ต่อสู้

ต่อสู้ จนสำเร็จแต่แล้วก็สูญสิ้น ! ชีวิตจริงดั่งเรือที่ล่องลอย…ไร้จุดหมาย

ถ้าเปรียบชีวิตของผมเหมือนเรือลำหนึ่ง ก็คงเป็นเรือที่กำลังร่อนเร่อยู่ท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ฝ่าคลื่นลมสารพัด โดยไม่รู้เลยว่าจุดหมายที่ผมต้องการจะไปให้ถึงนั้นคือที่ใด แม้จะต้อง ต่อสู้ มาแค่ไหนก็ตาม

ผมเกิดในครอบครัวชาวจีน เตี่ยของผมมีอาชีพเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง แม่เปิดร้านขายของอยู่ที่บ้านย่านพรานนก ครอบครัวเราเป็นครอบครัวใหญ่ มีพี่น้องทั้งหมด 10 คน ผมเป็นลูกคนที่ 7 ผมเติบโตเหมือนเด็กทั่วไป กลางวันมีหน้าที่เรียนหนังสือ ตกเย็นก็ช่วยแม่ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ

ชีวิตวัยเด็กดำเนินเรื่อยมา กระทั่งผมอายุประมาณ 15 ปี เรียนอยู่ชั้น มศ. 2 ช่วงนั้นเตี่ยเห็นว่าผมโตแล้วน่าจะเริ่มทำงานเสียที วันเสาร์-อาทิตย์ จึงพาไปช่วยงานที่ไซต์งานก่อสร้าง เมื่อปิดเทอมก็พาไปพักที่ไซต์งานด้วย สุดท้ายผมจึงลาออกจากโรงเรียนเพื่อช่วยงานอย่างเต็มที่ ผมทำงานกับเตี่ยอยู่นานจนเริ่มเป็นงานและคิดว่าจะช่วยงานท่านต่อไปเรื่อย ๆ

แต่แล้วครอบครัวของผมก็พลิกผันครั้งใหญ่ เมื่อผมจับได้ว่าเตี่ยมีเมียน้อย

วันนั้นผมเดินเข้าไปในบ้านพักและเห็นว่าเตี่ยกำลังอยู่กับผู้หญิงคนอื่น ผมทั้งตกใจและเสียใจ ไม่คิดว่าตัวเองจะเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูก คิดแค่ว่าต้องเข้าไปคุยกับเตี่ยให้รู้เรื่อง

“ทำไมเตี่ยถึงทำแบบนี้” สิ้นคำถาม แทนที่ผมจะได้รับคำอธิบาย เตี่ยกลับเดินเข้ามาตีพร้อมพูดว่า “แล้วมึงมายุ่งอะไร นี่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก มึงไม่ต้องมายุ่ง”

ผมทั้งโกรธทั้งเสียใจ จึงออกมาจากบ้านพักทันที ตกเย็นเมื่อผมกลับห้อง จึงรู้ว่าเตี่ยพาผู้หญิงคนนั้นออกไปแล้ว โดยทิ้งเงินไว้ให้ผม 100 บาท

แม้มีเงินติดตัว แต่ผมกลับไม่ได้ใช้เงินนั้นแม้แต่บาทเดียว เพราะวันรุ่งขึ้นคนงานไม่มีเงินกินข้าวจึงขอเบิกค่าแรง ผมสงสาร จึงให้เงินเขาไปทั้งหมด โดยหวังว่าเย็นวันนี้ เตี่ยคงกลับมา แต่ความหวังของผมก็สูญเปล่า

ผมรอเตี่ยอยู่ 6 วันเต็ม ๆ พูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อว่าตลอด 6 วันนั้น ไม่มีอะไรตกถึงท้องผมเลย คนงานบางคนสงสารให้ข้าว ให้ขนมมากินบ้าง แต่ผมไม่รับเพราะเกรงใจและถือตัวว่าไม่อยากกินของคนอื่น

