5. สูตรเห็ดเข็มทอง ตัวช่วยผอม สวยใส จากลำไส้ถึงผิวพรรณ
กำลังเป็นที่ฮือฮาในหมู่สาวญี่ปุ่นและเกาหลี เมื่อมีการค้นพบไม่นานมานี้ว่า เห็ดเข็มทอง คือสุดยอดอาหารที่มีคุณสมบัติเด่นในการช่วยลดน้ำหนักทลายพุง แถมยังบำรุงผิวให้ใสปิ๊งได้อีกด้วยแน่ะ…หนุ่มสาวชาวไทยท่านไหนสนใจ เรามีเคล็ดลับดี ๆ มาเสิร์ฟให้แล้วค่ะ
Go on Diet
กินเห็ดเข็มทองปริมาณ 100 กรัมเป็นประจำทุกวัน และเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรเคี้ยวอย่างละเอียด หรือประมาณ 30 ครั้งต่อ 1 คำ แต่มีวิธีกินที่ดีกว่าการกินปกติคือ การแปรรูปเป็น น้ำแข็งเห็ด ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางโภชนาการของประเทศญี่ปุ่น โดยมีวิธีการทำง่ายๆ ดังนี้ค่ะ
1. เตรียมเห็ดเข็มทอง 300 กรัมหั่นรากออก แล้วล้างให้สะอาด แบ่งเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน
2. ใส่เครื่องปั่น เติมน้ำ 400 มิลลิลิตรปั่นประมาณ 20 - 30 วินาที
3. เทลงหม้อตั้งไฟอ่อน เคี่ยว 1 ชั่วโมง พักให้เย็น
4. เทใส่แม่พิมพ์น้ำแข็ง แช่ตู้เย็นในช่องแช่แข็ง
Expert Says
ดร.เอะงุชิ ฟุมิโอะ ดุษฎีบัณฑิตด้านโภชนาการ และเจ้าของผลงานเขียนเรื่อง “เห็ดเข็มทอง” อธิบายว่า เห็ดเข็มทองมีสรรพคุณทางยามากมาย วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ออกมาแล้วว่า ในเห็ดเข็มทองมีเส้นใยอาหารมากกว่ากะหล่ำปลีราว 2 เท่า
“ไคโตซาน (ไคโตกลูแคน) ในเห็ดเข็มทองมีปริมาณมากที่สุดในบรรดาเห็ดทั้งหลายไคโตซานจะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้ลำไส้ทำงานอย่างแข็งขันเพื่อย่อยสลายเส้นใยเหล่านี้ และเมื่อไคโตซานละลายเข้าสู่กระแสเลือด จะช่วยดักจับและกำจัดไขมันส่วนเกินในเลือดที่เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคอ้วน
แล้วขับออกมาพร้อมอุจจาระ แถมยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ทำให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่งอีกด้วย”
นอกจากนี้ ดร.เอะงุชิยังเผยอีกด้วยว่า การนำเห็ดสดมาปั่นให้ละเอียด ทำเป็นน้ำแข็งเห็ด จะทำให้มีคุณสมบัติมากกว่าเห็ดสด คือ ช่วยให้สามารถดูดซึมสารอาหารได้ดียิ่งขึ้น และจากการทดลองนำน้ำแข็งเห็ดผสมกับน้ำให้ผู้เข้ารับการทดลองดื่ม สิ่งแรกที่พบคือ กลิ่นตัวหายไป สองเดือนหลังจากนั้นน้ำหนักตัว คอเลสเตอรอล และความดันโลหิต ก็ลดลงตามไปด้วย ผ่านไปสามเดือน รอบเอวเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อกินต่อเนื่อง 6 เดือน – 1 ปี น้ำหนักตัวจะค่อยๆ ลดลงจนคงที่
โดยใน 1 วันควรกินน้ำแข็งเห็ด 3 ก้อน ด้วยการดัดแปลงใส่ในเมนูอาหารที่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นซุปทุกชนิด อาหารผัดต่างๆ ข้าวแกงกะหรี่ หรือแม้แต่เมนูเครื่องดื่ม เช่น ชาร้อน ก็ยังได้
6. สูตรกินผลไม้ลดอ้วน
วิธีนี้ไม่ค่อยยุ่งยากหรือซับซ้อนเท่าไร เพียงแค่กินผลไม้แทนอาหารในแต่ละมื้อเท่านั้น แบ่งเป็น 3 สูตรง่ายๆ ให้เลือกสรรกันตามอัธยาศัยดังนี้ค่ะ
Go on Diet
สูตรดีท็อกซ์ด้วยผลไม้ 3 วัน กินผลไม้ไม่จำกัดปริมาณ 3 วัน กินได้ทั้งเนื้อและน้ำผลไม้
กินผลไม้แทนอาหารเช้ากินผลไม้ไม่จำกัดจำนวนแทนอาหารเช้า ส่วนมื้ออื่นกินอาหารตามปกติ
กินผลไม้แทนอาหารเย็น กินผลไม้จำกัดพลังงาน ไม่ควรเกิน 300 กิโลแคลอรีแทนมื้อเย็นส่วนมื้ออื่นกินอาหารตามปกติ
*ทั้ง 3 สูตร มีข้อห้ามคือให้งด หรือพยายามหลีกเลี่ยงอาหารทุกประเภทหลัง 19.00 น.
