ตรวจเลือดหาโควิด

โควิดลงปอด แยงจมูกตรวจอาจไม่เจอ ต้องตรวจเลือดชัวร์สุด

โควิดลงปอด แยงจมูกตรวจอาจไม่เจอ ต้องตรวจเลือดชัวร์สุด

การแพร่ระบาดของโควิด 19 อาจทำให้หลายคนเกิดความกังวลว่าตนเองติดเชื้อหรือไม่ เพราะเมื่อรับเชื้อมาแล้วอาจไม่มีอาการได้นานเกิน 14 วัน แต่สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ ซึ่งหนึ่งในวิธีสำคัญในการควบคุมการระบาดก็คือการตรวจพบเชื้อและกักกันให้เร็วที่สุด แต่คนส่วนใหญ่เมื่อพูดถึงการตรวจหาเชื้อที่ง่ายและไวที่สุดก็คือ การแยงจมูก

แต่อ่านเจอขพ้อมูลล่าสุดที่ทาง ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟชบุ๊ก “ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha” เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของ โควิด-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์อินเดีย รวมถึงแนะวิธีคัดกรอง เอาไว้ว่า…..

เชื้อโควิดสายพันธุ์อินเดียมักจะแพร่เชื้อลงปอดในลึกขึ้น และจะทำให้ตรวจหาเชื้อจากการแยงจมูกไม่พบ อีกทั้งการตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR อาจจะไม่สามารถตรวจจับหาเชื้อได้ทั้งหมด เพราะรหัสพันธุกรรมผิดเพี้ยน ดังนั้นหากมีการแพร่เชื้อ อาจทำให้เกิดปัญหากับวัคซีนที่มีอยู่ในขณะนี้ทั้งหมด

สำหรับข้อแนะนำในการคัดกรองหาเชื้อที่เร็วที่สุด คือ การตรวจเลือดว่าติดเชื้อหรือไม่ เช่น ตรวจด้วย “อีไลซา” คือ การทดสอบโดยใช้แอนติบอดีที่มีแล้วในหลายโรงพยาบาล และสามารถทำได้ง่ายกว่าการแยงจมูก และหากพบผลตรวจเลือดเป็นบวก โดยยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ให้แยกตัวผู้ติดเชื้อออกจากคนอื่นและเข้ารับการกักตัว 14 วัน

แยงจมูกตรวจโควิด

ตั้งแต่กลางปีนี้ ถ้ามีสายอินเดียและแพร่คนไทยสู่คนไทย ต้องระวัง ซึ่งการตรวจตรวจจับอาจไม่แม่นยำเพราะ

1- เชื้อชอบลงลึกในปอด แยงจมูกไม่เจอ

2- กระบวนการตรวจ พีซีอาร์ อาจจับได้ไม่หมด เพราะรหัสพันธุกรรมเพี้ยน

ดังนั้น ถ้าแพร่ไป อาจมีปัญหากับวัคซีน ขณะนี้ทั้งหมด ซึ่งการคัดกรองที่เร็วที่สุด คือ การตรวจเลือดว่าติดเชื้อหรือไม่ เช่น ตรวจด้วย อีไลซ่า รพ. มากมายมี และทำง่ายกว่า การแยงจมูก พีซีอาร์

ถ้าตรวจเลือดเป็นบวกโดยยังไม่ได้ฉีดวัคซีน แยกตัวทันทีจากคนอื่นและกักตัว 14 วัน ทั้งนี้โดยที่จะแยงจมูกต่อหรือไม่ก็ตามแต่ นั่นก็คือคัดกรองเร็วที่สุดแล้วแยกตัวเร็วที่สุด

สรุปก็คือ การคัดกรองแบบแยงจมูกก็ยังคงทำได้ แต่ถ้าจะให้ชัวร์ตรวจจากเลือดแน่นอนกว่า แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการกักตัวเมื่อตรวจเจอ แยกตัวจากคนอื่นให้ไวที่สุด และให้ระวังสายพันธุ์อินเดียที่แพร่เชื้อจากคนไทยสู่คนไทยไว้ด้วย เอาเป็นว่า หมอเตือนเราก็ฟัง ปฏิบัติตัวตามมาตรการป้องกัน และดูแลตัวเองรวมถึงคนรอบข้างให้ดี เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด !!

