โรงพยาบาลอินเดียถ่ายเลือดติด HIV มีผู้ป่วยใหม่หลายพัน
ในช่วง 17 เดือนที่ผ่านมา ในประเทศอินเดียมีสถิติผู้ติดเชื้อ HIV เพิ่มขึ้นกว่า 2,000 คน โดยชาวอินเดียกว่า 2,000 รายดังกล่าว ติดเชื้อ HIV จากการถ่ายเลือด เพราะโรงพยาบาลขาดเทคโนโลยีในการตรวจสอบและคัดกรองผู้บริจาคเลือด
องค์การควบคุมโรคเอดส์แห่งชาติ (NACO) ประเทศอินเดีย ระบุว่า ผู้คนอย่างน้อย 2,234 ราย ต้องติดเชื้อ HIV จากการได้รับเลือดที่ปนเปื้อน โดยพบผู้ติดเชื้อในรัฐอุตตรประเทศ ทางตอนเหนือของประเทศ มากที่สุด คือ 361 ราย รองลงมาคือ รัฐคุชราตทางตะวันตก พบผู้ติดเชื้อ 292 ราย และอันดับสาม คือ รัฐมหาราษฏระ พบผู้ติดเชื้อ 276 ราย ส่วนที่กรุงนิวเดลีพบผู้ติดเชื้อ 264 ราย ทำให้ขณะนี้มีชาวอินเดียที่ติดเชื้อเอดส์แล้วกว่า 2 ล้านคนทั่วประเทศ
โดยองค์การฯ ยอมชี้แจงตัวเลขเหล่านี้ หลังจาก นายเชตัน โคธารี นักเคลื่อนไหวทางสังคม ยื่นเรื่องร้องเรียนโดยใช้สิทธิตามกฎหายการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ อย่างไรก็ตามนายเชตันบอกว่า องค์กรของรัฐบาลมักไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลที่แท้จริง ดังนั้นจำนวนผู้ติดเชื้อ HIV จริงๆ อาจจะสูงกว่านี้สองหรือสามเท่า!
ทั้งนี้ กฎหมายอินเดียได้บังคับให้โรงพยาบาลเป็นผู้ตรวจสอบและคัดกรองผู้บริจาคเลือดว่า จะต้องไม่เป็นผู้มีเชื้อโรคติดต่อร้ายแรง ทั้งเชื้อ HIV เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี รวมถึงไม่เป็นพาหะของโรคมาลาเรีย และโรคติดต่ออื่นๆ แต่ด้วยค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบที่คิดเป็นเงินไทยราว 630 บาทต่อครั้ง อีกทั้งสถานการณ์ภาวะขาดแคลนเครื่องมือของโรงพยาบาลจำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ของรัฐ ทำให้เกิดเหตุการณ์อันคุกคามสุขภาพเช่นนี้ขึ้น
แหล่งข่าว BBC News
ข้อมูลเรื่อง “อินเดียพลาด! ถ่ายเลือดติด HIV มีผู้ป่วยใหม่หลายพัน”เรื่องโดย ธปัน , กุลนิษฐ์ แสงจันทร์ เผยแพร่ในเว็บไซต์ www.cheewajit.com