แกงลาว หรือ แกงเปรอะ แกงยอดนิยมทางภาคอีสาน มีรสชาติอร่อยสไตล์อีสาน เป็นเมนูรวมวัตถุดิบที่ให้คุณค่าทางสารอาหารมากมาย เช่น ใบย่านาง หน่อไม้และผักต่างๆ
แกงลาว มีส่วนผสมของพืชผักสมุนไพรนานาชนิด สรรพคุณหลากหลายอย่าง เช่น น้ำใบย่านาง ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านโรคในร่างกาย หน่อไม้มีเส้นใยอาหารทำให้ช่วยระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นเห็ดฟางและพริกขี้หนูมีวิตามินซีสูง ใบแมงลักมีฤทธิ์ช่วยขับลมในลำไส้ จัดเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยขับลม เพราะมีสมุนไพรหลายชนิด และที่สำคัญน้ำใบย่านางที่มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ เพราะใบย่านางมีฤทธิ์เย็น ช่วยขับสารพิษในร่างกาย มีสารต้านอนุมูลอิสระ
แกงลาว (แกงเปรอะ)
ส่วนผสม แกงลาว
- หน่อไม้ลวกดอง 3 หน่อ
- ยอดฟักทองประมาณ 1 ½ -2 กำ
- ฟักทองหั่นพอคำ ½ ถ้วย
- บวบหั่นพอคำ ½ ถ้วย
- ใบแมงลัก ½ ถ้วย
- ใบย่านาง 2 กำ
- ชะอม ½ ถ้วย
- น้ำปลาร้าต้มสุก 1 ½ ถ้วย
- พริกขี้หนู 5 – 10 เม็ด
- ตะไคร้ 4- 5 ต้น
- ข้าวเบือ (ข้าวเบือ คือข้าวเหนียวซาวน้ำแล้วเอามาตำ) 1 ½ ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
- บุบหน่อไม่พอแตก หั่นเป็นท่อนแล้วต้มกับน้ำทิ้ง 2 ครั้ง
- เตรียมข้าวเบือโดยเอาข้าวเหนียวไปแช่น้ำแล้วตำให้ละเอียด
- ขยี้ ใบย่านางหรือโขลกผสมกับน้ำแล้วกรองใช้แต่น้ำ
- โขลกตะไคร้ พริกขี้หนู และหอมแดงเข้าด้วยกัน
- ต้มน้ำใบย่านาง ใส่ข้าวเบื่อลงไป ตามด้วยพริกขี้หนูและหอมแดงที่โขลกรวมกันไว้รอจนเดือด
- ใส่หน่อไม้ ใส่ผักลงไป โดยเริ่มจากผักที่สุกยากก่อน
- ปรุงรสด้วยน้ำปลาร้า และน้ำปลา
สรรพคุณของสมุนไพรต่างๆใน แกงลาว
แกงลาว มากด้วยสมุนไพร พื้นบ้านนานาชนิด มาดูกันค่ะ ว่าสมุนไพรแต่ละชนิดมีสรรพคุณอย่างไรบ้าง
หน่อไม้ดอง
ลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ป้องกันอาการท้องผูก ช่วยย่อยอาหาร เป็นสรรพคุณที่เห็นผลมาก เพราะหน่อไม้เป็นอาหารที่ให้เส้นใยสูงจึงช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ เมื่อหน่อไม้ผ่านการย่อยร่างกายจะดูดซึมสารอหารเข้าสู่กระแสเลือด ส่วนกากอาหารที่เหลือหรือสารพิษต่างๆ เช่น ยาฆ่าแมลงหรือโลหะหนักจะไปรวมกันที่ลำไส้ใหญ่ แต่ถ้ามีกากใยอาหารมากๆ กากใยอาหารเหล่านี้จะช่วยดูดน้ำและเพิ่มปริมาณ ทำให้กากอาหารมีน้ำหนักมากจะเคลื่อนออกสู่โลกภายนอกได้เร็ว กากใยอาหารจึงช่วยลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ แก้กระหาย ขับปัสสาวะ ละลายเสมหะ แก้ไอ บำรุงกำลังแก้อาการร้อนต่างๆ ได้ดี เพราะมีฤทธิ์เย็นเช่นเดียวกับเห็ด ขับพิษใต้ผิวหนัง ขับผื่นหัดรวมถึงผื่นชนิดอื่นๆ เพียงดื่มน้ำแกงที่ได้จากการต้มหน่อไม้ร่วมกับปลาตะเพียน แก้โรคบิดเรื้อรังได้
