ในวัย 50 ปี หลายคนอาจคิดวางแผนเกษียณ หรือการใช้ชีวิตแบบนิ่งๆ เป็นการพักผ่อน แต่วัยนี้ชีวจิตจะพาไปพุดคุยกับสุภาพสตรีท่านหนึ่ง เธอเป็นผู้หญิงเก่ง ที่ทำงานมาตลอดชีวิต และยังสนุกกับการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ รวมถึงเปิดแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อเป็นคอมมูนิตี้สำหรับวัย 50+
บุคคลที่เรากำลังเอ่ยถึงอยู่นี้คือ คุณวรรณา สวัสดิกูล CEO & Founder of SilverActif Co.,Ltd. ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการโฆษณา และการตลาด และในวันนี้เธอใช้ตัวตนและประสบการณ์ของคนวัย 50+ ที่อยากจะลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นตามจังหวะการเคลื่อนไหวของโลกใบนี้ เพื่อบอกกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ และลูกๆหลานๆว่า 50+ อย่างไรให้สมวัยและแอ๊คทีฟ
Q:ในมุมมองคุณวรรณา ทำไมตั้งต้นความเป็นซีเนียร์ที่เลข 5 คะ
A: ตอนอายุ 30 40 คนทั่วไปจะแค่รู้สึกว่าอยู่ในวัยกลางคน แต่พอเลข 5 ปุ๊บ คำว่า “แก่” มาแล้ว เพราะ mind set ของคนทั่วไป รู้สึกว่า 50 คืออายุมาก แต่เมื่อมาทบทวนบวกกับช่วงที่ทำ รีเสิร์ช เรื่องผู้สูงวัย เราพบว่าช่วงพีคของชีวิตคนมี 2 ช่วง คือเบญจเพสอายุ 25 และเมื่ออายุ 50 ปี
ถามว่า ทำไม เพราะว่าทั้งสองช่วงเป็นวัยของการเปลี่ยนแปลง อายุ 25 เป็นวัยเรียนจบ ร่างกายฮอร์โมนเติบโตเต็มที่ ส่วนอายุ 50 ร่างกายเปลี่ยนแปลงแน่นอน เรารู้เลยว่าบางอย่างมันต้องซ่อม มันทำงานได้ไม่เหมือนเดิม เช่นสายตาเริ่มยาวขึ้น เริ่มเห็นผมขาว ผิวเริ่มแห้ง ผิวหน้าอาจมีรอยย่น เหล่านี้เป็นเรื่องภายนอกที่เห็นได้ว่าอายุเยอะแล้ว ซึ่งมักเกิดกับคนที่ไม่ดูแลตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆ ส่วนคนที่ยังดูดีอยู่ส่วนใหญ่คือดูแลตัวเองมาตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าพออายุ 50 แล้วค่อยลุกขึ้นมาทำนู่นทำนี่
เรื่องที่สองคือสภาพจิตใจ ถ้าเป็นคนที่มีครอบครัวแล้ว อายุ 50 กว่า ๆ เป็นช่วงที่ลูกเริ่มโต ความเป็นครอบครัวเริ่มห่างออกจากกัน หลายคนเริ่มว่างจากหน้าที่การงาน กลายเป็นว่าพอเราว่างลูก ๆ ก็ห่างจากเราไปแล้ว หลายคนพบว่าเป็นช่วงที่ตัวเองเหงา รู้สึกหดหู่ พาลคิดลบว่า อายุเยอะแล้ว เบื่อจังเลย ไปกันใหญ่
Q:ทำไมถึงมาเริ่มต้นทำเพจ countUP มีแรงบันดาลใจอย่างไร
A: อันดับแรกคือพอเราก้าวเข้าสู่วัยนี้ มันรู้สึกว่ามีชาเลนจ์ คนชอบคิดว่า 50 อายุมาก เป็นคนแก่เป็นป้า ล้าหลังไม่แอคทีฟ เนื่องจากแนวโน้มในโลกนี้ มีคนอายุมาก จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ แม่และเด็ก ค่อย ๆ เล็กลง แล้วยังไม่มีใครมาทำเพจลักษณะนี้
