บรรเทาโรคเอสแอลอีด้วยการดูแลตัวเอง

บรรเทาโรคเอสแอลอีด้วยการดูแลตัวเอง

โรคเอสแอลอี

 

ไม่ดูแลตัวเอง…หมอเก่งแค่ไหน โรคก็ไม่ทุเลา

เชื่อว่าหมอทุกคนไม่ได้อยากเลี้ยงไข้ ปล่อยให้ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานเรื่อยไป

แต่การจะหายจากโรคที่เป็นนั้น หลายโรคโดยเฉพาะเอสแอลอีผู้ป่วยจำเป็นต้องให้ความร่วมมือในการรักษา หรืออย่างน้อยก็ปฎิบัติตัวเพื่อสุขภาพเพื่อให้การรักษาได้ผลดี ซึ่งทั้งหมดนั้นก็เพื่อตัวผู้ป่วยเอง

คุณอรกัญญา สีตา วัย 37 ปี เรียนรู้เรื่องนี้จากประสบการณ์ของตัวเอง

เธอเริ่มป่วยเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เริ่มจากการมีผื่นขนาดเล็กๆ ขึ้นที่ใบหน้า บริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้าง จึงไปหาหมอในโรงพยาบาลเก่าแก่ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของกรุงเทพฯ ซึ่งเบื้องต้นคุณหมอเข้าใจว่าเป็นโรคผิวหนัง จึงให้ครีมมาล้างหน้าเท่านั้น

การรักษาผ่านไป 1 ปีอาการไม่ดีขึ้นตรงกันข้าม ลุกลามจนเป็นลักษณะปีกผีเสื้อ ซึ่งมีอาการคันและลอกร่วมด้วย คุณหมอจึงสงสัยว่าเป็นผื่น โรคเอสแอลอี จึงตัดชิ้นเนื้อที่แก้มไปตรวจ และพบว่าเป็นโรคที่สงสัย จึงรักษาตามอาการเรื่อยมา

หาก 3 ปีที่วนเวียนรักษาที่โรงพยาบาลนั้นอาการกลับแย่ลง นอกจากผื่นที่หน้าลุกลามมากขึ้น มิหนำซ้ำเมื่อโดนแดดแรงๆ ยังเหนื่อยเพลียและมีไข้ต่ำๆ คุณอรกัญญาจึงตัดสินใจย้ายโรงพยาบาลมายังโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง

“ก็ได้ยาเหมือนเดิม หมอบอกให้เลี่ยงฝุ่นกับแดด แต่ด้วยงานที่ทำอยู่เป็นงานร้านอาหารที่มีการขยายสาขาและมีการก่อสร้างอยู่เรื่อยๆ เราต้องลงไซต์งาน ก็เลี่ยงฝุ่นปูนไม่ได้ แดดนั้นก็ยิ่งเลี่ยงยาก หมอบอกให้ใส่เสื้อแขนยาว ใส่หมวก แต่บางทีก็เผลอ หรือครีมกันแดดที่หมอให้ทาเราทาไม่ได้ พอทาแล้วมีผื่นเล็กๆ เหมือนผื่นสิวเห่อเต็มหน้าเลย หน้าจะตึง แดงเหมือนไม่สบายเลย

“อาการเลยไม่ดีขึ้น แย่ลงเรื่อยๆ หลังๆ เริ่มเหนื่อยง่ายตัวบวมหาสาเหตุไม่ได้ ทั้งที่หมอก็ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ”

อีก 2 ปีถัดมาคุณอรกัญญาตัดสินใจย้ายโรงพยาบาลอีก เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีกิตติศัพท์การรักษาดีเช่นกัน

“ได้ยาเหมือนเดิม เพิ่มยาสเตียรอยด์เข้ามาอีก รู้สึกว่าหน้าบวมขึ้น อืดขึ้น กลมเหมือนพระจันทร์ เหมือนว่าเราอ้วนขึ้น แต่ไม่ใช่จึงหยุดยาเอง แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น”

ระยะเวลาการรักษาคืบคลานผ่านไปเป็น 6 ปี คุณอรกัญญาเล่าว่าเธอยังคงพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบเดิม กินไม่เป็นเวลา กินขนมหวานจำพวกทองหยิบ ทองหยอด ข้าวเหนียว กะทิ เหมือน

ปกติ ดื่มกาแฟวันละ 2 แก้ว นอกจากนี้ยังทำงานหนัก เครียดนอนไม่หลับ แต่ด้วยความที่ไม่สนใจสุขภาพ ยังลุยงานต่อไปทั้งที่บางครั้งรู้สึกเพลียมาก ปวดเข่า ปวดข้อ ปวดบริเวณตาตุ่มเหมือนจะก้าวขาไม่ออก หากแต่ก็ยังฝืนร่างกายต่อไป

