คอนเฟิร์ม! สารพัดสารพิษ ตัวการก่อ มะเร็ง

คำว่า “สารพิษ”ในภาษาอังกฤษตรงกับคำว่า ท็อกซิน (Toxin) ซึ่งมาจากภาษากรีก แปลว่า ธนูและลูกศร โดยอาจมีความหมายเปรียบเทียบ สารพิษที่รุมเร้าอยู่รอบกายเราทุกคน ดังห่าลูกศรอาบยาพิษที่พุ่งใส่ร่างนักรบกรีก

จริงหรือไม่ที่ทุกวันนี้ เราต้องเผชิญกับสารพัดสารพิษ หนังสือพลังบำบัด ของ นายแพทย์แอนดรู ไวล์ ได้อธิบายแหล่งสารพิษที่เราต้องพบในชีวิตประจำวัน สรุปได้ดังนี้

เราสามารถพบสารพิษทั้งจากสิ่งแวดล้อม อาหาร อากาศ น้ำดื่ม ยารักษาโรค เครื่องใช้ต่างๆในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะสารพิษจากวิถีเกษตรเคมี จำพวก ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ยากันเชื้อรา ยาปฏิชีวนะและฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ซึ่งอาจไม่ได้ทำให้เราเจ็บป่วยแบบเฉียบพลัน แต่เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในระยะยาว โดยเฉพาะโอกาสเกิดโรคมะเร็ง ภูมิคุ้มกันผิดปกติ และโรคเรื้อรังอีกมากมาย

การได้รับสารพิษนั้นเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างไร เรามีประสบการณ์สุขภาพจากผู้ป่วยทั้ง 4 คนมาบอกเล่ากันค่ะ

ไซนัส สูดควัน เครียด สารพันสาเหตุมะเร็งหลังโพรงจมูก

มะเร็งหลังโพรงจมูก เป็นโรคหนึ่งที่มักเกิดในเพศชาย เชื้อสายจีน มีประวัติการสูบบุหรี่ หรือสูดดมสารเคมีต่อเนื่องยาวนาน ทว่าในกรณีของคุณกัณณิกา ปฏิคมวงศ์ หรือ เบลล์ ซึ่งเป็นเพียงสาววัย 27 ปี (ในขณะนั้น) กลับถูกโรคร้ายเล่นงาน โดยคุณหมอคาดว่า มีสาเหตุมาจากอาการไซนัสอักเสบเรื้อรัง

“ตอนที่รู้ว่าเป็นมะเร็ง แรกทีเดียวคิดว่า ถามตัวเองว่าเป็นเพราะพันธุกรรมหรือเปล่า คือ คุณย่าป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ และน้าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม แต่คุณหมออธิบายว่าไม่น่าจะใช่ เพราะเป็นมะเร็งคนละชนิดกัน คุณหมอจึงสอบถามถึงอาการต่างๆที่เกี่ยวกับจมูกแทน ตั้งแต่เด็ก เบลล์มักเป็นหวัดอยู่เสมอ และมีโรคประจำตัวคือโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ เพียงแค่อากาศเปลี่ยน เจอฝุ่น ควัน น้ำหอม หรือกลิ่นหมึกก็ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ จึงพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ แต่ก็ยังเกิดอาการแพ้อยู่เรื่อย ต้องกินยาตามอาการเรื่อยมา แต่ไม่เคยรักษาให้หายขาดได้เสียที

“คุณหมอจึงให้น้ำหนักกับเรื่องนี้ โดยอธิบายว่า เมื่อเป็นหวัดหรือเกิดอาการแพ้ จะเกิดการคัดหลั่งของของเหลวในจมูก นานวันเข้า ส่งผลให้เนื้อเยื่อก่อตัวเป็นก้อนเนื้อ นำไปสู่การเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูกในที่สุด”

นั่นแสดงว่า เธอต้องเผชิญกับสารก่อภูมิแพ้หรือสารเคมีบางอย่างอยู่เสมอ เราจึงสอบถามสภาพแวดล้อมรอบตัวของเธอ
หลังนึกอยู่ครู่ใหญ่ คุณเบลล์ค่อยๆลำดับความเป็นอยู่ของเธอให้เราฟัง “แต่ก่อน อยู่บ้านริมคลองที่มีน้ำเน่าเสีย ได้กลิ่นเหม็นของน้ำเสมอ ตำแหน่งเตียงนอนก็อยู่ตรงหน้าต่างพอดี และทุกครั้งที่เปิดหน้าต่างนอน จะเป็นหวัดทุกครั้ง