วันที่ 7 ผมตั้งใจว่า ถ้าวันนี้เตี่ยไม่กลับมา ผมจะขอตัดขาดจากท่าน ผมรอเตี่ยจนตะวันเกือบตกดิน จนแล้วจนรอดก็ยังไร้วี่แวว จึงตัดสินใจเดินออกจากไซต์งานก่อสร้างแถวบ้างยี่ขันเพื่อกลับบ้าน ผมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แม่ฟัง ท่านร้องไห้และบอกว่า “นับตั้งแต่วันนี้ ไม่ต้องกลับไปอยู่กับเขาแล้ว เขาทำกับเราถึงขนาดนี้ก็กลับมาอยู่บ้านดีกว่า และต่อไปก็ไม่ต้องไปช่วยเหลือเขาอีก”

ไม่นานเตี่ยก็กลับมาขนข้าวของออกจากบ้านและแยกทางกับแม่ ส่วนผมกลายเป็นคนว่างงาน ประกอบกับช่วงนั้นน้าสาวต้องการคนงานเฝ้าบ่อปลา แม่เห็นผมอยู่ว่าง ๆ จึงบอกให้ผมไปช่วย

ช่วงที่ไปเฝ้าบ่อปลา คือช่วงที่ลำบากที่สุดในชีวิต ผมอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีเพื่อน บางสัปดาห์ก็ไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาท แรก ๆ น้าสาวจะนำอาหาร พร้อมเงิน 100-200 บาทมาส่งสัปดาห์ละครั้ง นานวันเข้าก็เริ่มเป็น 2 สัปดาห์ครั้ง เพราะเธอมีธุรกิจอื่น ๆ ต้องดูแลด้วย ผมต้องอดมื้อกินมื้อ เฝ้ารอด้วยความหวังว่า อีกไม่นาน น้าคงมีเวลานำอาหารและเงินมาให้ หลายครั้งที่ผมอยากสูบบุหรี่ แต่ไม่มีเงินซื้อจนต้องเดินเก็บก้นบุหรี่ตามพื้นที่เคยทิ้งไว้มาจุดสูบใหม่ ถึงแม้จะลำบากมาก แต่ก็ไม่ปริปากบ่น เพราะไม่อยากทำให้แม่กลุ้มใจ

ต่อสู้

ผมเลี้ยงปลาได้ปีกว่าก็ถึงเวลาจับปลาขาย โชคร้ายที่ปีนั้นเกิดโรคระบาด ปลาที่เลี้ยงไว้ตายเป็นเบือ น้าสาวขาดทุน จึงต้องเลิกทำบ่อปลา ส่วนผม แม้จะได้เงินเดือนไม่ครบตามจำนวน แต่ก็ไม่ถือโทษเพราะเข้าใจว่าเป็นเหตุสุดวิสัย

หลังจากเลิกรับจ้างเฝ้าบ่อปลา ก็ถึงคราวที่ต้องเข้ารายงานตัวเพื่อเกณฑ์ทหาร ผมฝึกทหารอยู่ปีกว่า เตี่ยก็ติดต่อกลับมาให้ไปช่วยคุมงานก่อสร้างอีกครั้ง ด้วยความที่ท่านเป็นพ่อและเวลาก็ล่วงเลยมาหลายปีแล้ว ผมจึงไม่โกรธท่านอีกต่อไป ผมขอลากลับบ้าน โดยคิดว่าหากช่วยงานเสร็จก็จะกลับมาประจำการต่อให้ครบกำหนด แต่สุดท้ายผมกลับกลายเป็นนักโทษหนีทหาร

ระหว่างที่ช่วยงานเตี่ย ผมเริ่มคบหากับผู้หญิงคนหนึ่ง ด้วยความเป็นหนุ่ม ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ไม่ได้คิดถึงผลเสียที่ตามมา ผมจึงไม่กลับเข้ากรมตามกำหนด