นิสัยเราชอบทำอะไรเป็นคนแรก ชอบ disrupt แต่ก็คิดว่าถ้าจะทำอะไรก็ควรเป็นตัวตนของเรา เพราะเราสามารถเอาตัวเองเป็นแบบอย่างได้เต็มที่ เราทำรีเสิร์ชเลยว่ามีมนุษย์อย่างพี่แค่คนเดียวหรือเปล่า
ตอนแรกเปิดตัวชื่อ บริษัท silver active เราเสนอแบบง่าย ๆ เลยว่าคุณอายุเท่านี้ ชอบเรื่องอะไร ดูแลตัวเองอย่างไร ซึ่งต้องหนีไม่พ้น กิน ฟิต เที่ยว ไม่หยุดเรียนรู้ 4 เรื่อง กินคือการดูแลตัวเองเรื่องอาหารการกิน ฟิตคือออกกำลังกาย เที่ยวคือท่องเที่ยว ไม่หยุดเรียนรู้ก็คือการ up skill ต่าง ๆ
เค้าท์อัพ คือคิดไปข้างหน้า ไม่คิดถอยหลัง เลยใช้อันนี้ เพราะเป็นตัวเราจริงๆ ไม่มีอะไรดีเท่ากับทำสิ่งที่เราเป็นและสิ่งที่เราชอบ เรานั่งดูทุกคอนเทนท์มา 3 ปีแล้ว บางเรื่องก็เอาตัวเองใส่ลงไปด้วย ทุกอย่างที่เจอ ทุกเรื่องที่ช่วยให้คนวัยนี้ให้รู้สึกมีความสุขกับชีวิต
เราอยากเป็นสื่อกลางที่ช่วยให้กำลังใจ ให้ความรู้ ให้แรงบันดาลใจให้เขาลุกขึ้นมาเป็นคนวัย 50+ ที่มีจุดยืน กระฉับกระเฉง มีกำลังใจในชีวิต เพราะเราเป็นคนสนุกกับชีวิต ชอบกินชอบเที่ยว เลยอยากชวนคนออกมาทำกิจกรรมกัน มาอัปเดทกันคุณจะได้ไม่ตกยุค สำหรับคนที่ชอบเรื่องดราม่าหน่อย เราก็มี เราเป็นเหมือนวาไรตี้ แฟนตาซีของคนวัย 50 แต่เป็นเรื่องราวข้อมูลที่ถูกต้องนะ เท่าที่ทำมา ไม่เคยเจอคอมเมนต์ที่ไม่ดีเลย
Q : ระหว่างทำเห็น community ของ senior เมืองไทยเป็นยังไงบ้าง
A: ที่น่าประหลาดใจมากคือ ความรู้ความสามารถประสบการณ์ของคนวัยนี้ บางคนน่าทึ่งมากทั้งเรื่องความรู้ ความแข็งแรง ความคิดบวกของเขา มีคน 50+ ที่มีความสามารถเยอะมาก และไม่ใช่เฉพาะความสามารถในเชิงการทำงาน เป็นความสามารถอื่นๆ เต็มไปหมดเลย แล้วเขาก็อยากฟังเรื่องของคนอื่น
ส่วนใหญ่เป็นคนที่ภูมิใจในตัวเอง เคยทำเรื่อง 60 ก็มีซิกแพค ปรากฏว่ามีคนส่งรูปตัวเองที่มีซิกแพคมาให้เต็มเลย เคยสัมภาษณ์คุณตี๋ ดอกสะเดา เขาบอกว่าชอบที่ให้สัมภาษณ์เรามาก เขาเอาไปโชว์ให้เพื่อนๆ ว่าตอนอยู่คาเฟ่ กินไม่ดี นอนไม่ดี ร่างกายแย่ พอมาออกกำลังกายจริงจัง เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย มันคือการพลิกชีวิต ซึ่งเขาภูมิใจมากและอยากเล่าให้เราฟัง
Q : เชื่อมั่นได้ว่าชาว 50+ ยังมีความสามารถ support โลกได้อีกมากมาย