“พอโตขึ้นมาอีกหน่อย ย้ายบ้านไปอยู่ริมถนน จำได้ว่า เบลล์คอยช่วยขายของด้วย เจอฝุ่นควันตลอด และพอเข้ามหาวิทยาลัย ก็ย้ายไปอยู่หอ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงงานป่นกระดูกสัตว์ ต้องเจอกลิ่นซากกระดูกจากโรงงานเป็นระยะๆ”

กินผิด+เครียด เสี่ยงมะเร็งได้

แม้จะไม่ได้เข้าไปใกล้ชิดหรือสูดดมสารเคมีโดยตรง แต่ด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ร่างกายของเธอจึงสะสมสารพิษที่ล่องลอยอยู่ในอากาศเรื่อยมา พร้อมกับอาการภูมิแพ้ที่กำเริบเป็นระยะ จนกลายเป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง แต่นั่นยังไม่ทำให้มะเร็งร้ายสำแดงฤทธิ์ให้เห็น

“หลังจากเรียนจบ และเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท ช่วงนั้นเครียดมาก ทั้งเรื่องเรียน การทำวิทยานิพนธ์ และเราเป็นคนคิดมากอยู่แล้ว เลยรู้สึกกดดันไปหมด น่าจะมีส่วนทำให้การใช้ชีวิตผิดเพี้ยนไปด้วย

“อย่างการกิน เราพึ่งพาอาหารจากร้านสะดวกซื้อ กินอาหารแช่แข็ง อุ่นไมโครเวฟ เป็นประจำ และชอบกินอาหารปิ้งย่างเป็นพิเศษ หลังเลิกเรียน(สามทุ่ม) ก็มักแวะร้านหมูกระทะเสมอ

“ส่วนเรื่องพักผ่อน ช่วงเรียน เบลล์นอนดึกมากและนอนไม่เป็นเวลา แถมไม่เคยออกกำลังกายเลย” ช่วงชีวิตนี้เอง ที่เป็นตัวเร่งให้เชื้อมะเร็งร้ายของเธอเติบโต จนเกิดอาการผิดปกติในที่สุด

“หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทและทำงานเป็นครูอยู่ 1 ปี เบลล์เกิดอาการคัดจมูกข้างเดียว หายใจไม่ออก สั่งน้ำมูกก็ไม่มีอะไรออกมา จนกระทั่งวันหนึ่ง สิ่งที่ติดแน่นอยู่ในจมูกหลุดลงคอ จึงบ้วนออกมา ปรากฏว่า เป็นก้อน มีลักษณะคล้ายเสลดสีเขียวเข้มแต่แข็งกว่า และมีเมือกล้อมรอบ เมื่อเอาไปให้คุณหมอตรวจ จึงพบว่าเป็นเนื้อร้ายค่ะ”

เพราะมีเหตุเริ่มคือ อาการไซนัสอักเสบเรื้อรัง อันเกิดจากการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสารพิษเมื่อผนวกกับวิถีชีวิตที่รีบเร่งเคร่งเครียดแบบคนเมือง เสริมด้วยการกินแต่อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ แถมยังไม่เคยพักผ่อนอย่างเต็มที่และขยับออกกำลังกายเลย สารพิษทั้งหลายจึงยิ่งสะสม ก่อเกิดเป็นเนื้อร้าย ทำให้คุณเบลล์กลายเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งหลังโพรงจมูกนั่นเอง

ไม่ว่าจะเป็นสารพิษชนิดไหน เราก็ควรจะหลีกเลี่ยงก่อนป่วยเป็นมะเร็งค่ะ

หน้าถัดไป

กำลังใจเข้มแข็งด้วยพลังธรรมะและครอบครัว

หลังป่วยเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก คุณเบลล์มีวิธีการดูแลสุขภาพดังนี้

– เลี่ยงอาหารปิ้งย่าง อาหารรสจัดทั้งหมดและมักทำอาหารกินเองเพื่อเลี่ยงผงชูรส

– เล่นกีฬาอย่างแบดมินตัน รวมถึงออกตระเวนเยี่ยมญาติและเพื่อน ๆ เพื่อผ่อนคลายจิตใจ

– สวดมนต์และแผ่เมตตาทุกคืน เพื่อช่วยให้จิตใจเข้มแข็ง ครองสติ และอดทนต่ออาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้