Expert Says
คุณรุ่งเรือง คลองบางลอ โภชนากรและนักเขียนประจำคอลัมน์ Low Calorie Diet นิตยสาร HEALTH & CUISINE กล่าวถึงข้อดีของสูตรนี้ว่า “ผลไม้ทำให้ความอยากอาหารลดลง เมื่อทำไปสักระยะหนึ่ง คุณจะสามารถควบคุมปริมาณอาหารในแต่ละมื้อได้เองโดยอัตโนมัติ ทำให้สามารถลดน้ำหนักได้อย่างน้อยสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม นอกจากนี้ผลไม้ยังมีวิตามินและเกลือแร่สูงช่วยต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวพรรณสดใส และมีใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานอย่างเป็นปกติ”
ข้อเสียของสูตรนี้ก็คือ ร่างกายจะได้รับสารอาหารไม่ครบในแต่ละมื้อและผลไม้ย่อยเร็ว จึงอาจทำให้หิวเร็วโดยเฉพาะในมื้อเย็น ซึ่งคุณอาจจะต้องนอนเร็วขึ้น และไม่ควรทำติดต่อกันเกิน 2 เดือน รวมถึงน้องๆ ที่อยู่ในวัยเรียนหรือวัยกำลังเจริญเติบโตและผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานไม่ควรลดน้ำหนักด้วยสูตรนี้
Tips เลือกกินผลไม้ชนิดไหนดี
คุณรุ่งเรืองแนะนำให้กินผลไม้ดังนี้
- ผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซี วิตามินบี แมงกานีส ได้แก่ ราสป์เบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ เชอร์รี่
- ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ส้ม ฝรั่ง กีวี
- ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีนและโพแทสเซียมสูง ได้แก่ กล้วย
- ผลไม้ที่มีเหล็กและโพแทสเซียมสูง ได้แก่ ลูกพรุนทั้งสดและแห้ง
7. สูตรหุ่นเพรียวลม ผิวผุดผ่อง ด้วยน้ำแร่เต้าหู้
อยากลดน้ำหนักแบบไม่เครียดและได้ผิวพรรณผุดผ่องเป็นของแถม “น้ำแร่เต้าหู้” ช่วยคุณได้ค่ะ โดยเจ้าน้ำแร่เต้าหู้ที่ว่านี้ก็คือน้ำผักผสมน้ำเต้าหู้นั่นเอง สูตรนี้มีทีเด็ดอยู่ที่จะไม่ทำให้คุณหิวโซหรือเครียดกับการไดเอตแต่อย่างใด พูดไปอาจไม่เชื่อ ต้องไปลองพร้อม ๆ กันแล้วละ
Go on Diet
ดื่มน้ำผักผสมน้ำเต้าหู้ประมาณ 400 – 500 ซีซีเป็นมื้อเช้าทุกวัน หรือหากไม่สะดวกก็สามารถเลื่อนไปดื่มในมื้อกลางวันแทนได้ สามารถดื่มน้ำแร่เต้าหู้แทนอาหารมื้อใดก็ได้ตามแต่สะดวก โดยสามารถทำน้ำแร่เต้าหู้เองได้ง่ายๆ เพียงผสมส่วนผสมต่อไปนี้เข้าด้วยกันค่ะ
Expert Says
คุณทามิโกะ อาคาโบชิ ผู้มีประสบการณ์ตรงจากการลดน้ำหนักด้วยสูตรนี้ เผยสรรพคุณสุดวิเศษของน้ำแร่เต้าหู้ว่า “ร่างกายจะได้รับแร่ธาตุ ที่จำเป็นสำหรับหนึ่งวัน จากการดื่มน้ำแร่เต้าหู้เป็นมื้อเช้าพอถึงมื้อกลางวันและมื้อเย็น แม้จะอยากกินอาหารที่มีสารอาหารชนิดอื่น (โปรตีนหรือคาร์โบไฮเดรต) ก็จะกินได้ไม่มากเพราะอิ่มเสียก่อน”