ผมช่วยเตี่ยทำงานประมาณปีกว่า ผู้หญิงที่เคยคบหาก็เลิกรากันไป จึงเริ่มคิดว่า “แล้วเราจะต้องหนีอย่างนี้ชั่วชีวิตหรือ” เมื่อคิดได้จึงตัดสินใจมอบตัว สุดท้าย ชีวิตวัยรุ่นของผมต้องไปจบลงที่คุกทหาร

เนื่องจากผมมอบตัวเองและไม่มีแนวโน้มว่าจะหนีอีกแล้ว การลงโทษจึงไม่รุนแรงนัก ผมถูกตัดสินให้จำคุก 3 เดือนเมื่อพ้นโทษ ทางราชการก็ทำเรื่องลบล้างประวัติให้ทั้งหมด ผมจึงกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง

ผมกลับไปช่วยงานเตี่ยเช่นเดิม ทำงานเรื่อยมาจนเชี่ยวชาญจึงขอเตี่ยออกมารับงานเอง ช่วงนี้นับเป็นนาทีทองของชีวิต มีผู้ว่าจ้างให้ผมไปสร้างบ้านหลายหลัง ผมจำได้แม่นว่าทุก 15 วัน ผมจะได้รับเงินจากเจ้าของบ้าน หลังหักค่าวัสดุและค่าแรงคนงานแล้ว ผมมีเงินเหลือไม่ต่ำกว่า 40,000 บาท เท่ากับว่าเดือนหนึ่งผมมีรายได้เกือบแสน

เมื่อแม่เห็นผมเริ่มประสบความสำเร็จ มีงาน มีเงินทอง เลี้ยงดูตัวเองได้ ท่านก็ภูมิใจ ผมก็ภูมิใจในตัวเองเช่นกันที่ทำให้แม่สบายใจและหมดห่วงได้ ทุกอย่างดูเหมือนจะดำเนินไปด้วยดี หลายคนคงคิดว่าผมน่าจะเริ่มตั้งตัวได้จากตอนนี้ แต่ทุกอย่างไม่ได้สวยหรูเช่นนั้น

เมื่อมีเงินมาก ผมก็ใช้มาก ใช้อย่างไม่คิดถึงอนาคต ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นผมก็มีครอบครัวและมีลูกแล้ว แต่ก็ไม่เคยคิดจะเก็บเงินเพื่อลูกเลย รายได้หลักหมื่นหมดไปกับค่าเหล้า เบียร์ พาลูกน้องเข้าร้านอาหารสั่งทุกอย่างไม่อั้น แต่ก้าวที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตคือ การก้าวเดินเข้าสู่วงการสนุกเกอร์

ผมไปเล่นสนุกเกอร์ทุกคืน โดยที่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย ซ้ำยังต้องเสียเงินคืนละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท ตอนนั้นผมคิดแค่ว่า “เรามีแรงทำงาน เงินหมดก็หาใหม่ได้ ตอนนี้ขอใช้ให้เต็มที่ก่อนแล้วกัน”  โดยไม่นึกเลยว่า นาทีทองของผมกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว

เมื่อครบ 8 เดือน งานของผมเสร็จสิ้น แทนที่จะมีเงินเก็บเฉียดล้าน ผมกลับไม่มีเงินแม้แต่จะจ่ายค่างวดรถยนต์ พาหนะทำมาหากินของผมต้องถูกยึด ทั้ง ๆ ที่ผ่อนอีกแค่ 7 งวด รถก็จะกลายเป็นของผมแล้ว

เมื่อรถถูกยึด ผมก็รับงานต่อไม่ได้ เพราะไม่มีรถบรรทุกของ แต่ผมเก็บความลำบากนี้ไว้คนเดียวโดยไม่บอกให้แม่รู้ เพราะอยากให้ท่านภูมิใจในตัวผมเหมือนเดิม ระหว่างนั้นผมก็รับจ้างขับรถไปเรื่อย ได้เงินบ้าง ถูกเอาเปรียบบ้าง แต่ก็พยายามมองหาลู่ทางทำงานอื่น กระทั่งผมรู้ข่าวว่าเตี่ยป่วยเป็นมะเร็ง

