ไฮเปอร์ไทรอยด์ ไม่ใช่โรคใหม่นะคะ หลายคนรู้จักดี และหลายคนก็กำลังต่อสู้กับโรคนี้ เหมือนกับเธอ…
คุณนุ่น – พุทธชาด ธเนศวาณิชย์ (อายุ 34 ปี) ผู้ป่วยโรคไฮเปอร์ไทรอยด์ ที่ต้องทนทุกข์กับการรักษานานกว่า 6 ปี ทั้งกินยา และกลืนรังสีถึงสองครั้งสองครา ชีวิตของเธอต้องทรมานแค่ไหน ไปฟังเรื่องของเธอกัน
พฤติกรรมทำพิษ ชีวิตพัง
ก่อนจะล้วงลึกถึงวิธีการเอาชนะโรคไฮเปอร์ไทรอยด์ด้วยตนเอง คุณนุ่นเล่าให้เราฟังว่า ในอดีตเธอใช้ชีวิตติดลบเรื่องการดูแลสุขภาพมาก โดยเฉพาะ “อาหารการกิน” ที่นอกจากจะไร้ประโยชน์แล้ว ยังก่อโทษอีกต่างหาก
“เมื่อก่อนฉันมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่แย่มาก ทำงานเยอะ นอนน้อย กินไม่เป็นเวลา เช้าขึ้นมากินกาแฟแก้วใหญ่ หรือไม่ก็โอเลี้ยงกับปาท่องโก๋น้ำมันเยิ้มๆ กลางวันต่อด้วยกาแฟอีกแก้ว ไม่นับชาเย็น น้ำอัดลมอีกสารพัด ข้าวก็กินแค่ตามสะดวก ส่วนเรื่องออกกำลังกายปัดตก เพราะขี้เกียจมาก”
คุณนุ่นเล่าแบบติดตลกอีกว่า ในเวลานั้น หากจะเรียกตัวเองว่า “หมูที่แข็งแรง” ก็ยังเรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะไม่นานนัก อาการผิดปกติก็เริ่มเกิดขึ้นกับร่างกายของเธอ
“อยู่ดีๆ ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยง่ายมาก ชนิดที่ว่าขึ้นบันไดแค่สองขั้นก็ต้องหยุดพัก มือสั่น ใจเต้นเร็วและแรงตลอดเวลา นอนไม่ค่อยหลับ แถมยังฝันร้ายทุกคืน ตอนนั้นคิดว่าคงกินเยอะไป หรือโรคภูมิแพ้ หอบหืดกำเริบอีกแหงๆ เลยลองออกกำลังกายด้วยการเต้นแอโรบิคดู ปรากฏว่าใจยิ่งสั่น จะตายให้ได้”
เมื่อหาทางออกให้ตัวเองไม่สำเร็จ เธอจึงตัดสินใจไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาอาการผิดปกตินั้นทันที
กินยา ผ่าตัด กลืนรังสี สารพัดวิธีสู้โรค
หลังจากคุณหมอซักอาการ และตรวจร่างกายอย่างละเอียด ร่วมกับผลเลือดที่ปรากฏ ทำให้ทราบแน่ชัดว่า คุณนุ่นป่วยเป็นโรคไฮเปอร์ไทรอยด์นั่นเอง
“คุณหมอบอกว่า คุณเป็นไฮเปอร์ไทรอยด์นะครับ ไอ้เราก็งงๆ จนคุณหมออธิบายง่ายๆ ว่า มันคือภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนออกมามากกว่าปกติ เมื่อหลั่งไปในกระแสเลือด จะออกฤทธิ์กระตุ้นอวัยวะต่างๆ ให้ทำงานมากขึ้น ซึ่งเป็นโรคที่หลายคนอาจไม่รู้ตัว แต่จะเริ่มมีอาการผิดปกติจากอารมณ์แปรปรวน กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ หงุดหงิดโมโหง่าย คล้ายๆกับวัยทองน่ะค่ะ (หัวเราะ)”
เธอเล่าอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเสริมว่า วิธีการรักษาโรคนี้มีด้วยกันสามวิธีคือ หนึ่ง การกินยาที่มีฤทธิ์ไประงับการสร้างฮอร์โมน สอง การกลืนสารไอโอดีนชนิดปล่อยกัมมันตภาพรังสีออกมาเพื่อไปทำลายต่อมไทรอยด์ และ สาม การผ่าตัดต่อมไทรอยด์
ซึ่งระดับความรุนแรงของโรคที่คุณนุ่นกำลังเผชิญอยู่ ทำให้เธอผ่านวิธีการรักษาดังกล่าวมาแล้วเกือบครบถ้วน
