ผมมีประสบการณ์จากคนรู้จักมาเล่าสู่กันฟัง ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งคิดว่าผมจะเล่าเรื่องไร้สาระนะครับ เพราะเรื่องชาวบ้านบางเรื่องเราก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้เป็นอย่างดี
อย่างเช่นเรื่องของ “ปอ” หนุ่มออฟฟิศธรรมดาคนหนึ่ง เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เช่าห้องพักเล็ก ๆ อยู่ตามลำพังใกล้ที่ทำงาน ปอเรียนจบปริญญาตรีด้วยเงินจากกองทุนกู้ยืม และได้งานทำทันทีที่เรียนจบ ถึงแม้ว่าจะได้เงินเดือนไม่มากนัก แต่ยังดีกว่าตกงาน
เขาอดทนทำงานที่เดิมด้วยความหวังว่าเงินเดือนจะขึ้นตามอายุงาน ไม่ได้หวังสูงถึงกับขอให้เงินเดือนพ้นเลขหนึ่งนำหน้า ขอแค่ให้ทำบัตรเครดิตได้ก็พอ แล้วอยู่ดี ๆ ความฝันของปอก็เป็นจริงขึ้นมาด้วยอานิสงส์จากนโยบายภาครัฐ “ปริญญาตรีเงินเดือนหมื่นห้า”
เขาได้รับการชักชวนให้สมัครบัตรเครดิตจากหลายหน่วยงาน และในวันที่ปอได้รับบัตรเครดิตจากธนาคารแห่งหนึ่ง เขายิ้มอย่างเป็นสุขที่สุดในโลก ได้ซื้อโน่นซื้อนี่ให้ตัวเองบ้าง ให้คนอื่นบ้าง เขาใช้เงินอย่างคล่องมือมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยทำได้ ต่างจากก่อนหน้านี้ที่กว่าเขาจะจ่ายเงินซิ้ออะไรสักอย่างต้องคิดแล้วคิดอีก ราวกับมีมารขาว มารดำมาตีกันอยู่ข้างหู ซึ่งส่วนใหญ่มารขาวเป็นฝ่ายชนะ และบอกกับเขาว่า ยังไม่จำเป็นสำหรับตอนนี้…กลับบ้านนอนดีกว่า
วันเวลาผ่านไปได้ราวสองสามเดือน ความสุขของเขาค่อย ๆ ลดน้อยลง…มันช่างสวนทางกับ “จำนวนเงินที่ต้องชำระ” ในใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตเสียเหลือเกิน ปอมองเอกสารในมือด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อย ท้อใจ แล้วทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้อง เอนหลังพิงข้างเตียงเก่า ๆ แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น…
“เป็นไงบ้างลูก” แม่ โทร.หาปอในช่วงเวลาที่เขาต้องการกำลังใจอย่างที่สุด
“อ๋อ…ครับ แม่ ผมก็…ก็สบายดีครับ”
“ไม่โทร.หาแม่ซะหลายวัน มีปัญหาอะไรหรือเปล่า เล่าให้แม่ฟังได้นะ” เขาเงียบไปเหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่คอ
“ปอ…เอ็งเป็นลูกแม่นะ นิสัยเอ็งแม่เห็นมาแต่เล็กจนโต มีปัญหาอะไร ไหนบอกแม่ซิ” ปอน้ำตารื้นขึ้นมาทันที ตอบกลับไปด้วยเสียงสั่นเครือ “ผมไม่ได้ทำตามที่แม่เคยสอนไว้ ตอนนี้ผมไม่มีเงินเก็บแล้ว แถมยังเป็นหนี้อีกหลายหมื่น พอผมมีบัตรเครดิต ผมก็เริ่มทำตามใจตัวเอง อยากได้โน่นนี่ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า สิ่งที่แม่สอนช่วยให้ผมไม่ต้องเป็นหนี้ รู้จักประมาณตน ไม่ฟุ้งเฟ้อ อยากได้อยากมีในสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับเรา”
