกถ่ายไต เช่น หลักประกันสุขภาพ (30 บาท) ประกันสังคมสิทธิของราชการ เว้นกรณีผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาซึ่งไม่ได้อยู่ในข้อกำหนด คนไข้จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง
อาหารผู้สูงอายุที่มีปัญหาโรคไต
การแพทย์แผนไทยกล่าวถึง “ไต” (ปิหกัง หรือในพุทธศาสนาเรียกว่า วักกัง)เป็นอวัยวะหนึ่งในธาตุดิน (ปถวีธาตุ) มีอยู่สองข้าง ซ้าย – ขวา ติดไปทางด้านหลังส่วนของกลางหลัง มีหน้าที่กรองน้ำต่าง ๆ(อาโปธาตุ) ของร่างกาย และสังเกตการทำงานของไตได้จากการขับถ่ายปัสสาวะ (น้ำมูตร)
หลายคัมภีร์(เนื้อเรื่องตำรา)ในการแพทย์แผนไทย กล่าวเกี่ยวกับความผิดปกติของปัสสาวะไว้ทั้งอาการปกติจนถึงอาการผิดปกติต่าง ๆ ทั้ง สี กลิ่น สิ่งที่ขับออกมากับปัสสาวะ เช่น เลือด น้ำดี นิ่ว เมือกมูกต่างๆ หรือแม้กระทั่งหนองและน้ำตาลหรือโปรตีนที่ปนมากับปัสสาวะ หรือลักษณะการขับปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะขัด ขับกะปริบกะปรอย
อาการเหล่านี้บ่งบอกถึงความไม่ปกติของร่างกาย ทั้งอาจป่วยเป็นโรคอื่น เช่น เป็นกษัยปู (โรคกระเพาะที่มีความรุนแรง) ป่วยเป็นไข้ที่มีอาการรุนแรงหรือเป็นกษัยไตพิการเหล่านี้เป็นอาการของไตที่มีภาวะความเสื่อมจากการมีอายุมากขึ้นและไตนั้นเสื่อมตามสภาพ(ธรรมชาติ) หรือเสื่อมจากการป่วยเป็นโรค เช่น เบาหวานเรื้อรังจากยาหรือการรับประทานอาหารที่มีรสจัดมาก ๆ เป็นเวลานาน ทำให้ไตเสื่อมเร็วเพราะต้องกรองของเสียมากขึ้น
โดยเฉพาะอาหารที่มีรสเค็ม อาหารหมักดอง หรืออาหารปรุงแต่งสำเร็จต่าง ๆ หรือจากการรับประทานยารักษาโรคประจำตัวอยู่นานและไม่ระมัดระวังเรื่องอาหาร ก็ส่งผลให้ไตทำงานหนักและเสื่อมเร็วขึ้น บางครั้งทำให้บวมตามร่างกาย ปวดบริเวณกลางหลังเพียงแค่ใช้มือลูบหรือเคาะเบา ๆ ก็จะปวดสะดุ้ง ซึ่งต้องแยกจากอาการของกล้ามเนื้อหลังอักเสบ และมักมีปัสสาวะผิดปกติ เช่น ขุ่น มีตะกอน เป็นฟอง มีกลิ่นฉุนผิดปกติหรือมีอาการบวมผิดปกติ ฯลฯ หากมีอาการเหล่านี้ควรเร่งปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจอาการและนำไปสู่การรักษาที่เหมาะสม
การรักษาโรคไตในแบบแพทย์แผนไทยมักใช้ยาที่มีฤทธิ์ช่วยขับปัสสาวะ เสริมการทำงานของไตหรือบำรุงไตและอวัยวะอื่นไปพร้อม ๆ กัน หรือจะใช้ยาที่ทำหน้าที่ขับความร้อนโดยขับปัสสาวะหรือการลดบวมต่างๆ หรือขับของเสียให้ออกทางน้ำมูตร (ปัสสาวะ)หรือบำรุงไตเป็นต้น ทั้งนี้จะไม่ใช้วิธีดังกล่าวในผู้ที่ต้องทำการฟอกไต เพราะต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์เฉพาะทางเพื่อประโยชน์ของคนไข้และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะอันตราย
โดยสมุนไพรที่ใช้จะมีรสจืดเป็นส่วนใหญ่เพื่อช่วยขับปัสสาวะ เช่น ผักกาดน้ำ รากหรือตาไผ่ป่า ขลู่ ตำลึง เหง้าสับปะรดหญ้าหนวดแมว หรือสมุนไพร รสเปรี้ยวเพื่อช่วยขับปัสสาวะและรักษาดุลน้ำหรืออาโปธาตุของร่างกาย เช่น ดอกกระเจี๊ยบแดงเนื้อสับปะรด หรือสมุนไพร รสปร่า (เผ็ดร้อนน้อย) เพื่อรักษาสมดุลของธาตุไฟและ ธาตุลมที่ส่งเสริมให้การขับถ่ายต่างๆ ที่ส่งเสริมให้การขับถ่ายต่าง ๆ ระบบการย่อยการเผาผลาญ การไหลเวียนเป็นปกติ เช่น ตะไคร้ หรืออาจใช้สมุนไพรที่มีรสเค็มเล็กน้อย เพื่อเสริมฤทธิ์ในการขับปัสสาวะและรักษาดุลของอาโปธาตุ สมดุลน้ำและเกลือแร่ อย่างโคกกระสุนที่ช่วยขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ
ข้อมูลโดย : อาจารย์วันทนี ธัญญา เจตนธรรมจักร ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนไทย
ชีวจิต Tips กินอย่างไร ไตไม่เสื่อม
สิ่งสำคัญคือการดูแลตัวเอง โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารที่เป็นหัวใจสำคัญในการชะลอไตวายเรื้อรัง ช่วยควบคุมอาการและดูแลไม่ให้ไตทำงานหนักจนเกินไป โดยอาหารที่ควรระมัดระวังในการรับประทานคือ
1) เนื้อสัตว์ เพราะหากรับประทานมากจนเกินไปจะส่งผลเสีย ทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้นและเกิดการคั่งของของเสีย แต่หากรับประทานน้อยไปอาจสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ภูมิคุ้มกันตำลง เสี่ยงในการเสียชีวิตได้
2) ข้าวและแป้ง อาหารกลุ่มนี้มีแหลงโปรตีนในปริมาณที่แตกต่างกัน อาจทำให้ผู้ป่วยไตเสื่อมระยะ 3-5 จำกัดการรับประทานโปรตีนได้ยาก ผู้ป่วยควรได้รับความรู้ในการเลือกกลุ่มแป้งที่ถูกต้องและปลอดภัย เช่น วุ้นเส้น ก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ และสาคู เพื่อให้การรักษาโรคไตเสื่อมเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
3) ไขมัน ไขมันที่ดีคือไขมันไม่อิ่มตัวสู
4) ผักและผลไม้ เเหล่งเเร่ธาตุที่มีความสำคัญมาก เเต่เมื่อไตสูญเสียความสามารถในการรักษาสมดุลเกลือเเร่บางตัว การเลือกรับประทานผักผลไม้ที่มีเเร่ธาตุต่ำจึงมีความสำคัญต่อการรักษาอย่างมาก ผลไม้กับผลที่ควรเลือกทานขึ้นอยู่กับ ระดับโพแทสเซียม เเมกนีเซียม เเคลเซียม เเละโซเดียมในเลือดขณะนั้น
5) เกลือ หากรับประทานมากเกินไปจะทำให้ได้รับโซเดียมเกินความจำเป็น อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
6) น้ำ ผู้ที่ไตขับปัสสาวะได้ลดลงมีความจำเป็นต้องจำกัดปริมาณน้ำดื่มเพื่อป้องกันภาวะบวมน้ำเเละน้ำท่วมปอด ปริมาณน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวันจะนับรวมถึงอาหารทุกชนิดที่เป็นของเหลวเเละเครื่องดื่ม เช่น น้ำเปล่า ซุป น้ำผลไม้ น้ำผัก เป็นต้น
และไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ต้องดูแล โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไตต้องใส่ใจเป็นพิเศษ อยากให้ทุกคนตระหนักถึงโรคไตและป้องกันโรคไตด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลี่ยงอาหารเค็มจัด หวานจัด ดื่มน้ำวันละ 8 – 10 แก้ว ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ ตรวจคัดกรองไตอย่างน้อยปีละครั้ง สำหรับผู้ป่วยโรคไตควรพบแพทย์ตามนัดหมายและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ที่มา : โรงพยาบาลกรุงเทพ
บทความอื่นที่น่าสนใจ
แดเนียลแพลน สูตรลดอ้วน ข้ามศตวรรษ
ถ่ายเป็นเลือด สัญญาณผิดปกติในลำไส้ใหญ่
ลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำง่าย ได้ผลชัวร์
ติดตามชีวจิตได้ที่