นอกจากนี้นายแพทย์ซุซุมุ ทางุชิ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโชวะ วิทยาเขตเหนือ เมืองโยะโกะฮะมะ ประเทศญี่ปุ่น ยังให้ความรู้ว่า น้ำแร่เต้าหู้ มีส่วนผสมของเส้นใยอาหารประเภทละลายน้ำ ช่วยควบคุมการดูดซึมน้ำตาลป้องกันการเพิ่มปริมาณของน้ำตาลในเลือด ยิ่งกว่านั้นยังมีคุณสมบัติในการควบคุมการดูดซึมคอเลสเตอรอลและเกลืออย่างได้ผล เส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เบาหวานเส้นเลือดแข็งตัว นิ่ว และอาการต่างๆ อันเนื่องมาจากปริมาณไขมันในเลือดสูงรวมถึงแก้ท้องผูกและช่วยการขับถ่ายด้วย
8. สูตรลดน้ำหนัก 14 วัน ตำรับชีวจิต
สูตรนี้การันตีผลลัพธ์ภายใน 14 วัน โดย อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต ซึ่งนอกจากจะช่วยคนอ้วน (จริง ๆ) ให้ได้มีรูปร่างที่สมบูรณ์แบบดังใจปรารถนา ยังช่วยให้คนที่หุ่นดีอยู่แล้วได้ชื่นชมกับความงดงามของร่างกายอย่างเบิกบานแจ่มใส เรียกว่าฉลาด หุ่นดี อ่อนเยาว์ อายุยืน ครบครันกันทุกคนเลยละค่ะ
Go on Diet
อาจารย์สาทิสอธิบายไว้ในหนังสือ ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวจิต, ชีวิตเริ่มต้นเมื่อ 70 และชีวจิต การใช้ชีวิตอย่างเข้าใจธรรมชาติ สํานักพิมพ์อมรินทร์สุขภาพ สรุปได้ว่า
“ผู้ที่น้ำหนักเกิน 60 กิโลกรัม วันที่ 1 ต้องงดอาหารทั้งหมด ตื่นมาดื่มน้ำมะนาวคั้นสด ๆ 3 ลูก จากนั้นจิบน้ำเปล่าทั้งวันให้ได้ 3 ขวด หรือจะดื่มชาสมุนไพรด้วยก็ได้ ระหว่างวันควรนอนพักมาก ๆ อย่าทํากิจกรรมหักโหม และช่วงเย็นให้ดื่มน้ำมะนาวคั้นสดๆ 3 ลูกเช่นเดิม
“วันที่ 1 – 3 ให้กินอาหารชีวจิต เริ่มจากข้าวกล้องและผักต่างๆ ตุ๋นจนเปื่อย แล้ววันที่ 4 – 6 จึงใส่เต้าหู้หรือเนื้อปลาบดละเอียดเพิ่ม ช่วงนี้อาจกินวิตามินและแร่ธาตุเสริมได้หลังจากนั้นเมื่อถึงวันที่ 7 จึงสามารถกินเต็มที่ตามปกติ แต่ห้ามปรุงรสจัด และไม่ใส่น้ำตาล
“ใน 14 วันนี้ให้ดื่มน้ำเอนไซม์วันเว้นวัน เช่น น้ำแตงกวา น้ำขึ้นฉ่ายหรือเซเลอรี่ ครั้งละ 1 แก้ว นอกจากนี้ยังเสนอให้ทําดีท็อกซ์ควบคู่ไปด้วย โดยทําติดต่อกัน 14 วัน”
Expert Says
อาจารย์สาทิสอธิบายถึงคุณประโยชน์ของสูตรลดน้ำหนัก 14 วันนี้ว่า “เพื่อปรับสมดุลร่างกายทุกระบบให้ดีขึ้น แข็งแรงและสดชื่นทั้งกายใจ หากต้องการให้กายใจรู้สึกผ่อนคลายใช้วิธีฝึกสมาธิร่วมด้วยจะประเสริฐยิ่งนัก
“เคล็ด (ไม่) ลับที่ต้องจําให้ขึ้นใจคือ งดเครื่องดื่มที่ต้องเติมน้ำตาล ไม่กินอาหารมันๆ ไม่ดื่มสุรา และหยุดสูบบุหรี่ หันมาดื่มชาสมุนไพร เช่น ชาเก๊กฮวย ชามะตูม ชาดอกคําฝอย เป็นต้น”