ปอยังคงนั่งหน้าเศร้าในขณะที่แม่พูดตอบกลับมาว่า “ปอ…ฟังแม่นะลูก…พ่อหลวงท่านมีทรัพย์มากกว่าเราตั้งเท่าไร แต่ท่านยังดำรงตนอย่างพอเพียง คนเรามีความอยากได้อยากมีไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้จักควบคุมกิเลสให้อยู่ในขอบเขตที่พอเหมาะพอควร เราย่อมเดือดร้อนเพราะตัวเองอยู่ร่ำไป ความสุขที่ได้จับจ่ายใช้สอยเกิดขึ้นแค่ชั่วอึดใจ แต่ความทุกข์ที่ได้รับมันยาวนานกว่านั้นมากนะลูก”
“ผมขอโทษครับแม่…”
“ไม่เป็นไรนะลูก ทำผิดแล้วรู้ตัวว่าผิด ก็จงแก้ไขให้ถูก ประสบการณ์จะเป็นครูหากเราได้เรียนรู้มัน เอาละ…ปอเป็นหนี้อยู่เท่าไร แม่จะช่วยใช้หนี้ให้” แม่กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“แม่อย่าลำบากเลยครับ แม่ต้องเหนื่อยเพราะผมมามากแล้ว ผมจะลองพยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเองดูก่อน มันอาจต้องใช้เวลาหน่อย แต่ผมจะไม่สร้างหนี้เพิ่มครับ” ปอเกรงว่าแม่จะยืมเงินมาจากหนี้นอกระบบในหมู่บ้าน
“เงินที่แม่จะเอามาช่วยเอ็งเป็นเงินเย็น ไม่ได้มาจากการหยิบยืมใครหรอก พวกหนี้นอกระบบ ดอกเบี้ยร้อยละ 20 แม่ไม่กล้ายุ่งเกี่ยวเด็ดขาด ใครหลงเข้าไปในวงจรนี้กว่าจะได้กลับออกมาอีกทีก็คงหมดตัวกันละ”
“เงินเย็นที่แม่ว่า…คืออะไรหรือครับ” ปอสงสัย
“เงินที่ลูกส่งมาให้แม่ทุกเดือนไง วัน ๆ หนึ่งแม่ใช้เงินไม่กี่สตางค์ บางวันก็ไม่ได้ใช้ ที่บ้านเราน่ะ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว หลังบ้านก็มีผักสวนครัว ไข่ไก่ ไข่เป็ด พออยู่พอกินได้สบาย ถ้ามีเยอะ กินไม่หมดก็เอาไปวางขายที่ตลาดในหมู่บ้าน ลูกค้าชอบกันนะ เพราะเป็นสินค้าปลอดสารพิษ ของที่ต้องซื้อบ้างมีแต่พวกแชมพู สบู่ ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน แม่กำลังคิดอยู่ว่า จะหาวิธีทำใช้เองดู ถ้าใช้ดีก็จะทำขาย จะได้เพิ่มรายได้อีกทาง…เฮอะ ๆ” พูดจบแม่ก็หัวเราะอย่างสบายใจ
“ขอบคุณครับแม่” ปอเริ่มมีรอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของแม่ “แม่ตั้งใจเก็บไว้เผื่อวันใดที่ลูกเดือดร้อน เงินก้อนนี้อาจพอช่วยลูกของแม่ได้…ถ้าแม่ใช้จ่ายเสียหมดโดยที่แม่ไม่ได้จำเป็นต้องใช้และไม่ได้มีความสุขอะไรจากการใช้เงิน เกิดลูกจำเป็นต้องใช้เงินหรือเกิดพลาดพลั้งเป็นหนี้เป็นสินขึ้นมา ลูกคงต้องลำบาก แต่คนเราสามารถเลือกที่จะเรียนรู้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยนะลูก”
ปอซาบซึ้งกับทุกคำของแม่…ผู้ที่ทำให้ชีวิตเขาเหมือนมีแสงสว่างนำทางในที่มืดขึ้นมาอีกครั้ง
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง ป๊อปปี้ทาวน์
บทความน่าสนใจ