ตอนนั้นท่านอยู่กับครอบครัวใหม่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีกิจการใหญ่โต และร่ำรวย ผมไปเยี่ยมและดูแลท่านสักพัก ท่านก็จากไป ตอนที่ผมไปงานศพ แม่เลี้ยงเสนองานให้ผมทำ เธอบอกว่า จะจ้างผมไปเป็นคนขับรถ แต่มีข้อแม้คือ ผมต้องเลิกกับเมียและไปอยู่กับเธอแทน

ตอนนั้นผมกำลังน้อยใจเตี่ยที่ไม่แบ่งทรัพย์สินอะไรให้เลย ทั้ง ๆ ที่ผมก็เป็นลูกและเคยช่วยงานท่านมาหลายปี ช่วงที่ทำงานกับเตี่ย ผมได้ค่าแรงสัปดาห์ละ 200-300 บาท ขณะที่เตี่ยส่งเงินมากมายให้ครอบครัวใหม่ได้อยู่อย่างสุขสบาย จึงคิดว่าขอใช้โอกาสนี้ ทวงสิ่งที่ผมควรจะได้รับกลับคืนมา ผมเอ่ยปากขอรถยนต์จากแม่เลี้ยง เธอก็ยอมซื้อรถกระบะมือสองให้ แต่แทนที่ผมจะไปอยู่กับเธอตามข้อตกลง ผมกลับขับรถหนีออกมาโดยไม่ติดต่อกลับไปอีกเลย

แต่เมื่อได้รถมา ใจหนึ่งผมก็รู้สึกผิด เพราะคิดว่าเป็นรถที่หลอกเขามา อีกใจก็คิดว่านี่เป็นหยาดเหยื่อ แรงงานที่เราควรได้รับ ผมจึงหาทางออกง่าย ๆ ว่า อย่างนั้นก็นำรถไปขายแล้วซื้อคันใหม่ จะได้ไม่ต้องรู้สึกแสลงใจทุกครั้งที่ขับ โดยไม่คิดเลยว่าจะเป็นการสร้างหนี้ก้อนใหม่

ผมกลับมารับเหมาก่อสร้างอีกครั้ง แม้จะผ่านเหตุการณ์ถูกยึดรถ จนไม่มีงานทำแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เข็ด เมื่อมีเงิน ผมก็ใช้จ่ายโดยไม่ยั้งคิด ไม่เก็บเงินอีกเช่นเดิม แต่ครั้งนี้ เงินของผมหมดไปกับค่าหวย งวดหนึ่งผมต้องเสียไม่ต่ำกว่า 4,000 บาท เพราะคิดว่ายิ่งซื้อมาก โอกาสถูกก็ยิ่งมีมาก ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ไม่เป็นอย่างนั้นเลย

รถของผมเกือบถูกยึดอีกครั้ง บริษัทไฟแนนซ์ส่งคนมารับรถของผมถึงที่บ้าน จนผมต้องแอบปีนหน้าต่าง กระโดดจากบ้านชั้นสอง เพื่อขับรถหนีไป ระหว่างที่หนีผมก็รับงานก่อสร้างไปด้วย จนมีเงินเก็บก้อนหนึ่ง จึงนำมาจ่ายค่างวดรถจนครบ

ต่อสู้

นอกจากใช้เงินไม่เป็นแล้ว ผมยังเป็นคนปากเสีย พูดจาไม่คิด ไม่เกรงใจคนอื่น จนวันหนึ่งคำพูดแค่ 2-3 ประโยค ทำให้ผมเกือบเอาชีวิตไม่รอด

ครั้งนั้นผมไปรับเหมาก่อสร้างร่วมกับผู้รับเหมารายอื่น ๆ ที่บริษัทแห่งหนึ่ง แต่มีผู้รับเหมาคนหนึ่งไม่เอาอุปกรณ์ของตัวเองมาเลย แต่กลับมาใช้ของผมจนเสียหาย ผมโมโหมากจึงเดินไปต่อว่าซึ่ง ๆ หน้า

