เมื่อคำว่า “กะปิน้ำปลา” เป็นเหตุ ในสมัย ร.๔
รู้ไหมว่าในอดีต เจ้าเครื่องปรุงอย่าง กะปิ นั้นสร้างเหตุวุ่นวายใช่ย่อย โดยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 เคยมีประเด็นว่า กะปิน้ำปลา เป็นคำไม่สุภาพ จึงต้องออกกฏให้เรียกกันว่า เยื่อเคย น้ำเคยแทน โดยมีหลักฐานบันทึกไว้ ใน “ประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔ ภาค ๑” โดย ในข้อที่ ๑๑ ได้ระบุถึงการเปลี่ยนชื่อเรียกกะปิน้ำปลาซึ่งเป็นคำแบบโบราณและฟังไม่สุภาพ ให้เปลี่ยนมาเป็นเยื่อเคยน้ำเคย ใจความว่า
“๑๑ ประกาศเรื่องเรียกกะปิน้ำปลา ว่าเยื่อเคยน้ำเคย
(คัดมาจากหมายรับสั่งเดือน ๖ ปีฉลูเบญจศกจุลศักราช ๑๒๑๔ ฉบับที่ ๑)
“ด้วยหลวงสิทธิ์นายเวรมหาดเล็ก รับพระบรมราชโองการใส่เกล้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สั่งว่า คำบุราณราษฎรชาวบ้านเรียกกันว่า กะปิ น้ำปลา คำข้าราชการกราบังคมทูลพระกรุณาว่าน้ำเคยว่างาปิ พระราชดำริห์ทรงเห็นว่า เรียกว่างาปินั้นหาสมกับของดีบังเกิดในเยื่อเคยไม่ แลงาปินั้นชอบแต่จะเรียกว่าเยื่อเคยจึงจะต้องกับของที่บังเกิดจึงควร แต่น้ำเคยนั้น ข้าราชการเรียกว่าน้ำเคยก็ควร ด้วยเปนของบังเกิดแต่เยื่อเคย คำบุราณราษฎรเรียกว่ากันว่ากะปิ น้ำปลา เห็นหาควรกับของที่บังเกิดไม่ ตั้งแต่นี้ไปภายน่าให้ข้าราชการ พระบรมมหาราชวัง พระบวรราชวัง แลเจ้าต่างกรมเจ้ายังไม่ได้ตั้งกรมแลอาณาประชาราษฎรทั้งปวง ให้เรียกว่าเยื่อเคยน้ำเคย ตามพระกระแสพระราชบัญญัติจึงจะควร
ให้กรมพระศัสดี มหาดไทย กลาโหม กรมพระนครบาล หมายให้กราบทูลเจ้าต่างกรม เจ้ายังไม่ได้ตั้งกรม ข้างน่า ข้างใน แลหมายบอกข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายทหารพลเรือน พระบรมหาราชวัง พระบวรราชวัง ให้หมายอำเภอป่าวร้องแก่อาณาประชาราษฎร์ให้รู้จงทั่วกันตามรับสั่ง”
ทว่าหลังจากประกาศฉบับนี้ออกไป ฝ่ายปกครองส่วนท้องถิ่นคงประกาศกันไม่ได้ทั่วถึง ทำให้ประชาชนบางส่วนยังคงใช้คำว่า กะปิน้ำปลา ตามเดิม แทนที่จะใช้คำว่าเยื่อเคย น้ำเคย ตามที่ประกาศ ทำให้เหล่ามิจฉาชีพ (สมัยนั้นใช้คำว่า คนพาล) ไปอ้างตัวเองเป็นนายอำเภอแล้วหลอกใช้อำนาจข่มขู่รีดเอาเงินกับประชาชน กลายเป็นเหตุให้มีประกาศใหม่อีกฉบับในปีถัดมา เพื่อให้ชาวบ้านทั่วไปสามารถกลับมาใช้คำว่า กะปิ น้ำปลา ได้ตามเดิม แต่ข้าราชบริพารเวลากราบบังคมทูลใช้คำว่า เยื่อเคย น้ำเคย ตามประกาศแรก โดยเนื้อหาของประกาศฉบับนี้กล่าวไว้ว่า
“๑๒ ประกาศเรื่องเรียกกะปิน้ำปลา ว่าเยื่อเคยน้ำเคย
(คัดมาจากหมายรับสั่งปีฉลูเบญจศกศักราช๑๒๑๔) ในเรื่องเดียวกัน ความว่า
