ในปี 2557 ที่ผ่านมา ผู้ช่วยศาสตรจารย์พิเศษ ดร.นายแพทย์ ธวัชชัย กมลธรรม กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้แถลงถึงความคืบของงานวิจัยตำรับยาแผนไทยเพื่อรักษาโรคมะเร็งชนิดต่างๆ โดย สูตร “ยอดยาแก้มะเร็ง” วัดคำประมง อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร เป็น 1 ใน 4 สูตรยาต้านมะเร็งที่ได้รับการวิจัย ขณะที่แถลงข่าวนั้น สูตรยาของวัด ผ่านการวิจัยทางพรีคลินิก (Pre-clinic testing) หรือ ผ่านการทดสอบในระดับห้องปฏิบัติการ และความเป็นพิษของยาในสัตว์ทดลองแล้ว เหลือเฉพาะขั้นตอนการวิจัยในคน ซึ่งในปี พ.ศ.2558 นี้ยังอยู่ในช่วงดำเนินการและอยู่ระหว่างขั้นตอนการเก็บข้อมูล
ล่าสุด พระอาจารย์ประพนพัชร์ เจ้าอาวาสวัดคำประมง อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้ ในภาคนโยบายกำลังขั้นผลักดันให้สูตรยาดังกล่าว เป็นยาที่ใช้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยในโรงพยาบาลทั่วประเทศในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขได้เข้าถึงการใช้ยารักษามะเร็งที่มีราคาย่อมเยาต่อไป
ขณะที่ในแวดวงการวิจัยระดับสากล ยังหันมาให้ความสนใจศึกษา โดยในปีนี้ มีงานวิจัย สูตรยารักษาโรคมะเร็งจากวัดคำประมง โดยคณะนักวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ แห่ง University of Reading สหราชอาณาจักร ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Ethnopharmacology ภายใต้บทความชื่อ Traditional medicine use by Cancer patients in Thailand.
ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยร้อยละ 77 ที่ได้รับยาสมุนไพรของทางวัดและเข้ารับการรักษาตามกระบวนการ มีอาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ เช่น อาการปวด อาหารไม่ย่อย ปวดในช่องท้องและอวัยวะภายใน นอนไม่หลับ และอ่อนล้า น้อยลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนในประเทศไทยนั้น มีความคืบหน้าที่น่าสนใจเช่นกัน โดย รองศาสตรจารย์ ดร.นพมาศ สุนทรเจริญนนท์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับทุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติให้วิจัยและพัฒนาตำรับยาต้านมะเร็งสูตรวัดคำประมงและได้รับการตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ.2556 พบว่า สูตรยาของทางวัดมีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ โดยมีฤทธิ์ฆ่าและต้านการเจริญของเซลล์มะเร็งเพาะเลี้ยงในหลอดทดลอง
อีกทั้งยังมีฤทธิ์ต้านการกระตุ้นการเจริญของเนื้องอกในสัตว์ทดลอง สามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งหลายชนิด ได้แก่ เซลล์มะเร็งเต้านม (MDA-MB-231 และ MCF7) เซลล์มะเร็งไขข้อ (SW982) เซลล์มะเร็งตับ (HepG2) เซลล์มะเร็งปากมดลูก (HeLa)และเซลล์มะเร็งปอด (A549)
เจาะลึกถึงที่มาสูตร “ยอดยาแก้มะเร็ง”
พระอาจารย์ประพนพัชร์ ได้กรุณาเล่าถึงที่มาของสูตรยาว่า
“ย้อนกลับไปในปี 2539 จู่ๆ ก็มีอาการผิดปกติ จามออกมาเป็นเลือด เมื่อเข้ารับการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน จึงตรวจพบว่าเป็นมะเร็งโพรงจมูกระยะลุกลาม หลังได้รับการฉายแสงและรับยาเคมีบำบัดอย่างต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ ปรากฎว่ามีผลข้างเคียง คือ ปากแห้ง ตัวบวม และมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย ได้รับทุกขเวทนาอย่างมาก