กระทั่งล่าสุดต้นปี พ.ศ. 2551 เธอติดเชื้อในกระแสเลือด ส่งผลให้กรวยไตอักเสบ มีอาการไข้ หนาวสั่น อาเจียน จนต้องเข้ารักษาตัวในห้องฉุกเฉินและนอนพักในโรงพยาบาลต่ออีก 7 วัน

อาจจะเป็นเพราะความทรมาน ทำให้หลังจากออกจากโรงพยาบาลเธอเริ่มกินยาและปฏิบัติตัวตามหมอสั่ง พร้อมกันนั้นก็เริ่มหาวิธีอื่นที่จะช่วยให้โรคหยุดกำเริบ

วิธีการของคุณอรกัญญาคือ

  1. กินข้าวกล้องหรือข้าวจากการต้มน้ำอาร์.ซี.แทนข้าวขาว
  2. งดเนื้อสัตว์ทุกประเภท ทานธัญพืชและผักแทน
  3. งดกะทิ ของหวานของโปรดเด็ดขาด
  4. ดื่มน้ำเปล่าแทนกาแฟ ถ้าต้องดื่มชาสมุนไพรก็เป็นแบบไม่ใส่น้ำตาล
  5. ออกกำลังกายด้วยการรำกระบองอย่างน้อยให้ได้สัปดาห์ละ3 ครั้ง บางวันถ้ามีเวลาน้อยก็จะทำท่าที่เรียกเหงื่อได้
  6. ทำดีท็อกซ์เดือนละ 1 – 2 ครั้ง
  7. ทำรีแล็กเซชั่นด้วยวิธีคลายเกร็งก่อนนอนทุกคืน ถ้าตื่นขึ้นมากลางดึกก็ทำซ้ำอีก
  8. ปล่อยวางเรื่องงาน ไม่นำมาขบคิดเมื่อถึงบ้านแล้ว ถ้าคิดอะไรได้ก็จะจดเอาไว้ แล้วพรุ่งนี้ค่อยคิดต่อ
  9. ตั้งใจเลี่ยงฝุ่นและแดดที่เป็นสาเหตุให้เธอรู้สึกเหนื่อยเพลีย มีไข้ต่ำๆ และทำให้ผื่นที่เป็นเห่อขึ้นเยอะกว่าเดิม

โรคเอสแอลอี

หลังจากการปรับเปลี่ยนตัวเองได้ราว 3 เดือน คุณอรกัญญาก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ “จากการเป็นคนที่ไม่เคยมีเหงื่อเลยไม่ว่าร้อนแค่ไหน แต่ตอนนี้รำกระบองแล้วจะมีเหงื่อท่วมตัว ถามว่าดีไหม ดีค่ะ กระฉับกระเฉงขึ้น ตื่นนอนมาแล้วรู้สึกไม่ง่วงเหงาหาวนอน อยากหุงข้าว ออกกำลังกาย ระหว่างวันก็รู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงขึ้น จากเมื่อก่อนเดินขึ้นบันไดสองชั้นก็เหนื่อยมาก หอบ ต้องเกาะราวบันไดเดิน แต่เดี๋ยวนี้เดินได้สบาย แล้วก็ไม่มึนหัว ปวดหัว เป็นไข้ สำออย ต้องกินยาทุก 4 ชั่วโมงเหมือนแต่ก่อน

“ถามว่าหน้าดีขึ้นไหม ไม่ดีค่ะ ยังแดงมาก เพราะเราเลี่ยงฝุ่นไม่ได้ ยิ่งเป็นฝุ่นปูนจากการก่อสร้าง ก็เลยแพ้มากกว่าธรรมดา”

คุณอรกัญญาสรุปเรื่องโรคเอสแอลอีของเธอให้ฟังได้น่าสนใจมาก “คุณหมอบอกว่าโรคนี้รักษาไม่หาย แต่เราควบคุมมันได้ แต่ด้วยงานที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้และตัวเองก็ไม่ยอมระวังตัวเองอาการจึงยังทรงอยู่กับที่”

แม้จะมาถูกทางแล้ว แต่เธอยังต้องเพิ่มเวลาการดูแลตัวเองให้มากกว่าเดิม เพราะโรคนี้หากไม่ดูแลตัวเอง…หมอเก่งแค่ไหน โรคก็ไม่ทุเลา

 

คลิกเพื่ออ่านต่อหน้าถัดไป

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.