วิตามินดี สารอาหารจำเป็นที่คนไทยส่วนใหญ่มีไม่พอ
ไม่น่าเชื่อว่า…คนไทยจำนวนมากมีระดับ วิตามินดี ในร่างกายต่ำกว่าปกติทั้งที่อยู่ในประเทศเมืองร้อน!? จากข้อมูลทางสุขภาพกว่าร้อยละ 60 ของคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และเกือบร้อยละ 50 ของคนในตัวเมือง แต่ละจังหวัดมีภาวะขาดวิตามินดี มากกว่าคนในพื้นที่ชนบท ทั้งที่ร่างกายของเราสามารถสังเคราะห์ได้จากผิวหนังเมื่อโดนแสงแดด แต่จากพฤติกรรมของคนในปัจจุบันที่ส่วนใหญ่อยู่ในห้องหรืออาคารและออกมาสัมผัสแสงแดดลดลง จึงทำให้เกิดภาวะที่เราเรียกว่า ภาวะขาดวิตามินดี
หนึ่งในวิตามินเสริมภูมิคุ้มกัน
ตั้งแต่มีการแพร่กระจายของเชื้อโคโรน่าไวรัสวิธีการเสริมภูมิต้านทานด้วยวิตามิน เป็นสิ่งที่แพทย์ทั่วโลกและองค์การอนามัยโลกแนะนำควบคู่ไปกับการป้องกันการติดเชื้อจากภายนอก เช่น การล้างมือ เว้นระยะห่าง และสวมหน้ากากอนามัย วิตามินสำคัญที่ให้ประโยชน์ในการเสริมภูมิต้านทานที่คนทั่วไปรู้จักก็คือ Vitamin C
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งวิตามินที่สามารถกินควบคู่กันได้ในภาวะการแพร่กระจายของเชื้อโรคระลอก 3 ในประเทศไทยเพื่อปกป้องร่างกายที่ได้รับการยืนยันแล้วว่า ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายด้วยการเพิ่มความแข็งแรง และการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้มีประสิทธิภาพได้เช่นกัน รวมทั้งช่วยลดความรุนแรงในผู้ที่ติดเชื้อก็คือวิตามินดี
รู้จักวิตามินดีกันให้มากขึ้น
ประโยชน์ของวิตามินดี โดยทั่วไปเป็นวิตามินที่มีส่วนสำคัญในการดูดซึมแร่ธาตุแคลเซียมจากอาหาร ไปบำรุงกระดูกทำให้กระดูกแข็งแรง แต่ในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา มีการศึกษาวิจัยออกมาว่าวิตามินชนิดนี้มีผลต่อการแบ่งตัวของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย หนึ่งในเซลล์ที่ว่านี้ก็คือ เม็ดเลือดขาว ที่เปรียบเสมือนเป็นเกราะป้องกันในการต่อสู้กับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายโดยวิตามินดีจะไปช่วยกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวเพิ่มจำนวนและมีความสมบูรณ์มากขึ้น เพื่อต่อสู้กับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่า
ในทางกลับกันหากร่างกายมีภาวะการขาดวิตามินดี ก็เท่ากับว่า ภูมิคุ้มกันก็จะลดลง เม็ดเลือดขาวก็จะอ่อนแอขาดความสมบูรณ์ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างเต็มที่ มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจซึ่งถูกส่งต่อกันในสื่อสังคมออนไลน์กันอย่างกว้างขวางในช่วงที่มีการระบาด โดยเป็นการรายงานของมหาวิทยาลัยบาร์เซโลนา (University of Barcelona) ประเทศสเปน ระบุไว้ว่า วิตามินดีสามารถลดอาการของผู้ป่วยหนักได้ถึง 80% และลดอัตราการเสียชีวิตจากเชื้อโคโรน่าไวรัสถึง 60%
ซึ่งก็สอดคล้องกับทีมวิจัยของมหาวิทยาลัย Northwestern ของสหรัฐอเมริกาที่ระบุ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อซึ่งมีภาวะขาดวิตามินดี อย่างรุนแรงมีแนวโน้มที่จะมีอาการแทรกซ้อนและเสียชีวิตมากกว่าคนปกติถึง 2 เท่า
นอกจากนี้ยังมีงานศึกษาที่สนับสนุนเรื่องวิตามินดี กับความเสี่ยงในการติดเชื้อโคโรน่าไวรัสที่รวบรวมข้อมูลโดยนักวิจัยชาวอิสราเอลซึ่งก็พบว่า
คนที่มีปริมาณวิตามินชนิดนี้ในเลือดต่ำจะมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อได้มากกว่าผู้ที่มีวิตามินในระดับปกติ นอกจากนี้ในงานศึกษาชิ้นนี้ยังพบอีกว่า เมื่อผู้ที่มีวิตามินดีในเลือดน้อยกว่าติดเชื้อแล้วจะมีอาการที่แสดงออกมามากยิ่งขึ้น ซึ่งการเช็คว่าร่างกายว่ามีวิตามินดีเพียงพอหรือไม่ สามารถทำได้ด้วยการเจาะเลือดเพื่อเช็คดู ซึ่งปริมาณวิตามินดีในร่างกายควรอยู่ในระดับ 50-70 ng/ml
กินอย่างไร ไม่ให้ขาดวิตามินดี
ส่วนการกินวิตามินดี เพื่อการป้องกันภาวะขาดวิตามินในร่างกายมีการศึกษาพบว่าวิตามินดี2จะมีระยะเวลาอยู่ในร่างกายและร่างกายดูดซึมไปใช้ได้น้อยกว่าวิตามินดี3 ดังนั้นจึงแนะนำให้เลือกกินในแบบวิตามินดี3 จึงจะได้ประสิทธิภาพที่มากกว่า
นอกจากนี้เพื่อผลลัพธ์ของภูมิต้านทานที่ดีขึ้นสามารถกินควบคู่ไปกับวิตามินซีได้ด้วยโดยปริมาณวิตามินดีที่แนะนำต่อวันสำหรับคนทั่วไปแบ่งตามอายุก็คือ
0-12 เดือน ปริมาณที่แนะนำต่อวัน 400 IU (10 mcg)
13-70 ปี เดือน ปริมาณที่แนะนำต่อวัน 600 IU (15 mcg)
ส่วนผู้ที่มีปัญหาภาวะขาดวิตามินดี ปริมาณแนะนำต่อวันสำหรับคนทั่วไปแบ่งตามอายุก็คือ
0-6 เดือน ปริมาณที่แนะนำต่อวัน 1000 IU (10 mcg)
7-12 เดือน ปริมาณที่แนะนำต่อวัน 1500 IU (38 mcg)
1-3 ปี ปริมาณที่แนะนำต่อวัน 2500 IU (63 mcg)
4-8 ปี ปริมาณที่แนะนำต่อวัน 3000 IU (75 mcg)
9-18 ปีขึ้นไป ปริมาณที่แนะนำต่อวัน 4000 IU (100 mcg)
(ข้อมูลจาก : ภาควิชาชีวเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)
ขอบคุณข้อมูลจาก :
bbc.com/thai/international-56651914
xinhuathai.com/high/104251_20200511
xinhuathai.com/inter/157068_20201130
ryt9.com/s/prg/1504479
bumrungrad.com/th/health-blog/march-2019/vitamin-d
นพ. ศิต เธียรฐิติ แพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านการแพทย์บูรณาการ
สนับสนุนข้อมูลโดย