🥔 เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 🥔
คือ ถั่วชนิดหนึ่งที่มีรสชาติที่ หวาน มัน และยังเป็นแหล่งของวิตามินและเกลือแร่ที่ดี เม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบที่ไม่ผสมเกลือนั้นมักจะมีการนำมาใช้ในสูตรอาหารแบบวีแกน รวมถึงอาหารอินเดีย นอกจากนี้มีหลายคนเลือกที่จะรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์คั่วและผสมเกลือเป็นของกินเล่น
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ให้พลังงานเท่าไหร่
เม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นแหล่งพลังงานสูง ในขนาด 100 กรัม ประกอบด้วย พลังงาน 553 กิโลแคลอรี่ มีไขมัน 43.85 กรัม ถือว่า มีปริมาณครึ่งหนึ่งของส่วนประกอบอื่นๆ แต่ไม่ต้องกังวลไปถึงมีปริมาณไขมันมากแต่ก็เป็นไขมันที่ดีคือชนิดไม่อิ่มตัว ทำให้เพิ่มวิตามินอีในอาหารได้ โดยที่วิตามินอีนั้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ดีและส่งเสริมสุขภาพโดยรวมของร่างกาย คอเลสเตอรอลไม่สูง และอุดมไปด้วยวิตามินต่างๆ อีกมากมาย
ประโยชน์ของเม็ดมะม่วงหิมพานต์
- ระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจ
งานวิจัยพบว่า การรับประทานถั่วมาก เช่น เม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ซึ่งอาจเกิดผ่านการลดความดันโลหิตและระดับ cholesterol ชนิดที่ไม่ดีถั่วนั้นเป็นอาหารที่ไม่มี cholesterol ตามธรรมชาติ และมีไขมันชนิดที่ดีต่อหัวใจ เส้นใยอาหารและโปรตีน นอกจากนั้นยังมี arginine ซึ่งช่วยป้องกันเยื่อบุด้านในของผนังเส้นเลือดแดงด้วย วิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ ที่พบในถั่ว เช่น โพแทสเซียม วิตามินอี บี6 และกรดโฟลิกนั้นก็สามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจได้เช่นกัน อีกทั้งยังสามารถช่วยบำรุงเลือดได้ ทองแดงและเหล็กในเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นทำงานร่วมกันในการช่วยให้ร่างกายสร้างและใช้งานเม็ดเลือดแดง ซึ่งจะช่วยให้เส้นเลือด เส้นประสาท ระบบภูมิคุ้มกันและกระดูกแข็งแรงและทำงานเป็นปกติ - การมองเห็น
เราอาจจะเคยได้ยินว่า แครอตนั้นดีต่อดวงตา แต่อาจจะแปลกใจที่พบว่า เม็ดมะม่วงหิมพานต์ก็เช่นกัน โดยในเม็ดมะม่วงหิมพานต์นี้มี lutein และ zeaxanthin ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หากรับประทานสม่ำเสมอในปริมาณที่สูง สารเหล่านี้ช่วยป้องกันการทำลายดวงตาจากแสง (ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการตาบอดในผู้สูงอายุ) และอาจจะช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคต้อกระจกได้ - การควบคุมน้ำหนัก
งานวิจัยหนึ่งพบว่า การรับประทานถั่ว 2 ที่ต่อวันนั้น สามารถช่วยในการต่อสู่กับโรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน และมะเร็งได้ การเปลี่ยนจากการรับประทานไขมันจากสัตว์และโปรตีนมาเป็นไขมันชนิดที่ไม่อิ่มตัวที่พบในเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นเป็นวิธีที่ดีในการควบคุมน้ำหนักและลดไขมันและ cholesterol ที่อยู่ภายในร่างกาย - ต้านโรคเบาหวาน
สารสกัดจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์มีประสิทธิภาพในการต้านโรคเบาหวาน โดยสามารถกระตุ้นให้เกิดการลำเลียงน้ำตาลเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น มีผลควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและป้องกันภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) - ชะลอวัย
ยอดมะม่วงหิมพานต์มีประสิทธิภาพในการต้านสารอนุมูลอิสระสูงมาก มีค่า ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity; ค่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของอาหาร) สูงถึง 7,278 ไมโครโมล ทีอี จึงช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายและชะลอความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของความแก่ได้