ก่อนหน้านี้ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ได้แสดงความเป็นห่วงต่อโควิด-19 กลายพันธุ์ระบุว่า โควิดซึ่งมีการปรับเปลี่ยนหน้าตาจนกลายเป็นที่เรียกว่าสายพันธุ์ ที่ต้องจับตามองด้วยความกังว  ไปจนถึงที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเนื่อง (

ล้วนแล้วแต่เกิดจากการระบาดที่รุนแรงแรงกว้างขวางจนเกิดการวิวัฒน์ ให้มีความเก่งกาจขึ้น (gain of function) ตั้งแต่ สายอังกฤษ แอฟริกาใต้บราซิลฟิลิปปินส์และจนอินเดีย ที่ถูกจัดจากองค์การอมามัยโลกให้ทั่วโลกจับตา และในอีกไม่ช้าไม่นาน ถ้าสถานการณ์คุมไม่ได้ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งก็จะเกิดมีสายใหม่เกิดขึ้นอีก

ตรวจเลือด

ในส่วนของสายอินเดีย ที่มีการตรวจพบมานานพอสมควรในประเทศไทย หลายรายด้วยกันแล้ว ในสถานกักตัว

ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตุจากหมอและนักวิทยาศาสตร์อินเดียและหลายกลุ่ม ในไวร้สสานนี้มานานพอสมควร ที่ว่าสามารถ

“จับลึก” นั่นก็คือไถลลงไปจับกับหลอดลมส่วนลึกและถุงลมแทนที่จะเป็นโพรงจมูกและลำคอ

“จับแน่น” ทำให้มีความสามารถในการติดเชื้อได้เก่งขึ้นและจากนั้นแพร่ได้ง่ายขึ้น

“หลีกหนี” การมองเห็นการเฝ้าระวังตรวจตราของระบบป้องกันและภูมิคุ้มกันที่ได้จากวัคซีน

ทั้งนี้ยังหมายควบรวมไปถึงภูมิคุ้มกันที่ได้จากการติดเชื้อครั้งแรกจากโควิดธรรมดา และเมื่อติดเชื้อสายใหม่นี้ สามารถมองเห็นจับได้ แต่ไม่ยับยั้งไวรัสและกลับจับไวรัสไปส่งให้ เซลล์ที่มีหน้าที่ป้องกันไวรัส โดยมีหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อ แต่กลับปล่อยสารอักเสบขึ้นมาแทนเลยเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อและต่อทุกระบบในร่างกาย

และในลำดับต่อไป ถ้าไวรัสมีการปรับเปลี่ยนส่วนท่อนต่างๆที่ปกติออกแบบมาอยู่แล้วเพื่อก่อโรคให้มีความรุนแรง และกลับรุนแรงขึ้นไปอีก จนมีปัญหาในการรักษาและรวมไปกระทั่งถึงดื้อยาที่ใช้ได้ผลอยู่ในปัจจุบัน จะกลายเป็น สายที่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างสูง

ทั้งหมดนี้สามารถชนะได้ด้วยวัคซีนพร้อมกับมีวินัยทั้งทางบุคคลและทางสังคมอย่างเข้มข้น พยายามสงบการระบาดให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

ที่มา: เฟชบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha และ naewna

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ 

ฉีดวัคซีนแล้วมีไข้ เป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องตื่นตระหนก!

หน้ากากอนามัย พารอดโควิด

ตามดูความเสี่ยงสุขภาพ หลังรอดชีวิตจากโควิด-19

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.