และที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ น้ำอาร์ซีซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินที่ช่วยบํารุงระบบประสาท และมีน้ำตาลกลูโคสจากธรรมชาติ ช่วยระงับอาการโหยหาน้ำหวาน ๆ ระหว่างวันได้ ควรต้มน้ำอาร์ซีใส่กระติกเก็บความร้อนพกไว้เพื่อจิบอุ่น ๆ ช่วยให้สมองดี พร้อมลดน้ำหนักไปได้ในตัว ถึงต้องนั่งทํางานทั้งวันทั้งคืน แต่หมดกังวลเรื่องอ้วนลงต้นขาและสะโพกได้แน่นอนเนื่องจากมีรสหวานตามธรรมชาติและปราศจากไขมันค่ะ
Mindful Eating อยากผอม ต้องกินอย่างมีสติ
คุณหมอผิง - แพทย์หญิงธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล อธิบายไว้ในหนังสือ ผอมได้ ไม่ต้องอด สํานักพิมพ์อมรินทร์สุขภาพ ว่า “จะผอมได้นั้นจําเป็นต้องกินอย่างมีสติ หรือ Mindful Eating ที่ปัจจุบันนิยมมากในสหรัฐอเมริกา โดยมีหลักการคือกินเมื่อหิวและหยุดเมื่ออิ่ม
“แนวคิดนี้มาจากประเทศฝรั่งเศสสรุปใจความได้ว่า กระเพาะอาหารที่อิ่มแล้วจะใช้เวลาประมาณ 15 – 20 นาทีในการส่งสัญญาณหาสมองเพื่อสั่งร่างกายให้หยุดกิน ดังนั้นการกินอาหารแต่ละมื้อจึงควรเนิบช้า รื่นรมย์ และละเมียดละไม”
9. สูตร 6 -7- 8 ปรับนาฬิกาชีวิตพิชิตอ้วน
สำหรับสูตร 6 -7- 8 นี้ใช้ได้กับทุกคน ด้วยการรับรองผลจากนายแพทย์บัญชา แดงเนียม ผู้เขียนหนังสือ นาฬิกาชีวิต สูตรลับหุ่นดี สำนักพิมพ์อมรินทร์สุขภาพ รวมถึงเป็นผู้คิดค้นและทดลองเองจนมั่นใจในผลลัพธ์ แถมยังมีแฟนคลับนำสูตรนี้ไปใช้แล้วสวยขึ้นทันตา น้ำหนักหายวับไป 12 กิโลกรัมใน 3 เดือนโดยไม่ต้องอดอาหาร ไม่ต้องออกกำลังกายอย่างหักโหม ไม่ต้องพึ่งยา ขอเพียงมีความตั้งใจจริงและปรับเปลี่ยนนาฬิกาชีวิตเสียใหม่…ง่าย ๆ แค่นี้ ลองกันเลยไหมคะ
Go on Diet
6.00 น.
ตื่นนอน เข้าห้องน้ำ ออกกำลังกายเบาๆ ประมาณ 30 – 60 นาที เช่น ขี่จักรยาน เดินเร็ว โยคะ อะไรก็ได้ที่ทำให้หัวใจเต้นประมาณ 60 – 70 เปอร์เซ็นต์ของอัตราสูงสุดตามอายุ (อัตราสูงสุดที่หัวใจรับได้ คำนวณโดยนำตัวเลข 220 – อายุ) เพราะช่วงตื่นนอนใหม่ๆ ระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำที่สุด เมื่อออกกำลังกายร่างกายจะค่อยๆ ใช้น้ำตาลจนหมดในเวลาไม่นานนัก โดยเฉลี่ย 15 - 30 นาที แล้วจึงเปลี่ยนไปใช้ไขมันที่สะสมอยู่มาเป็นพลังงาน
7.00 น.
หยุดออกกำลังกาย อาบน้ำ แต่งตัว ถ้าได้อาบน้ำเย็นยิ่งดี การอาบน้ำเย็นจะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อสั่นช่วยเร่งการเผาผลาญได้อีกทางหนึ่ง และกล้ามเนื้อที่สั่นจะผลักเลือดไปไว้ที่เซลล์ไขมัน ทำให้เกิดการเผาผลาญไขมันได้นานขึ้น และไม่ควรกินอาหารใดๆ นอกจากน้ำเปล่า เพื่อช่วยปรับสมดุลจากการเผาผลาญไขมัน
8.00 น.