มะเร็ง ต่อมลูกหมากจากอาชีพและอาหารพาสารพิษสะสม

เหตุใดคนที่ไม่เคยมีประวัติเจ็บป่วยด้วยโรคใด ๆ เลยอย่าง คุณพรสถิตย์ทิพย์คง อายุ 62 ปี เกษตรกรเจ้าของสวนปาล์มน้ำมัน อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จึงป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่เมื่อย้อนกลับไปสำรวจวิถีชีวิตที่ผ่านมา จึงพบสาเหตุก่อโรคที่เขาเคยมองข้ามไปทีละข้อ ๆ

“เมื่อเทียบกับสมาชิกคนอื่นในครอบครัว ผมน่าจะเป็นคนที่แข็งแรงที่สุดเพราะไม่เคยเจ็บป่วยหรือเข้าโรงพยาบาลเลย อาจเป็นเพราะเลือกใช้ชีวิตในต่างจังหวัดไม่เหมือนคนอื่น ๆ ในครอบครัวที่อยู่กรุงเทพฯกันหมด ผมกลายเป็นคนดูแลสุขภาพแม่ น้องชาย และน้องสาว ซึ่งเกือบทุกคนเริ่มทยอยล้มเจ็บเมื่อเข้าวัย 50 ปีเศษ

“เริ่มจากแม่ที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองช่วงปี พ.ศ. 2538 และเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2541 ถัดมาน้องชายตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับเมื่ออายุ 59 ปี และเสียชีวิตลง ในเวลารวดเร็วเพียง 10 วันเท่านั้น ส่วนน้องสาวเป็นมะเร็งเต้านมตั้งแต่อายุ 52 ปี และเสียชีวิตเมื่ออายุ 57 ปี ขณะที่ผมพาคนอื่นไปโรงพยาบาล แต่ตัวเองไม่เคpเฉลียวใจเลยว่า เราก็มีโอกาสจะป่วยด้วยโรคมะเร็งได้”

ฉีดพ่นสารเคมีโดยไม่ป้องกัน ตัวเสี่ยงป่วย

จากประวัติครอบครัวชี้ชัดว่า คุณพรสถิตย์มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งสูงมากเนื่องจากญาติพี่น้องสายตรงทั้งหมดรวมถึงคุณแม่ก็ป่วยและเสียชีวิตด้วยโรค มะเร็ง และยังมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญ คือ ได้รับสารเคมีจากการทำอาชีพเกษตรกรสวนปาล์ม

“ตอนที่พาคนในครอบครัวไปหาหมอ ผมคิดเสมอว่าตัวเองโชคดีที่ทำงานในสวน ได้ออกกำลังกายทุกวัน ไม่เครียด แถมได้สูดอากาศดี ๆ ชีวิตแบบนี้คงทำให้อยู่อย่างแข็งแรงและมีความสุขไปตลอดแน่ ๆ แต่พอมาคิดทบทวนก็เห็นว่า การทำสวนทำให้หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีเป็นประจำไม่ได้ อย่างการใส่ปุ๋ย ผมก็ใส่เอง เอามือเปล่า ๆ จับปุ๋ยแล้วหว่านไปที่โคนต้น ไม่เคยใส่ถุงมือป้องกันเลย ทำแบบนี้ตั้งแต่หนุ่มจนแก่ มาคิดได้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว

“เวลาวัชพืชขึ้นรก ๆ ผมต้องรีบพ่นยาฆ่าหญ้า ซึ่งพ่นเองทั้งสวนครับ ลองคิดดูว่า การเดินพ่นยาทั้งวันบนเนื้อที่ 40 ไร่คงสูดสารพิษเข้าไปไม่รู้เท่าไร ถึงจะอาบน้ำอาบท่าให้สะอาด แต่การใส่ปุ๋ยด้วยมือเปล่าและพ่นยาด้วยตัวเองแบบนี้ ทำติดต่อกันมานานถึงสิบยี่สิบปี ในตัวคงมีปริมาณสารเคมีตกค้างมากพอที่จะทำให้เกิดโรคได้”