“ขณะที่ป่วยหนัก ได้เจริญสมาธิเพื่อระงับความทุกข์ทางกายจากคำแนะนำของครูบาอาจารย์ซึ่งท่านกล่าวถึงคิริมานนท์สูตร หลังจากนั้นอาการก็ค่อยๆ ดีขึ้นเป็นลำดับ จากแต่ก่อนปวดมากถึงขั้นต้องให้มอร์ฟีน นั่นแสดงให้เห็นว่า เมื่อเราสามารถเจริญสติได้ในระดับหนึ่ง เวทนาทางกายจะลดลงได้จริง”
เมื่อพบว่า การเยียวยาด้วยสมาธิบำบัดให้ผลดี ท่านจึงคิดว่า น่าจะมีทางเลือกอื่นๆ ให้ผู้ป่วยมะเร็งได้ใช้ดูแลสุขภาพอีก เป็นจุดเริ่มต้นในการเสาะหาความรู้เรื่องสมุนไพร จนได้พบหนังสือชื่อ เพชรน้ำเอก ซึ่งเป็นกรุยายอดตำรับสมุนไพร และ คำอธิบายตำราพระโอสถนาราย์ รวมถึงศึกษาเรื่องการใช้ยาสมุนไพรจากผู้รู้หลายท่าน ก่อนประมวลเป็นสูตร “ยอดยาแก้มะเร็ง” และทดลองใช้กับตนเอง ควบคู่กับวิธีอื่นๆ เช่น การนั่งสมาธิ การปรับอาหาร และการออกกำลังกาย จนสุขภาพแข็งแรงขึ้นตามลำดับ
ในปี 2548 พระอาจารย์ได้ปรับปรุงวัดให้กลายเป็นสถานที่ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายด้วยยาสมุนไพรและการแพทย์ผสมผสาน เปิดให้บริการแก่ผู้ป่วยทุกคนโดยไม่คิดมูลค่า จึงมีผู้คนจากทั่วประเทศและทั่วโลกเดินทางมารักษาตัวที่วัดแห่งนี้ ปัจจุบัน วัดคำประมง กลายเป็นสถานที่ศึกษาดูงานของบรรดาแพทย์ พยาบาล เภสัชกร ทั้งแผนไทยและแผนปัจจุบัน
ชี้สาเหตุมะเร็ง กินอยู่ผิดและใจเครียด
จากประสบการณ์ของพระอาจารย์ประพนพัชร์ ในการดูแลผู้ป่วยตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 จนถึงปัจจุบัน ท่านย้ำว่า วิถีชีวิตในปัจจุบัน ล้วนนำไปสู่การบั่นทอนสุขภาพและเปิดโอกาสให้เซลล์มะเร็งซึ่งมีอยู่ในตัวเราทุกคนเติบโตขึ้นจนกลายเป็นโรคร้ายได้
“อาหารที่ปนเปื้อนสารเคมี อากาศที่ไม่บริสุทธิ์ ประกอบกับพักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย ปล่อยตัวไปตามกิเลส เช่น ดื่มสุรา สูบบุหรี่ ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง เมื่อประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายลดลง สารพิษตกค้างสะสมมากขึ้น ที่สำคัญที่สุด คือ ความเครียด ซึ่งเปรียบเสมือนตัวเร่งปฏิกิริยา จะยิ่งทำให้มะเร็งโตขึ้นๆ และกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
“เมื่อควบคุมปัจจัยก่อโรคทางกายได้แล้ว เราต้องมาดูแลจิตใจ เพราะใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน ข้อนี้อาตมายืนยันนะ เมื่อใจนิ่งจะด้วยการสวดมนต์ภาวนาหรือปฏิบัติสมาธิก็ตาม โรคก็จะนิ่งตามไปด้วย สังเกตคนไข้โดยเฉพาะระยะท้ายๆ ถ้าใจเขาไม่นิ่ง โรคจะลุกลามรวดเร็วมาก เพียงไม่กี่วันก็จากไปเสียแล้ว ดูแลใจคนไข้อย่างเดียวไม่ได้ ต้องอธิบายให้ญาติเขาเข้าใจด้วย จะได้ช่วยกันเป็นกำลังใจให้กัน แบบนี้จะฟื้นตัวเร็ว”
พระอาจารย์ย้ำว่า วิถีชีวิตที่ถูกต้อง ช่วยลดความเสี่ยงโรคได้ตั้งแต่ต้น เป็นประโยชน์มากกว่าตัวยารักษา เพราะเหตุนี้ผู้รักสุขภาพทุกคน จึงจำเป็นต้องเลือกกินอาหาร นอน พักผ่อน ออกกำลังกาย และทำจิตใจปลอดโปร่ง ให้สมดุลอยู่เป็นนิจ
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อยากทราบว่าวิธีการรักษาเป็นอย่างไร ต้องติดตามอ่านต่อที่ คอลัมน์ เรื่องพิเศษ หน้า 48-51 นิตยสารชีวจิต ฉบับ 404 (1 สิงหาคม 2558) ป่วยก็ต้องอ่าน ไม่ป่วยควรอ่านเป็นอย่างยิ่งค่ะ