ชวนรู้จัก ” แสงสีฟ้า ” อีกหนึ่งตัวร้ายทำลายผิวให้แก่กว่าวัย ก่อฝ้า จุดด่างดำ

แสงสีฟ้า กับอันตรายที่ไม่แพ้แสง UV

เชื่อว่าทุกวันนี้หลายคนทากันแดดเพราะกลัวแสงยูวีทำร้ายผิว น้อยคนจะระแวดระวังจาก แสงสีฟ้า ที่อยู่ร่วมในชีวิตประจำวันของเรา พร้อมจะทำลายผิวก่อให้เกิดความเสื่อมของเซลล์ผิว ลองมาดูรายละเอียดกันเลยค่ะ

อะไรคือแสงสีฟ้า

แสงสีฟ้า หรือบลูไลท์ (Bluelight) เป็นคลื่นแสงพลังงานสูง (High Energy Visible Light) ที่มีต้นกำเนิดจากดวงอาทิตย์ โดยปกติแสงสีขาวจากดวงอาทิตย์จะแยกเป็นสเปกตรัมทั้งหมดเจ็ดสี ได้แก่ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง  โดยแสงบลูไลท์นั้น จะอยู่ระหว่างสีครามกับสีน้ำเงิน และมีความยาวคลื่นระหว่าง 400-500 นาโนเมตร ซึ่งอันตรายของบลูไลท์ส่งผลต่อผิวพรรณเราโดยตรง เพราะทำลายลงลึกสู่ชั้นผิวไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ารังสียูวี ทั้งยูวีเอและยูวีบี  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บลูไลท์ในแสงแดดนั้นยังรุนแรงมากกว่าจากหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ถึง 10,300 เท่า หรืออาจเปรียบเทียบได้ว่าเวลาการรับแสงบลูไลท์จากดวงอาทิตย์เพียงหนึ่งนาที เท่ากับหนึ่งสัปดาห์ของการรับแสงบลูไลท์จากหน้าจออิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่องนั่นเอง

โดยอันตรายของบลูไลท์ต่อผิวชั้นนอกที่เห็นได้ชัดเจนคือไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน ส่งผลให้เกิดกระ ฝ้า จุดด่างดำ ความหมองคล้ำ และรอยอักเสบของผิว และเมื่อแสงบลูไลท์ลงไปสู่ชั้นผิวที่ลึกขึ้นแล้วนั้น จะเป็นสาเหตุให้เกิดอนุมูลอิสระและกระตุ้นการสร้างเอนไซม์ ที่จะไปทำลายคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยก่อนวัย รวมทั้งก่อให้เกิดอนุมูลอิสระที่เมื่อมีการสะสมจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้

แสงสีฟ้า Blue light เล่นมือถือ

เราเจอแสงสีฟ้าจากอะไร

นายแพทย์ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและผิวพรรณประจำโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ได้แชร์ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับแสงสีฟ้าไว้ว่า “แสงสีฟ้า หรือ บลูไลท์ ที่เรามักจะได้ยินคนพูดถึงกันทั่วไปในปัจจุบัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่คนมักจะเข้าใจว่าบลูไลท์มีเฉพาะจากหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ อย่างคอมพิวเตอร์ หรือมือถือเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว แสงแดดก็มีบลูไลท์รวมอยู่ด้วยเช่นกัน  ซึ่งเจ้าบลูไลท์นี้เองมีอันตรายและก่อให้เกิดปัญหาผิวพรรณไม่แพ้กับรังสียูวีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นปัญหา ฝ้า กระ ริ้วรอย จุดด่างดำ และผิวชราก่อนวัยอันควร ที่สำคัญคือการรับแสงบลูไลท์ในปริมาณมาก และต่อเนื่องยังเป็นสาเหตุการเกิดมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย จึงกล่าวได้ว่าบลูไลท์เป็นผู้ร้ายแอบแฝงที่เราไม่เคยรู้มาก่อนในอดีต”

“ด้วยวิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบันที่ใช้เวลาส่วนใหญ่กับสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต รวมถึงหน้าจอคอมพิวเตอร์ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งแสงบลูไลท์แฝงตัวอยู่กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้  ดังนั้นการสัมผัสสิ่งพวกนี้ แม้จะไม่เทียบเท่ากับที่รับจากแสงแดด แต่ก็สามารถส่งผลในระยะยาวได้”

“ปัจจุบันคนไข้ที่มารับการรักษา จะมีปัญหาผิวอย่างฝ้า กระ ที่แตกต่างจากเดิม คือเมื่อก่อนจะขึ้นบริเวณช่วงกลางของใบหน้า แต่ปัจจุบันจะพบบริเวณแก้มด้านใดด้านหนึ่งซึ่งสัมพันธ์กับด้านที่ใช้คุยโทรศัพท์มือถือ เพราะฉะนั้นจึงแสดงให้เห็นว่าบลูไลท์จากมือถือมีผลให้เกิดปัญหาผิวได้  นั่นคือเหตุผลว่าไม่ว่าเราจะไปที่ไหน เราสามารถเจอบลูไลท์ได้ตลอดเวลา และเพื่อป้องกันอันตรายจากแสงแดดได้อย่างครอบคลุมทุกมิติ ผลิตภัณฑ์กันแดดที่ปกป้องเฉพาะรังสียูวีอย่างเดียวจึงไม่เพียงพออีกต่อไป” นายแพทย์ชลธวัช กล่าวปิดท้าย

คำแนะนำ

ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดปริมาณแสงสีฟ้าจากอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์มากมาย อาทิ ฟิล์มกรองแสง น้ำตาเทียมลดแสงสีฟ้า แว่นตาตัดแสงสีฟ้า หรือแม้กระทั่งผลิตภัณฑ์ทาผิวป้องกันรังสียูวีที่เพิ่มคุณสมบัติป้องกันแสงสีฟ้าได้ด้วย อย่างไรก็ควรหาสิ่งเหล่านี้มาปกป้องตัวเองจากแสงอันตรายนี้ให้ครบถ้วนจะดีที่สุด

(ข้อมูลจาก : นายแพทย์ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและผิวพรรณประจำโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท)


© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.