“ด้วยหลวงนายสิทธิ์มหาดเล็ก รับบรมราชโองการใส่เกล้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯสั่งว่า ซึ่งมีหมายไปแต่ก่อนให้นายอำเภอป่าวร้องอาณาประชาราษฎร์แต่ในจังหวัดกรุงเทพฯ ให้เรียกกะปิว่าเยื่อเคย ให้เรียกน้ำปลาว่าน้ำเคย นายอำเภอป่าวร้องราษฎรแต่ในจังหวัดพระนครก็หารู้ทั่วกันไม่ ราษฎรก็เรียกกะปิน้ำปลาเสมออยู่ตามคำบุราณเดิม คนที่เปนพาลแอบอ้างว่าเปนนายอำเภอเที่ยวข่มเหงข่มขู่ลงเอาเงินกับอาณาประชาราษฎรชุกชุมเปนหลายราย ตั้งแต่นี้สืบไปภายน่าให้อาณาประชาราษฎรเรียกกะปิน้ำปลาตามคำบุราณแต่เดิม แต่ข้าทูลลอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยกราบบังคมทูลพระกรุณานั้น ให้กราบทูลพระกรุณาว่า เยื่อเคย น้ำเคย ตามหมายประกาศมาครั้งก่อน และให้มหาดไทย กลาโหม กรมพระศัสดี หมายบอกให้นายอำเภอป่าวร้องราษฎรให้รู้จงทั่วกันตามรับสั่ง”
เอกสารอ้างอิง
ประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔ ภาค ๑ ข้อ ๑๑ และ ๑๒ โดยโครงการห้องสมุดดิจิทัลวชิรญาณ
กะปิคั่ว กับ พระพุทธเจ้าหลวง
ฉันอ่านเจอในหนังสือกับข้าวเจ้านาย ที่เล่าถึงพระกระยาหารโปรดของเจ้านายแต่ละพระองค์ มีความตอนหนึ่งที่ได้กล่าวถึง พระพุทธเจ้าหลวง ครั้งเสด็จประพาสยุโรป แล้วทรงพระบรรทมมิหลับด้วยความหิว ด้วยทรงนึกถึงพระกระยาหารโปรดนานา ซึ่งหนึ่งในนั้น มี “กะปิคั่ว” ระบุอยู่ด้วย โดยพระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องบันทึกความหิวนี้เอาไว้ โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า
“… ลงมือชักม่านดับไฟพยายามจะหลับ ทำไมมันจึงนึกต่อไปไม่รู้ว่าเขาว่ากันว่าหิวแล้วกินหวานๆ ยิ่งหิวมาก เขากินขนมเสียก่อนจึงกินเข้าก็มี ในกำลังนึกอยู่นั้นเองเข้ากับแกงเผ็ดโผล่ขึ้นมาในไนยตาที่หลับๆ ประเดี๋ยวไข่เจียวจิ้มน้ำพริก ประเดี๋ยวทอดมันกุ้ง ปลาแห้ง … ดีแต่ ปลาร้าขนมจีนน้ำยาฤน้ำพริกสงสารไม่ยักมาหลอก มีแต่เจ้า กะปิคั่ว มาเมียงอยู่ไกลๆ เห็นจะไม่ได้การ สู้มันไม่ไหว เรียกอ้ายฟ้อน ไปคลำๆ ดูมันมีลูกไม้อะไรอยู่…ให้ไปบอกกุ๊กในเรือหุงเข้าสำหรับกินเวลาเช้าเพราะนึกว่าถ้าหุงเองคงจะทนช้าไม่ไหว … เหลือกะปิน้ำตาลก้นขวด เอามาปนกับมะนาวบีบพริกป่นโรยลงไปหน่อย คลุกเข้ากินกับหมูแฮมแลกับฝรั่งเพลินอิ่มสบายดี คอเหมือนเปิดปากถุง ใส่ลงไปหายพร่องไม่ได้มาตันอยู่ที่น่าอกเช่นขนมปังกับเนื้อเลย …”
เอกสารอ้างอิง
หนังสือ “กับข้าวเจ้านาย” เกร็ดเลือ่องพระกระยาหารโปรด ของพระแผ่นดินและเจ้านายในราชวงศ์ เวนิสา เสนีวงศ์ฯ เรียบเรียง