ชอบกินเนื้อแดง ตัวเร่งมะเร็ง

นอกจากวิถีชีวิตที่ต้องสัมผัสและรับสารเคมีเป็นประจำ ยังมีปัจจัยเสริมอีกประการที่สำคัญ คือ การกินเนื้อแดงเป็นอาหารหลัก

“เรื่องอาหาร แต่ก่อนผมก็เข้าใจผิดเหมือนคนส่วนใหญ่ทั่วไปนะ คือ ข้อแรกเวลาจะกินอะไร ขอให้อร่อยไว้ก่อน ผมคิดว่าของอร่อยของดีคือเนื้อสัตว์ต่าง ๆ และต้องเป็นเนื้อแดงด้วยนะครับ ไม่ใช่เนื้อปลา เพราะเนื้อปลาเป็นของหาได้ง่าย เป็นอาหารพื้น ๆ ส่วนเนื้อดี ๆ คือ เนื้อวัว เนื้อหมู

“ข้อสอง การทำสวนต้องใช้แรงมาก เวลาเหนื่อย ๆ ผมต้องการกินอาหารที่ให้กำลังวังชา เลยเน้นกินเนื้อสัตว์เป็นหลักแทบทุกมื้อ มีบ้างที่กินผักผลไม้ แต่เป็นส่วนน้อยมากครับ ทั้งที่มีผักต่าง ๆ ขึ้นอยู่รอบบ้าน แต่ไม่ได้สนใจกิน”

สุดท้าย คุณพรสถิตย์ให้ความเห็นว่า ปัจจัยอีกประการที่เขามองข้ามน่าจะเป็นเรื่องการดื่มน้ำ

“ผมใช้ชีวิตและทำงานในสวน หลัก ๆมีน้ำกินน้ำใช้เป็นน้ำบ่อตลอดมา ซึ่งมีรสกร่อยเลยไม่ชอบดื่มน้ำ แถมยังมีข้ออ้างว่า ต้องทำงานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยดื่ม กว่าจะได้ดื่มน้ำเป็นแก้ว ๆ ก็ตอนพักกลางวันกับตอนเย็นเมื่อกลับถึงบ้าน ทำให้กลายเป็นคนดื่มน้ำน้อยมาก น่าจะทำให้การขับสารพิษออกจากร่างกายตา,ธรรมชาติน้อยลงไปด้วย”

จากปัจจัยตั้งต้นที่มีประวัติคนในครอบครัวป่วยด้วยโรคมะเร็ง รวมกับการทำอาชีพที่ต้องรับสารพิษสะสมต่อเนื่องนับ 20 ปี กินผักผลไม้ไม่เพียงพอ ดื่มน้ำน้อย พลอยทำให้มีโอกาสขับสารพิษออกจากร่างกายน้อยไปด้วย

ความไม่สมดุลแบบนี้จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้บั้นปลายชีวิตของคนที่สุขภาพแข็งแรงมาตลอดอย่างคุณพรสถิตย์ ทิพย์คง ต้องเผชิญกับโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในที่สุด

ติดตามแนวทางการใช้ชีวิตหลังป่วย

หน้าต่อไป

ลดพิษตกค้างหลังป่วยด้วยแนวทางชีวจิตควบคู่กับสมุนไพร

หลังจากผ่าตัดเนื้อร้ายที่ต่อมลูกหมากออกแล้ว คุณพรสถิตย์มีสุขภาพแข็งแรงดีและยังไปพบแพทย์

ตามนัดทุก ๆ 6 เดือน เพื่อติดตามอาการ ขณะเดียวกันก็มีวิธีดูแลสุขภาพด้วยตนเองดังนี้

– งดเนื้อสัตว์ใหญ่ เช่น หมูและวัวอย่างเด็ดขาด เลือกกินปลาเป็นหลัก

– กินผักและผลไม้สดเพิ่มขึ้น โดยเน้นกินผักผลไม้ตามฤดูกาลหรือปลูกเองในสวน เพราะจะมีปริมาณสารเคมuและยาฆ่าแมลงตกค้างน้อยกว่า

– ดื่มน้ำสะอาดและเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพตามแนวทางชีวจิต อย่างนํ้าอาร์ซี น้ำเอนไซม์ ชาสมุนไพร เพื่อช่วยขับสารพิษตกค้าง