A: คนมักคิดว่าคนอายุ 50-60 ไม่มีปัญญาทำอย่างอื่นแล้ว มีบางคนยังหางานให้พ่ออายุ 65 ซึ่งสุขภาพยังดีทุกอย่าง แต่สังคมต่างหากที่ตัดสินไปแล้วว่าทำงานไม่ได้ เราอยากถามบริษัทต่าง ๆ ว่าคุณเจอตัวก่อนไหม คุณยังไม่เจอตัวเลย เราเคยเจอคนมากมายที่ยังไม่พร้อมจะเกษียณแต่ต้องเกษียณแล้ว แล้วถ้าเขาต้องอยู่ยาวไปจนถึง 80 แต่อายุ 50-60 ก็ไม่ได้ทำงานแล้ว จะให้เขาต้องอยู่อย่างนี้ไปอีก 20-30 ปีหรือ มันไม่ใช่ให้เขาทำงานแบบเดิม แต่คุณต้องมีงานที่เหมาะกับคนอายุมาก เขาชอบอะไรที่มันไม่ซับซ้อน คุณก็เลือกงานแบบใหม่ให้เขา
บางคนเคยเป็นผู้บริหาร การที่ยังทำงานต่อไปเพื่อให้ตัวเองมีประโยชน์ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นคนไร้ค่า มีค่าตอบแทนเพื่อให้มีเงินใช้ในช่วงชีวิตโดยที่ไม่ต้องกินเงินเก่า เคยไปสัมภาษณ์กลุ่มคนเหล่านี้บอกว่าไม่ทำงานเดี๋ยวโง่
Q : สังคมควรเป็นแบบไหนเพื่อเตรียมรองรับประชากรวัยนี้ที่เพิ่มขึ้น
A: เคยสัมภาษณ์คนนึง เขาบอกว่า 40 เรียกว่าเป็นวัย aware 50 คือ prepare พอถึง 60 คือ problem ถ้าคุณ prepare คุณจะพบ problem น้อยมาก
ดังนั้นพออายุ 40 องค์กรควรอัพสกิลให้เขา พอถึงอายุ 50 เขาจะกลายเป็น better fifty อย่ารอจน 50 เพราะตอนนั้นเขาอาจไม่ไหวแล้ว สิ่งที่คุณจะได้จากการอัพสกิลให้พนักงานอายุ 40 คือประสบการณ์ซึ่งเด็ก ๆ ไม่มี ส่วนเขาขาดไปคือการเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ เขาอาจทำงานได้ถึง 65 ก็ได้ ถ้าคุณรับเด็ก 20 กว่าคุณจะสอนงานจนเป็น แล้วอีกหน่อยก็ไม่มีเด็กให้เลือก เพราะเด็กน้อยลง
เราเคยคิดจะทำ silver university เริ่มเรียนตอน 40 พอ 50 ก็กลายเป็น better fifty ทันที คุณสามารถทำงานไปถึง 65-70 เลย ใครว่าการเรียนรู้จบเมื่อตอนรับปริญญา”
Q : หลักสูตรที่ควรจะมีคืออะไรบ้าง
A: ทุกอย่างเลย ไม่เน้นอะไรที่เป็นความรู้ แต่พวกเทคนิค สกิลต่างๆ อะไรพวกนี้ วิธีมองโลก attitude การทำงาน multiple skill โลกออนไลน์ดิจิตอล เรากำลังจะเปิดหลักสูตรอันหนึ่งกับสมาคมการตลาดชื่อ XYZ เป็นหลักสูตรสำหรับคน gen x สอนโดยคน gen y เพื่อให้เข้าใจโลกเจน z
Q : อยากบอกอะไรกับคนวัย 20 + 30 +
A: เวลาเด็กๆ มองคนอายุ 50 + มีทั้งมองว่าแก่แต่เก๋า และมองว่าแก่เกินแกงแบบแก่แล้วแก่เลย
อยากบอกว่าให้เลือกเอาแต่สิ่งดี ๆ มาเป็นแบบอย่าง เพราะในอนาคตคุณต้องก้าวข้ามตรงนั้นเหมือนกัน
เราคงไม่ไปบอกให้เด็ก ๆ มาเรียนรู้จากผู้ใหญ่ แต่เราต้องทำให้เขาเห็น เด็ก ๆ เขาไม่ปิดกั้นหรอก ถ้าผู้ใหญ่ไม่ใช่ประเภทสั่งสอนดุด่า คือเจนต่างกันหันหน้าเข้าหากันได้ อย่างลูกเราอายุ 20 กว่า เราก็จะก้าวเข้าไปหาเขาพยายามบอกเขา สอนบ้าง แต่บางเรื่องก็ต้องให้เขาเรียนรู้เอง
อ่านต่อได้ในนิตยสารชีวจิต ฉบับ 580