การบริโภคเม็ดมะม่วงหิมพานต์อย่างปลอดภัย
เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีสารอาหารหลายชนิด แต่ก็ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม และระมัดระวังในการบริโภคสารปรุงแต่งที่เพิ่มลงไปในผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดด้วย เช่น เกลือ เนย หรือน้ำตาล นอกจากนั้น การสัมผัสกับเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ไม่ผ่านความร้อน หรือการปรุงสุกมาก่อน ยังอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนังได้
ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนรับประทานอาหาร อาหารเสริม หรือสารใดๆ จากเม็ดมะม่วงหิมพานต์เสมอ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค และยังสามารถรับประทานก่อนอาหารไม่เกินครั้งละ 10 เม็ดเพื่อช่วยให้อิ่มง่ายขึ้น หรือรับประทานเป็นขนมได้ประมาณสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อลดการรับประทานขนมอื่นๆ ที่มีส่วนผสมไขมัน นม เนย น้ำตาล แป้ง ที่เยอะเกินไป
ส่วนผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ควรเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษในการบริโภคเม็ดมะม่วงหิมพานต์ โดยเฉพาะบุคคลในกลุ่มต่อไปนี้
- หญิงตั้งครรภ์ หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร
การรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์จากอาหารมีความปลอดภัย แต่ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากเพื่อหวังผลทางการรักษาโรค เนื่องจากไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยที่เพียงพอ - ผู้ที่แพ้ถั่ว หรือสารเพคติน (Pectin)
ผู้ที่แพ้เพคตินซึ่งเป็นสารที่อยู่ในพืช รวมทั้งถั่วและเมล็ดพืชบางชนิด เช่น พิสตาชิโอ อัลมอนด์ ฮาเซลนัท ถั่วลิสง อาจแพ้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ได้เช่นกัน ดังนั้นผู้ที่มีประวัติอาการแพ้ดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานเสมอ - ผู้ป่วยเบาหวาน
เม็ดมะม่วงหิมพานต์อาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้น ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่รับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์ควรหมั่นตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ และแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนบริโภคเสมอ เนื่องจากผู้ป่วยอาจต้องปรับเปลี่ยนการใช้ยารักษา - ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัด
เนื่องจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ดังนั้นผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดควรหยุดรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนวันผ่าตัด
การรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นมีความเชื่อมโยงกับการป้องกันมะเร็ง ช่วยเรื่องสุขภาพของหัวใจ การคุมน้ำหนัก และสามารถนำมารับประทานแทนไขมันและโปรตีนจากสัตว์ได้ดี นอกจากนั้นยังมีรสชาติที่ดีที่ทำให้เป็นของทานเล่นที่เหมาะสมได้
ดังนั้นเม็ดมะม่วงหิมพานต์จึงเป็นอาหารที่ดีและอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญต่อสุขภาพ หากเลือกได้ให้เลือกรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ผ่านกรรมวิธีที่ปรุงสุก สะอาด และระวังเรื่องสารปรุงแต่งต่างๆ ด้วย
ที่มาของข้อมูล
- รศ.พญ.ปรียานุช แย้มวงษ์ (มหาวิทยาลัยมหิดล), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
#ACuisine #เอคูซีน #Recipes
อยากกิน อยากฟิน อยากทำ อย่าลืมติดตาม A Cuisine (เอคูซีน)
📌Website : https://cheewajit.com/healthy-food
📌Line : http://line.me/ti/p/~@goodlifeupdate
📌Instagram : instagram.com/acuisine.th/
📌Pinterest : https://www.pinterest.com/AcuisineTH/