– ศึกษาการใช้สมุนไพรพื้นบ้านที่มีความน่าเชื่อถือ ปลอดภัย และนำมาใช้รักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ด้วยตนเองเพื่อลดปริมาณการรับสารเคมีจากการใช้ยาแผนปัจจุบัน

– พักผ่อนให้เพียงพอและตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อทำงานในสวนเอง เป็นการออกกำลังกายทุกวัน

ควันบุหรี่มือสองตัวการมะเร็งกล่องเสียง

ในควันบุหรี่ประกอบด้วยสารเคมีมากกว่า 7,000 ชนิด ซึ่งมีกว่า 70 ชนิดที่วงการแพทย์ทั่วโลกระบุว่าเป็นสารก่อมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งกล่องเสียง

ควันบุหรี่ไม่เพียงเป็นพิษต่อตัวเองเท่านั้น แต่ยังเป็นพิษต่อคนรอบข้างด้วย เช่นเดียวกับ คุณชัยณรงค์ ศรีปราโมช อายุ 56 ปี พนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ที่ทั้งชีวิตของเขาไม่เคยสูบบุหรี่แม้แต่มวนเดียวแต่กลับต้องป่วยเป็นโรคมะเร็งกล่องเสียงจนต้องผ่าตัดกล่องเสียงทิ้งเพื่อรักษาชีวิตไว้

“ครอบครัวของผมนับถือศาสนาอิสลาม และเราค่อนข้างเคร่งครัดในคำสอน ทำให้ได้รับการปลูกฝังไม่ให้ดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ ต่อมาเมื่อได้มีโอกาสเรียนต่อในแผนกช่างยนต์ของโรงเรียนอาชีวะแห่งหนึ่งช่วงนั้นผมติดเพื่อนมาก ชนิดถึงไหนถึงกัน ไม่ว่าเพื่อนจะไปไหนผมไปด้วย

“ทุกครั้งที่เพื่อน ๆ รวมตัวกัน ทุกคนจะสูบบุหรี่ ยกเว้นผมคนเดียวโดยส่วนตัวไม่ชอบกลิ่นบุหรี่เลย แต่เราไม่สามารถตีตัวออกห่างได้เพราะกลัวเพื่อนไม่คบ ผมจึงต้องทนนั่งดมควันบุหรี่ไปเรื่อยจนเรียนจบ”

เมื่อจบการศึกษา คุณชัยณรงค์และเพื่อน ๆ ต่างแยกย้ายกันไปทำงานยังที่ต่าง ๆ ซึ่งน่าจะลดโอกาสการได้รับควันบุหรี่ แต่สุดท้ายเมื่อเขาต้องเข้าทำงานก็ไม่พ้นได้รับควันบุหรี่เช่นเคย

“ช่วงปี พ.ศ. 2539 ผมได้ทำงานครั้งแรกที่โรงงานผลิตสายไฟรถยนต์แห่งหนึ่งย่านบางพลี พนักงานชายส่วนใหญ่จะสูบบุหรี่จัดมาก และทางโรงงานก็ไม่ได้จัดสถานที่เฉพาะสำหรับผู้สูบบุหรี่ ทำให้ทุกคนเข้ามาสูบบุหรี่ในห้องน้ำกัน และในห้องน้ำก็ไม่มีพัดลมระบายอากาศ ควันบุหรี่จึงฟุ้งกระจายไปทั่วห้องน้ำ ผมเข้าไปใช้ห้องน้ำก็ต้องสูดควันบุหรี่เข้าไปด้วย”

ยาเส้น + ฝุ่นละออง พิษร้ายทำลายสุขภาพ

หลังจากนั้น 3 ปี คุณชัยณรงค์ก็ลาออกจากโรงงานผลิตสายไฟรถยนต์มาทำงานในโรงงานผลิตสายไฟแห่งหนึ่งซึ่งเป็นของชาวญี่ปุ่นในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายขนส่ง มีหน้าที่ควบคุมการตรวจสอบสินค้าเข้าออก จึงต้องประสานงานกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรือรปภ.ของบริษัทที่ชอบสูบยาเส้นตลอดเวลา

“รปภ.ท่านนี้จะสูบยาในห้องทำงานตลอดเวลา แถมห้องก็ปิดทึบไม่ระบายอากาศ ผมเองต้องเข้าไปพูดคุยวางแผนงานด้วยบ่อย ๆ ก็ต้องสูดควันยาเส้นเข้าไปด้วย