“คนทำมาหากินต้องรู้จักลงทุน ไม่ใช่เที่ยวมาหยิบของคนอื่นมาใช้อย่างนี้ เอาไปไม่ว่า ยังทำลายจนมันไร้ค่า ไร้ราคาอีก ถ้าเอ็งใช้ของอย่างนี้ ทีหลังก็ไม่ต้องมาใช้ จะไปหาที่ไหนก็ไป”

เมื่อพูดจบผมหันหลังกลับ แต่เรื่องไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะผู้รับเหมาคนนั้นหยิบปืนขึ้นมาจ่อหัวผม พร้อมกับถามว่า “ถ้าเอ็งแน่จริง เอ็งพูดใหม่สิ”

ผมทั้งกลัว ทั้งคับแค้นใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะกระบอกปืนจ่ออยู่ที่ขมับ บังคับให้ผมต้องพูดในสิ่งที่ไม่อยากพูดเลย “แล้วจะให้ผมพูดว่าอะไรล่ะ” สิ้นคำ น้ำตาไหลด้วยความอัดอั้น แต่ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายก็มีคนเข้ามาห้ามเสียก่อน ผมจึงรอดชีวิตมาได้

เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมมีสติยั้งคิดมากขึ้น รู้จักยับยั้งชั่งใจ และคิดได้ว่า ชีวิตของเรายังมีคนข้างหลังที่รอเราอยู่ ร่างกายนี้เป็นของแม่ เราต้องรักษาให้ดีที่สุด ถ้าเราเป็นอะไรไป ท่านจะทุกข์ใจขนาดไหน หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยเอาชีวิตไปเสี่ยงอีกเลย

แม้ผมไม่ใช่คนดีเต็มร้อย เคยผ่านการโกหก หลอกลวงสารพัด ใช้ชีวิตไม่มีแก่นสารดื่มเหล้าเที่ยวกลางคืนไปวัน ๆ แต่สิ่งที่ผมยึดมั่นคือความซื่อสัตย์ในอาชีพ

ผู้รับเหมาคนอื่นอาจถูกลูกค้าโกงหลายต่อหลายครั้ง แต่ผมกลับไม่เคยโดนโกงเลยสักครั้ง ที่เป็นเช่นนี้เพราะผมเชื่อว่าเป็นอานิสงค์จากการที่ผมตั้งมั่นว่าจะไม่หลอกลวงลูกค้า ผมทำงานให้เขาเต็มที่ ไม่เคยทิ้งงานเลยสักครั้ง จนลูกค้าคนหนึ่งพูดกับผมว่าว่า “ลื้ออย่าเพิ่งตายนะ ให้อั๊วตายก่อน เพราะถ้าลื้อตาย อั๊วก็ไม่รู้จะไปหาช่างที่ไหนเหมือนกัน” ผมภูมิใจทุกครั้งที่นึกถึงคำพูดนี้

หลังจากรับเหมาก่อสร้างมานับสิบปีจนสร้างบ้านให้ตัวเองได้ 1 หลัง ลูกน้องก็เริ่มปลีกตัวไปรับงานเอง คนงานก็หายากขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับอายุผมก็มากขึ้น จะให้ทำงานหนักเช่นเดิมคงไม่ไหว จึงคิดว่าน่าจะหาอาชีพอื่นทำ โดยนึกถึงการขับรถตู้เป็นอาชีพแรก เพราะไม่ต้องพึ่งพาลูกน้อง และรายได้น่าจะดี แม้จะมีช่องทางแต่ก็ติดตรงที่ผมไม่มีเงิน

เนื่องจากสร้างบ้านบนที่ดินของวัด ไม่มีโฉนด ไม่มีเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ อนาคตจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่อาจคาดการณ์ได้ พี่ชายจึงแนะนำว่าให้ขายบ้าน นำเงินไปซื้อรถตู้มาทำมาหากิน และเสนอให้ผมไปอยู่บ้านของเขาแทน ผมตัดสินใจทำตาม