“ฉันกินยารักษาไทรอยด์มา 3-4 ปี เดี๋ยวอาการก็ดีขึ้น แย่ลง เจาะเลือด ได้ยากลับมากินที่บ้าน วนเวียนอยู่แบบนี้ ครั้งไหนผลเลือดออกมาดีหน่อย คุณหมอลดยาไทรอยด์เหลือมื้อละหนึ่งเม็ด ก็ดีใจมากแล้ว
“จนช่วงหนึ่งที่อาการไม่ค่อยดี คุณหมอก็เลยแนะนำให้ผ่าตัด แต่เรารู้ว่ามันค่อนข้างเสี่ยง และน่ากลัว เพราะมีคนรู้จักเคยผ่าไทรอยด์ บังเอิญไปโดนเส้นเสียงเข้า ทำให้พูดไม่มีเสียง ต้องเอาไขมันหน้าท้องมาฉีดที่เส้นเสียง เพื่อให้เส้นเสียงโตแล้วกระทบกัน ถึงเปล่งเสียงได้ บางคนมีรอยผ่าเหมือนโดนปาดคอ แถมยังต้องกินยาตลอดชีวิตอยู่ดี ฉันก็เลยปฏิเสธ ขอไม่ผ่าดีกว่า”
การตัดสินใจในครั้งนั้นทำให้คุณนุ่นเหลือวิธีเอาชนะโรคร้ายเพียงวิธีเดียวคือ การกลืนสารไอโอดีนชนิดปล่อยกัมมันตภาพรังสีออกมาเพื่อไปทำลายต่อมไทรอยด์ หรือที่หลายคนเรียกกันว่าการ “กลืนแร่”
“ตอนกลืนไม่รู้สึกเจ็บปวดก็จริง แต่ความทรมานมันตามมาทีหลังคือ ผมล่วงเป็นกระจุกๆ ปวดเจ็บศีรษะมาก เหมือนมีคนมาดึงหนังศีรษะ ง่วง เพลียตลอดเวลา ส่องกระจกทีไรก็ใจคอไม่ค่อยดี เพราะภาพที่เห็นคือ อีกนิดเดียวเราก็กลายเป็นคนหัวล้านแล้ว”
แม้เส้นทางการรักษาจะทรหดไม่ใช่น้อย แต่คุณนุ่นก็ยังคงกัดฟันสู้ เพื่อหวังจะหายขาดจากโรคไฮเปอร์ไทรอยด์ให้ได้ แต่จนแล้วจนรอดสิ่งที่คิดไว้ก็ไม่เป็นดังหวัง
“ฉันอดทนกลืนแร่ถึงสองครั้ง แต่ค่าไทรอยด์ก็ยังไม่ปกติอยู่ดี สุดท้ายเลยตัดสินใจ พอกันที เป็นไงเป็นกัน เลิกรักษาเรื้อรังแล้ว
“ตอนนั้นไม่กลัวอะไรแล้ว ไม่หายใช่ไหม จะเป็นอะไรก็เป็นเลย ความเลวร้ายที่สุดของโรคไทรอยด์คือเป็นมะเร็งไทรอยด์ ก็แค่ผ่าตัด เลาะมันทิ้งไป ฉันจะไม่ยอมกินยาอีกแล้ว”
แต่เธอจะรักษาตัวเองอย่างไร ถึงได้หายดีและสวยสดใสอย่างวันนี้
ออกกำลังกาย กินคลีน ไม่ง่าย…แต่ฉันทำได้!
เมื่อตัดสินใจหันหลังให้กับการรักษาทั้งหมด คุณนุ่นจึงทุ่มเทเวลาให้กับการดูแลตัวเอง เรียกว่าปฏิวัติสุขภาพทั้งเรื่องการกิน และการออกกำลังกาย แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับมือใหม่ ที่เกียจคร้านการขยับเขยื้อนร่างกายเป็นที่สุด แต่ก็ไม่มีอะไรยากเกิน หากพยายามและตั้งใจจริง…
“โดยพื้นฐานแล้ว ฉันไม่ชอบออกกำลังกาย การแข่งขันกีฬาที่ใครว่าสนุก ก็ยังไม่ดู ไม่สนใจเลย ทั้งๆ ที่รู้ดีว่ามันทำให้สุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยนะ แต่อีกใจก็รู้ว่าตัวเองไม่มีวินัยมากพอ แถมเป็นคนใจร้อนอีกต่างหาก การที่เห็นคนๆ หนึ่งประสบความสำเร็จเพราะการออกกำลังกาย นั่นคือเขาต้องใช้เวลานานมาก ซึ่งเราจะอดทน และรอคอยได้เท่าเขาหรือ…ไม่มีทางหรอก
“จนกระทั่งแฟนบังคับให้ไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสด้วยกัน เราเห็นผู้หญิงใส่สปอร์ตบรา โชว์ซิกแพคสวยๆ เห็นคุณป้า คุณยายที่อายุมากแล้วสุขภาพยังฟิตปั๋ง เดินตัวปลิว ก็เลยตัดสินใจ เอาน่ะ ลองดูสักตั้ง!”