“ตอนนั้นคนทั่วไปยังไม่รู้ไม่เข้าใจว่าควันบุหรี่เป็นพิษและสามารถส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างได้ ผมเองก็ไม่เคยเฉลียวใจว่า การเข้าไปคลุกคลีกับคนสูบบุหรี่ตลอดเวลาจะทำให้เราได้รับควันพิษ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งกล่องเสียงได้”

นอกจากได้รับควันบุหรี่แล้ว คุณชัยณรงค์ยังต้องสูดฝุ่นละอองที่ปนเปื้อนในอากาศอยู่เสมอ

“ผมต้องเดินทางจากบ้านที่กรุงเทพฯไปทำงานที่สมุทรปราการด้วยรถบัสรับ – ส่งพนักงานทุกวัน ผมจะนั่งริมหน้าต่างซึ่งเปิดกระจกไว้เพื่อรับลม และสมัยนั้นถนนยังเป็นดินลูกรัง เวลารถวิ่งเร็ว ๆ ก็พัดฝุ่นให้กระจายเต็มถนน ทำให้เราต้องหายใจเอาฝุ่นละอองเหล่านี้เข้าไปด้วยเป็นเวลานานหลายปี”

คุณชัยณรงค์อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้นานนับสิบปีจนกระทั่งปี พ.ศ. 2549 เขารู้สึกเจ็บคอ เสียงแหบ และมีไข้ จึงตัดสินใจไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน

“ครั้งแรกคุณหมอบอกว่าเป็นหวัดธรรมดา ให้กินยาแต่ผ่านไป 3 สัปดาห์อาการก็ยังไม่ดีขึ้น จึงกลับไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกรอบ โดยครั้งนี้ตรวจกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก โดยเฉพาะ ก็พบว่าตัวเองเป็นมะเร็งกล่องเสียงระยะที่ 1 และกว่าจะได้เข้ารับการรักษา มะเร็งก็ลุกลามเป็นระยะที่ 3 แล้ว”

หลังจากนั้นคุณชัยณรงค์ก็เข้ารับการผ่าตัดกล่องเสียงทำให้เขาพูดไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตอย่างมากแต่เขาก็เข้ารับการฝึกออกเสียงด้วยหลอดอาหารตามคำแนะนำของแพทย์ จนในที่สุดก็กลับมาสื่อสารกับคนรอบข้างได้เหมือนเดิมอีกครั้ง

ดังนั้น การไม่สูบบุหรี่และหลีกหนีจากควันบุหรี่อาจจะช่วยป้องกันคุณจากโรคมะเร็งกล่องเสียงได้อีกทางหนึ่งครับ

ติดตามการฟื้นฟูสุขภาพ มะเร็ง กล่องเสียง

หน้าต่อไป

How – to ฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียง

หลังจากเข้ารับการผ่าตัด คุณชัยณรงค์มีวิธีดูแลตัวเองดังนี้

1. หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง อาหารรสหวานมัน เค็ม ไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ กินเนื้อปลา และหันมาดื่มนมถั่วเหลือง เพราะย่อยง่าย จึงไม่ทำให้หลอดอาหารใหม่ต้องทำงานหนักมากเกินไป
2. เนื่องจากต้องเจาะรูหายใจบริเวณลำคอจึงต้องหมั่นทำความสะอาดรูหายใจด้วยการใช้ผ้าเช็ดเพื่อลดการติดเชื้อ
3. ไม่เข้าใกล้ผู้ที่กำลังสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีฝุ่นควัน เพราะจะทำให้ระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ

ภัยมือถือ…ใช้ไม่เป็นเสี่ยงป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว

คุณจิตราภา ทัศนเทพ หรือ ต่าย พนักงานขายประกัน วัย 34 ปี ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเพราะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ผิวช้ำง่าย และมีเลือดออกตามไรฟัน

เมื่อผลตรวจเลือดออกมา ทำให้เธอตกใจและงงงัน เพราะคุณหมอแจ้งให้ทราบว่า เธอป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน

“ตอนที่หมอบอกว่าเราเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ความคิดแรกคือ เป็นไปไม่ได้ เพราะเราเป็นคนแข็งแรงมาตลอด ทั้งคนในครอบครัวก็ไม่มีใครเป็นมะเร็ง อาหารที่กินก็เอาใจใส่เป็นพิเศษน้ำที่ดื่มก็มั่นใจว่าสะอาดและปลอดภัย”

โทรศัพท์มากไป เป็นภัยต่อสุขภาพ

“เรื่องพันธุกรรมตัดทิ้งไปได้เลย สารเคมีเราก็ไม่เคยจับไม่เคยอยู่ในพื้นที่ที่มีกระแสไฟฟ้าแรงสูง และไม่เคยสัมผัสรังสีนิวเคลียร์ แต่หลังจากอ่านหนังสือหลาย ๆ เล่มจึงทำให้ได้ข้อสรุปว่า

“ความเสี่ยงอันดับต้น ๆ ที่น่าจะเป็นไปได้คือ เราใช้โทรศัพท์มือถือมาก เพราะการทำอาชีพขายประกันต้องใช้โทรศัพท์ติดต่อลูกค้า ตัวแทน และหัวหน้าทุกวัน ตลอดเวลา วันละไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง โดยไม่ค่อยใช้หูฟังหรือสมอลล์ทอล์คเพราะขี้เกียจ”

คุณต่ายเล่าเพิ่มเติมว่า เธอได้พูดคุยกับ ศาสตราจารย์นายแพทย์สุรพล อิสรไกรศีล ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งเม็ดเลือดขาว ท่านบอกว่า การใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานานก็เป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว

“อีกประเด็นหนึ่งคือเรื่องการทำสีผมและโกรกผม เราชอบทำมาก ทำมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ทำบ่อยมาก โดยทิ้งช่วงเพียง 3 – 4 เดือนก็เปลี่ยนสีผมใหม่

“ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือความเครียด เนื่องจากเป็นคนบ้างานและโดยเนื้องานต้องติดต่อกับคนหลาย ๆ กลุ่ม ทั้งมียอดขายที่เราต้องทำให้ได้ จึงมีความกดดันสูง ทำให้เกิดความเครียดสะสมโดยที่เราอาจไม่รู้ตัว”

จากพฤติกรรมการใช้ชีวิตไม่สมดุลดังกล่าว จึงอาจเป็นสาเหตุให้เธอป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว

หลังจากต่อสู้กับมะเร็งด้วยกำลังใจที่เข้มแข็งมานาน 4 เดือนทำให้การรักษาได้ผลดี เซลล์มะเร็งเหลืออยู่น้อยมากจนแทบตรวจไม่พบ

หลังจากหายป่วย มะเร็ง คราวนี้ คุณต่ายบอกว่าชีวิตเธอเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เธอเห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น มีความสุขกับชีวิตได้ง่ายขึ้น และหันมาใส่ใจดูแลตัวเองรวมถึงคนรอบข้างมากขึ้น

ดูแลตัวเองอย่างไร หลังจากป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว

– ปรับใจให้เป็นสุข คุณต่ายบอกว่า ขณะรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เธอเน้นดูแลจิตใจตัวเองเป็นหลักโดยใช้วิธีสั่งจิตตัวเองว่า เธอไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่เป็นไข้หวัดใหญ่ และที่มานอนโรงพยาบาลคือการมาพักร้อนต่างจังหวัด คุณต่ายให้เหตุผลว่า เพราะจิตใต้สำนึกเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเราคิดว่าเราป่วย เราจะป่วยมากกว่าที่เป็นจริง

– เปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพ คุณต่ายหันมากินแต่อาหารสด ไร้สารพิษ หลีกเลี่ยงการกินอาหารนอกบ้าน กินข้าวผสมธัญพืชนานาชนิด ทั้งข้าวฟ่างข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ส่วนกับข้าวเธอเก็บผักที่ปลูกในสวนมาทำอาหารกินเอง

– หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ คุณต่ายเล่าว่าหลังจากที่ตรวจไม่พบเซลล์มะเร็งแล้ว เธอก็ยังไม่วางใจจึงหมั่นตรวจสุขภาพสม่ำเสมอเพื่อป้องกันมะเร็งกลับมาอีก

ข้อมูลเรื่อง “คอนเฟิร์ม! สารพัดสารพิษ ตัวการก่อ มะเร็ง” จากนิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 374 คอลัมน์ เรื่องพิเศษ