เมื่อออกมาขับรถตู้จึงได้รู้ว่ารายได้ไม่ได้ดีอย่างที่คิด เพราะช่วงที่คนนิยมเช่ารถตู้คือช่วงเทศกาล ซึ่งมีแค่ 3 เดือน นอกนั้นรถตู้คันใหม่ต้องเป็นหม้าย ผมกลายเป็นคนว่างงานอีกครั้ง จนคิดขายรถตู้ทิ้งแล้วเอาเงินไปลงทุนทำอย่างอื่น แต่สุดท้ายก็มีคนแนะนำให้ผมขับรถรับ-ส่งเด็กนักเรียนย่านปทุมธานี ซึ่งไม่ไกลจากบ้านพี่ชายนัก ผมตอบตกลงและเริ่มเป็นพนักงานขับรถตู้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา วันจันทร์ – วันศุกร์ ทำหน้าที่ส่งนักเรียน บางครั้งวันเสาร์ – วันอาทิตย์ก็มีคนจ้างไปต่างจังหวัดบ้าง

แม้ชีวิตผมไม่เคยมีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน ไม่รู้จักบริหารเงิน แต่ผมจะเก็บเงินส่วนหนึ่งเอาไว้ทำบุญเสมอ ทุกปีผมจะจัดผ้าป่า เรี่ยไรเงินจากญาติพี่น้องและคนรู้จัก ไปถวายตามวัดต่างจังหวัด เพราะผมเชื่อว่าการทำบุญ มีแต่ได้ ไม่มีเสีย สิ่งที่เราได้กลับมาเสมอ คือความสบายใจ และความอิ่มอกอิ่มใจที่เราได้ทำความดี

ตลอดชีวิตการเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ผมสร้างบ้านให้ลูกค้า 50-60 หลัง แต่เพราะความไม่ยั้งคิด ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย จนตอนนี้ผมอายุ 52 ปี ผ่านครึ่งชีวิตมาแล้ว ผมกลับไม่มีบ้านเป็นของตัวเองเลยสักหลัง มีสมบัติติดตัวมีแค่รถกระบะและรถตู้อย่างละคัน มาคิดได้ตอนนี้ก็เกือบจะสายไปเสียแล้ว นาทีทองของชีวิตของผมผ่านเลยไปแล้ว

ผมเชื่อว่าคนเราไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร ทุกคนมีโอกาสเข้ามาเสมอ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะฉวยโอกาสนั้นไว้ได้หรือเปล่า จะใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานั้นได้หรือไม่ หรือปล่อยให้มันผ่านเลยไป โดยที่ไม่ได้อะไรกลับคืนมา

ต่อสู้

 

บทเรียนชีวิตที่ผมได้รับคือ การใช้ชีวิตต้องมีสติ รู้จักยับยั้งชั่งใจ และที่สำคัญ ต้องตั้งเป้าหมายให้ชีวิต เพราะถ้าเราไม่มีจุดหมายที่แน่นอน ก็เหมือนการเดินทางที่ไม่มีแผนที่ เมื่อเจอทางแยกเราก็เดาสุ่ม เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา โดยที่ไม่รู้ว่าที่เราเลี้ยวไปนั่นคือทางออกหรือทางตัน

แม้ตอนนี้ผมจะคิดได้และเริ่มวางแผนอนาคตไว้ว่า ถ้าเก็บเงินได้สักก้อน จะนำไปลงทุนทำการเกษตรที่ต่างจังหวัด ปลูกผัก ผลไม้ตามประสา ผมไม่ได้หวังว่าจะต้องเป็นเศรษฐี มีเงินทองมากมาย แค่ของให้วันพรุ่งนี้เรามีกิน ครอบครัวเราอยู่ดี กินดีและมีความสุขก็พอ ส่วนผมจะเหนื่อยหน่อยก็ไม่เป็นไร ผมทนได้