นอกจากหน่อไม้สดจะมีคุณค่าทางอาหารสูงแล้ว ตัวหน่อไม้ดองเองแม้จะไม่มีคุณค่าทางอาหาร แต่ยังมีคุณค่าแฝงอยู่อีกคือ จะมีแบคทีเรียในหน่อไม้ดองที่ชื่อ คลอสทริเดีย เป็นแบคทีเรียที่ปนอยู่ในดิน เจริญเติบโตได้ดีในสภาวะไร้ออกซิเจน เช่น ในอาหารจำพวกของหมักดองทั้งหลายและรวมทั้งอาหารกระป๋องที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการทำลายแบคทีเรียอย่างถูกวิธี แบคทีเรียชนิดนี้มีพิษแต่มันก็มีประโยชน์ ซึ่งสำนักงานอาหารและยา หรือ FDA ของสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้นำแบคทีเรียนี้ไปผ่านกระบวนการแยกเอาสารพิษออกแล้วทำให้เจือจาง เพื่อนำไปใช้ในการบำบัดรักษาโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อ โดยตั้งชื่อใหม่ว่า โบท็อก (Botox) (ซึ่งโบท็อกก็คือสารหน้าเด้งที่พวกดาราทั้งหลายไปฉีดเพื่อลดรอยเหี่ยวและย่นนั้นล่ะ)
ยอดฟักทอง
มีสารอาหารสูงไม่แพ้ผลเลย มีสารอาหารเด่นๆเหมือนกัน แต่มีวิตามินเอสูงกว่าผลเสียอีก มีสารพิเศษคือสารคิวเคอร์บิติน (cucurbitin) มีสรรพคุณช่วยถ่ายพยาธิ มีสารเปปโนไซด์ (pepnoside) กรดคิวเคอร์บิก (cucurbic) คล้ายแตงกวาที่ช่วยทำให้ร่างกายเย็นลง มีกรดเอลลาจิก (ellagic) ช่วยป้องกันมะเร็งโดยตรง เพราะทำหน้าที่หยุดการทำงานของสารก่อมะเร็งทุกชนิด
ผลฟักทอง
เป็นผักที่มีสารอาหารจำเป็นต่อร่างกายสูงมาก นับตั้งแต่สารเบต้าแคโรทีนมาในรูปผักสีเหลืองคาร์โบไฮเดรต โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 ไนอะซิน วิตามินซี ให้พลังงานต่ำ สรรพคุณในการรักษาบำรุงร่างกาย ดังนี้
- ลดน้ำตาลในกระแสเลือด น้ำในเนื้อฟักทอง เป็นน้ำตาลชนิดโพลีแซคคาไรด์ที่ตรึงกับโปรตีนในเนื้อฟักทอง มีฤทธิ์ในการเพิ่มระดับอินซูลินในเซรั่มของเซลล์ มีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือด เพิ่มการทนต่อกลูโคสได้มากขึ้น
- บำรุงผิวพรรณ เนื่องด้วยเอนไซม์ในเนื้อฟักทองสด สามารถซ่อมแซมเซลล์ผิวพรรณที่สึกหรอได้ดี มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินซีที่จำเป็นต่อผิวพรรณ
- บำรุงร่างกาย บำรุงสายตาเพราะมีวิตามินเอสูงมาก แก้ไอกรน บำรุงน้ำนม ช่วยทำให้มีน้ำนมในแม่ลูกอ่อนมากขึ้น แก้อาการปวดท้องเนื่องจากโรคกระเพาะอาหาร แก้และป้องกันโรคเบาหวาน บรรเทาอาการหอบหืด
บวบเหลี่ยม
ขับน้ำนม มี ธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นธาตุที่สำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง มีสรรพคุณช่วยบำรุงน้ำนม ช่วยขับน้ำนมให้แม่ลูกอ่อนได้ดี โดยกินเป็นแกงเลียงใส่บวบ หรือผัดบวบก็ได้ บำรุงกระดูก นอกจากธาตุเหล็กแล้ว ในบวบเหลี่ยมยังมีแคลเซียม สารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก เหมาะกับคุณแม่ลูกอ่อนและเด็กเล็กที่ต้องการธาตุเหล็กและแคลเซียมช่วยในการเจริญเติบโต บำรุงสมอ ในบวบมีแมกนีเซียมและสังกะสี สารอาหารที่ช่วยในการบำรุงประสาทและสมอง มีส่วนช่วยให้สมองโปร่งใส แค่กินบวบเท่านั้นเอง ป้องกันมะเร็ง ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ ประธานคณะกรรมการสาธารณสุข สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เผยว่า บวบเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีฤทธิ์เป็นยาระบาย จึงสามารถช่วยต้านมะเร็งได้พอ ๆ กับกล้วยน้ำว้า โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ส่วนบน
ใบแมงลัก
- ใบแมงลักมีสรรพคุณเป็นยาขับลม ขับเหงื่อ แก้ไอ บรรเทาอาการปวดฟันได้ดี