คุณนุ่นเล่าให้ฟังต่อว่า ภารกิจพิชิตไฮเปอร์ไทรอยด์ของเธอเริ่มจากการตื่นนอนตอนตี 4 ครึ่ง อาบน้ำแต่งตัว และเดินทางไปถึงฟิตเนสประมาณ 6 โมงเช้า เพื่อที่จะได้มีเวลาออกกำลังกายเยอะๆ และเรียกพลังความสดชื่นก่อนไปทำงาน โดยเธอจะเลือกเข้าคลาสออกกำลังกายอย่างง่ายๆ ก่อน เป็นเวลา 45 นาที เช่น ยกลูกบอล สควอท ซิตอัพ ทีอาร์เอ็กซ์ หรือเล่นเวตเทรนนิ่ง 1 ชั่วโมง ปิดท้ายด้วยการเดินชันบนลู่อีก 40 นาที
“ฉันออกกำลังกายสัปดาห์ละ 6 วัน ถ้าเทรนเนอร์ไม่ขอร้องให้หยุดพัก ก็คงจะออก 7 วันเลย (หัวเราะ) เพราะยิ่งได้ออกกำลังกาย เรายิ่งรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า อาการง่วง เพลีย เหนื่อยง่ายที่เคยมีหายเป็นปลิดทิ้ง ที่สำคัญคือเริ่มมีกล้ามเนื้อขึ้นมาให้เห็น เสื้อผ้าที่ใส่ลดขนาดลง 1 ไซส์ ทั้งๆ ที่ออกกำลังกายอย่างจริงจังได้ไม่นาน ทำให้รู้ว่า จริงๆ แล้วผลของการดูแลตัวเอง ไม่ได้ใช้เวลานานอย่างที่คิดเลย”
นอกจากการออกกำลังกายที่กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของสาวคนนี้แล้ว ในแต่ละวันเธอยังใส่ใจเรื่องอาหารการกินไม่น้อย โดยหากมีเวลาก็จะลงมือปรุงเมนูคลีนกินเองเสียด้วย
“เรื่องอาหาร สำคัญไม่แพ้การออกกำลังกาย มื้อเช้า ฉันจะดื่มนมถั่วเหลืองหนึ่งกล่อง ใส่เมล็ดเจียสองช้อน เมล็ดแฟกซ์หนึ่งช้อน งาดำป่นหนึ่งช้อน และงาขี้ม่อนหนึ่งช้อน แก้วเดียวได้ทั้งโปรตีน กรดไขมันดี เส้นใยอาหาร สารแอนติออกซิแดนท์ และคอเลสเตอรอลต่ำ ทำให้ไม่อ้วนด้วย
“ส่วนเมนูอาหารคลีนที่ชอบทำคือ ปลาแซลมอนย่างกินคู่กับสลัดผัก หรือข้าวกล้องค่ะ ขนมหวาน น้ำอัดลมต้องเลิกโดยเด็ดขาด ช่วงแรกอาจจะตัดใจยากหน่อย ฉันจะใช้วิธีกินผลไม้แทน ทุกวันจะต้องหั่นสาลี่กับแก้วมังกรใส่กล่องมากินเป็นมื้อว่างที่ที่ทำงาน หรือถ้าทนไม่ไหวอยากได้ความหวานจริงๆ ก็กินเงาะสัก 2 ลูกให้พอชื่นใจ”
“ทุกวันนี้ การกินไม่ใช่เพื่อความอร่อยอีกแล้ว แต่เป็นการกินเพื่ออยู่ กินเพื่อการมีสุขภาพที่แข็งแรงเท่านั้น”
สาวเฮลท์ตี้ยิ้มหวาน ก่อนจะเผยข่าวดีให้เราฟังว่า ล่าสุดเธอไปตรวจสุขภาพ และพบว่าระดับฮอร์โมนไทรอยด์เป็นปกติ ทำให้ไม่ต้องพึ่งยาอีกต่อไป
“คุณหมอเห็นผลเลือดแล้วบอกว่า …คุณหายแล้วนะ ไม่ต้องกินยา มาหาหมอตรวจเลือดแค่ปีละครั้งก็พอ ฉันดีใจมาก …รู้แบบนี้ออกกำลังกาย กินคลีนไปนานแล้ว”
หันมาดูแลตัวเองเสียตั้งแต่วันนี้ …เริ่มก่อน มีสิทธิ์ (สุขภาพเลิศ) ก่อน อย่างเธอคนนี้แน่นอนค่ะ
เรียบเรียงโดย ธัญชนิตย์
ขอบคุณภาพจาก pixabay