เรือแห่งชีวิตของผมฝ่าคลื่นลมมา 52 ปี โดยไร้จุดหมาย เมื่อคิดได้ว่าปลายทางคืออะไร เรือก็เสื่อมโทรมลงมากแล้ว ผมไม่รู้ว่ามันจะฝ่ากระแสน้ำไปถึงฝั่งที่ผมตั้งเป้าหมายไว้ได้รึไม่ แต่ผมก็จะพยายามต่อไป สุดท้ายผมอยากให้ร่องร่อยและบาดแผลที่ปรากฏบนเรือลำนี้ เป็นอุทาหรณ์สอนใจคนอื่น ๆ ไม่ให้ต้องหลงผิด มาเดินตามเส้นทางของผมอีกเลย

 

ข้อคิดจาก พระอาจารย์มหาเฉลิม ปิยทสฺสี เจ้าอาวาสวัดปัญญานันทาราม ต.คลองหก อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

นาวาชีวิตที่กำลังลอยแล่นท่ามกลางทะเลทุกข์ ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงพายุร้าย แน่นอนว่าเราคงไม่อาจคาดหวังได้ว่า   “เราอย่าเจอพายุร้าย เราจงแล่นถึงฝั่งโดยปลอดภัย แต่เราสามารถปรับเปลี่ยนใบเรือได้ เราปรับเปลี่ยนทิศทางการเดินทางของนาวาชีวิตได้”

เรือที่ปลอดภัยที่สุด คือเรือที่จอดเทียบท่าอยู่ แต่เรือไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อจอดไว้ที่ท่าอย่างนั้น มันถูกสร้างมาให้ออกไปทำภารกิจในทะเลไปเจอกับคลื่นลม อุปสรรค ปัญหาและพายุต่าง ๆ ทะเลยังมีคลื่น ชีวิตไม่ราบรื่น ต้องมีอุปสรรคบ้าง แต่นั่นละ หากว่าเราต่อสู้ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคปัญหา อุปสรรคจึงเป็นวิถีแห่งสวรรค์ ย่อมทำเราให้กล้าและแกร่ง พระพุทธองค์ทรงสอนให้เรารู้จักทุกข์ ไม่ได้สอนให้เราเป็นทุกข์ ทุกข์จึงมีไว้เรียนรู้และอยู่กับทุกข์ได้อย่างไม่เป็นทุกข์ เพราะว่าความดี ความชั่ว สุขทุกข์ทั้งหมดนั้น มารดาก็ทำให้ไม่ได้ บิดาก็ให้ไม่ได้ ญาติพี่น้องก็ทำให้ไม่ได้ แต่จิตที่ฝึกฝนไว้ชอบย่อมทำสิ่งนั้นให้ได้และทำให้ได้อย่างประเสริฐด้วยฯ

ดังนั้น ก่อนที่นาวาชีวิตเราจะไร้จุดหมาย หรือจะอับปางวายจมลงสู่ท้องทะเล พึงฝึกจิตตั้งจิตไว้ชอบ กำหนดเป้าหมายชีวิตตนไว้โดยมีสติเป็นหางเสือคอยกำหนดทิศทางแล่นเรือไป และแสวงหาประภาคาร หรือแสงสว่างตามรายทางชีวิตจากเพื่อนพ้องกัลยาณมิตรเถิด ไม่ด่าว่าความมืดแต่เงยหน้าและจุดแสงสว่างแห่งธรรมนำทางชีวิตตนเถิดฯ

 

เรื่อง  ระพีพัฒน์ 

เรียบเรียง  พิชญา

ภาพ  ฝ่ายภาพอมรินทร์พริ้นติ้งฯ

Secret Magazine (Thailand)


บทความน่าสนใจ

“เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะสู้ได้” สามพี่น้องสู้ชีวิตทำงานเลี้ยงยายและหาทุนเรียน

พอลร์ ผู้พิชิตไพร หนุ่มกะเหรี่ยงตาบอด สู้ชีวิตปลุกปั้นโรงงานเนยถั่วเพื่อเด็กด้อยโอกาส

เธอเดินไม่ได้แต่ใจยังสู้ ยึดอาชีพทำดอกไม้จันทน์ขาย จนสร้างบ้าน ซื้อรถได้

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.