- สารเบต้าแคโรทีนสูง มีธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 เส้นใยอาหาร และไนอาซีน ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก อีกทั้งยังช่วยดูดซึมของเสียที่อยู่ในไตและยังช่วยกระตุ้นให้ขับออกมาทางปัสสาวะอีกด้วย
- เบต้าแคโรทีนในใบแมงลัก ยังช่วยลดความเสื่อมของเซลล์จากอนุมูลอิสระและดูแลรักษาผิวพรรณให้ผ่องใส
- นอกจากจะให้คุณค่าทางอาหารแล้ว ใบแมงลักยังใช้เป็นยาระบายช่วยย่อยอาหาร แก้จุกเสียดแน่นท้อง กลิ่นของใบแมงลักที่ได้มาจากน้ำมันหอมระเหย จะช่วยทำให้หายใจได้โล่งขณะที่รับประทานด้วย
- นอกจากนี้ยังพบว่าในใบแมงลัก มีเบต้าแคโรทีนซึ่งเป็นวิตามินเอในพืชที่วงการวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจมาก และยังพบความสำคัญในการต้านโรคมะเร็งอีกด้วย
- สำหรับคนที่มักจะเป็นหวัดคัดจมูกบ่อยๆ ลองทานแกงเลียงใส่ใบแมงลัก เพราะนอกจากจะได้คุณค่าจากสมุนไพรที่อยู่ในแกงเลียงแล้ว ยังได้ประโยชน์จากใบสดของแมงลักด้วย ซึ่งจะช่วยทำให้อาการหวัดดีขึ้นค่ะ
ใบย่านาง
ใบย่านาง คือเป็นส่วนที่มีประโยชน์และถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคมากที่สุด เพราะเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น และมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง นอกจากนี้ถูกจัดเอาไว้ในตำราสมุนไพรว่าเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย ซึ่งประโยชน์ของใบย่านางในการรักษาโรคมีดังนี้
- รักษาโรคความดันโลหิตสูง
- ป้องกันและบำบัดการเกิดโรคหัวใจ
- ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งได้
- สำหรับผู้ที่เป็นมะเร็ง หากดื่มน้ำใบย่านางเป็นประจำ จะทำให้ก้อนเนื้อมะเร็งจะฝ่อและเล็กลง
- ป้องกันและรักษาโรคภูมิแพ้ ไอจาม มีน้ำมูกและเสมหะ
- รักษาอาการร้อนแต่ไม่มีเหงื่อ
- รักษาอาการของโรคเบาหวาน โดยไปลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ลดลง
- มีส่วนช่วยอาการปวดตึง ปวดตามกล้ามเนื้อ ปวดชาบริเวณต่าง ๆ
- ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อมาลาเรีย
- รักษาอาการเกร็ง ชัก หรือเป็นตะคริวบ่อย ๆ
- แก้อาการเจ็บเหมือนมีไฟช็อตหรือมีเข็มแทงหรือมีอาการร้อนเหมือนไฟ
- ช่วยแก้อาการเหงือกอักเสบอย่างรุนแรงและเรื้อรัง
- ช่วยรักษาโรคตับอักเสบ รักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ
- ป้องกันการเกิดโรคริดสีดวงทวาร
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคเกาต์
ชะอม
- ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ เนื่องจากมีวิตามินเอสูง
- ยอดชะอมช่วยลดความร้อนในร่างกายได้
- ผักรสมันอย่างชะอมมีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ
- ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันโรคท้องผูก
- รากชะอมนำมาฝนกินช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และช่วยขับลมในลำไส้
- มีส่วนช่วยบำรุงเส้นเอ็น
- ช่วยแก้อาการลิ้นอักเสบเป็นผื่นแดง
ตะไคร้
- ใช้เป็นยารักษาโรคหือหอบ แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ และแก้อหิวาตกโรค นอกจากนี้ยังใช้ร่วมกับสมุนไพรอื่น รักษาโรคได้ เช่น บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และขับเหงื่อ
เรื่องน่ารู้อื่นๆ :
ข้อมูลอ้างอิงจาก ข่าวสด