กินอาหารเช้าชุดใหญ่ ค่อยๆ เคี้ยวอย่างช้าๆ นานๆ โดยมีคาร์โบไฮเดรต มีของหวานได้บ้าง ดื่มกาแฟตบท้ายก็ยังได้ เพราะกาแฟจะช่วยการย่อยและการเผาผลาญพลังงาน อีกทั้งกาเฟอีนจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
Expert Says
คุณหมอบัญชาอธิบายเพิ่มเติมว่า สูตรนี้สามารถลดน้ำหนักได้โดยเฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 กิโลกรัม สถิติสูงสุดที่เคยมีคนทำได้คือ 6 กิโลกรัมใน 1 เดือน อาจมีตัวช่วยคือ น้ำมันปลา 1,000 - 2,000 มิลลิกรัม และโคเอนไซม์คิวเท็นประมาณ 100 มิลลิกรัมโดยกินก่อนเริ่มออกกำลังกายตอนเช้าในแต่ละวัน
กลไกการทำงานคือ น้ำมันปลา จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดในช่วงที่ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลจนหมดแล้ว กำลังจะเปลี่ยนมาใช้ไขมันเป็นพลังงานแทน เป็นเสมือนตัวชักนำให้เกิดการเผาผลาญอย่าต่อเนื่อง และคุณสมบัติอีกประการหนึ่งคือ น้ำมันปลาช่วยลดการอักเสบได้ ทำให้ไม่ค่อยปวดกล้ามเนื้อเวลาออกกำลังกาย ส่วนโคเอนไซม์คิวเท็นจะช่วยขจัดสารอนุมูลอิสระ ทำให้ร่างกายไม่โทรมหลังออกกำลังกาย
10. สูตรกินให้ฟิต ง่ายนิดเดียว
ปิดท้ายด้วยสูตรของสาว (เคย) อ้วน คุณชุลีรัตน์ ฟาวเลอร์ หรือ คุณเชอรี่ (อายุ 36 ปี) ปัจจุบันเธอเป็นเจ้าของแฟนเพจ Get Fit By Workout ที่มีแฟนคลับติดตามกันทั่วบ้านทั่วเมือง ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นสาวร่างตุ้ยนุ้ยที่มีน้ำหนักเกือบแตะ 70 กิโลกรัม แต่หลังจากค้นพบเคล็ดลับการกินในแบบฉบับของตัวเอง เธอก็กลายเป็นเจ้าของรูปร่างฟิตแอนด์เฟิร์มที่ใครเห็นก็ต้องอิจฉา แถมหั่นน้ำหนักทิ้งไปได้ตั้งเกือบ 20 กิโลกรัมแน่ะ
เคล็ดลับความฟิตของเธอคืออะไร ไปดูกันค่ะ
Go on Diet
เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากการลดน้ำหนักด้วยสูตรนี้มากยิ่งขึ้น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เรวดี จงสุวัฒน์ หัวหน้าภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล แนะนำเพิ่มเติมว่า “ในแต่ละมื้อควรเพิ่มปริมาณผักและผลไม้มากขึ้น โดยเฉพาะผลไม้ที่มีรสชาติไม่หวานนัก เช่น ฝรั่ง แก้วมังกร ชมพู่ อาจกินเป็นของว่างหรือตบท้ายอาหารทุกมื้อ เพราะผลไม้ที่มีใยอาหารสูงช่วยให้อิ่มท้องได้นาน รวมถึงมีวิตามินต่าง ๆ ที่ช่วยในการย่อยและดูดซึมไขมัน
“นอกจากนี้ในแต่ละวันควรกินเนื้อสัตว์ชนิดไม่ติดมันให้หลากหลายยิ่งขึ้น เช่น ปลา ที่ควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาดคือ หมูสับ เพราะอุดมไปด้วยไขมัน ปราศจากโปรตีน ส่วนอาหารว่าง นอกจากอัลมอนด์อบแล้ว อาจมีทางเลือกอื่นได้ เช่น วอลนัทที่อุดมไปด้วยคุณค่าสารอาหารและเป็นแหล่งไขมันดีอย่างกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว หรือจะกินถั่วลิสงแบบไทยๆ ก็ยังได้ โดยแนะนำให้กินประมาณวันละ 7 – 8 เมล็ดก็เพียงพอแล้ว”
อ่านปุ๊บ ลงมือทำปั๊บ รับรองว่าลาขาดจากความอ้วน (อย่างถาวร) กันทั้งครอบครัวเลยละค่ะ
จาก คอลัมน์เรื่องพิเศษ นิตยสารชีวจิต ฉบับ 412
บทความน่าสนใจอื่นๆ
คู่มือสยบ 8 โรค แถมจากความอ้วน
สมุนไพรลดความอ้วน ตำรับราชสกุลทินกร, ภัทรภาสคลินิก และตำรับหมอน้อย
วิธีกินวิตามินลดความอ้วน บอกลาไขมันหน้าท้อง