ดุ๊ก - ภาณุเดช วัฒนสุชาติ

การค้นพบชีวิตและสุขที่แท้จริง ดุ๊ก – ภาณุเดช วัฒนสุชาติ

การค้นพบชีวิตและสุขที่แท้จริง ดุ๊ก – ภาณุเดช วัฒนสุชาติ

ช่วงต้นปี คุณ ดุ๊ก – ภาณุเดช วัฒนสุชาติ อุปสมบทที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และบวชเป็นเวลา 30 วัน หลังจากนั้นเราก็ได้เห็นภาพและข้อคิดขณะบวชของเขาในอินสตาแกรมที่แชร์ต่อกันมา

ข้อความเหล่านั้นสะท้อนถึงข้อคิดทางธรรมที่ถ่ายทอดออกมาให้ผู้คนเข้าใจโดยง่าย คุณดุ๊กเล่าว่า การบวชในวัยนี้ทำให้ได้ “บวชใจ” ไปด้วย จึงเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

อีกทั้งความคิดและประสบการณ์ที่สั่งสมมาทั้งชีวิต ทำให้เขาได้ค้นพบความสุขที่แท้จริง

วัยเด็กที่เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ

ผมใกล้ชิดกับครูบาอาจารย์สายวัดป่ามาตั้งแต่เด็กเพราะผู้ใหญ่เป็นญาติโยมใกล้ชิดกับพระอาจารย์สายวัดป่าหลายรูป ตอนเด็ก ๆ ผมได้ไปกราบพระเกจิอาจารย์ที่วัดป่าก็รู้สึกสนุกไปตามประสา เหมือนได้ไปเที่ยวป่า ไปกินผลไม้สมอดองที่ท่านมอบให้ แต่ในขณะเดียวกันพระอาจารย์ก็สอนให้นั่งสมาธิ ท่องพุทโธ ๆ และโชคดีที่พระอาจารย์ท่านเมตตาเป่าหัวให้ อาจเป็นกุศโลบายหรืออะไรก็ตาม แต่ทำให้ผมรู้สึกว่าต้องทำอะไรดี ๆ และรักษาความเป็นคนดีนี้ไว้

โตมาหน่อยผมสังเกตว่า มักมีเพื่อนมาปรึกษาปัญหาต่าง ๆ จึงคิดว่า เราคงจะเป็นคนที่มีความคิดและมีสติพอสมควร แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีสติตลอดเวลา เพราะผมก็ยังเหมือนเด็กทั่วไปที่มีอารมณ์หุนหันพลันแล่น และทำอะไรที่ไม่สมควรเยอะแยะไปหมด แต่พอกลับมาบ้าน คุณพ่อก็มักบอกให้สวดมนต์ ถึงเป็นบทสวดสั้น ๆ แต่ผมก็ได้ทำอยู่เสมอ

อีกเรื่องหนึ่งที่โดดเด่นมาตั้งแต่เด็กคือ ผมชอบงานครีเอต งานสร้างสรรค์ เพราะทำกิจกรรมเยอะมาก ตั้งแต่เรียนลูกเสือที่โรงเรียนจนถึงการจัดกิจกรรมในหมู่บ้านพักสวัสดิการพนักงานบริษัทไทยออยล์ที่ศรีราชา ที่นั่นเป็นเหมือนสังคมหนึ่งที่มีทั้งคนไทยและต่างชาติรวมกัน จึงมีกิจกรรมอยู่เสมอ พอเริ่มโตขึ้นก็เริ่มรวมตัวทำกิจกรรมเอง ตั้งชมรมชื่อ ชมรมเยาวชนสัมพันธ์ เก็บเงินลูกบ้านทุกวันเพื่อเป็นทุนจัดกิจกรรมปาร์ตี้รอบกองไฟ เด็ก ๆ ก็ได้มาแสดงเราก็ได้ดูแลทั้งเรื่องอาหาร ทำฉากการแสดง ซ้อมการแสดง จึงทำงานด้านครีเอทีฟมาตั้งแต่นั้น และสะสมความชอบมาเรื่อย ๆ จนโต

ใจจริงผมรักงานอินทีเรียร์ดีไซน์ ตั้งใจจะเรียนต่อด้านนี้ แต่สุดท้ายเอนทรานซ์ไม่ติด จึงต้องไปเรียนที่รามคำแหงอยู่หนึ่งปี ระหว่างนั้นไปประกวดหนุ่มสาวแพรวแล้วติด 1 ใน 10 จึงได้เครดิตจากตรงนั้นมาถ่ายโฆษณาบ้าง ต่อมาผมก็เข้าเรียนนิเทศศาสตร์สาขาโฆษณาที่ ม.กรุงเทพ มีรุ่นพี่ชวนไปเล่นละครมหาวิทยาลัย และมีรุ่นพี่ที่ทำงานกับอาจารย์เสรี วงษ์มณฑา ชวนไปเล่นละครเวที ผมจึงได้เล่นประกบกับดารานักแสดงดัง ๆ หลายท่าน

เวลานั้นผมมักเห็นแฟนคลับมาตามดารานักแสดงท่านอื่น และผมก็แอบถามชีวิตในวงการจากพี่ ๆ บ้าง จึงรู้สึกว่าไม่อยากเป็นคนดัง และคิดเสมอว่าตัวเองเป็นนักแสดง ไม่ใช่ดารา ในขณะที่เล่นละครเวทีนั้น พี่ต้อ – มารุต สาโรวาท และทีมงานก็เทรนการแสดงผมอย่างดี จนสุดท้ายผมได้รางวัลหน้ากากทองคำจากเรื่อง ขอโทษทีไม่มีนามบัตร

โลกใบเดิมเปลี่ยนไป

หลังจากได้รับรางวัลหน้ากากทองคำ ทางกันตนาก็ติดต่อให้ไปเล่นละคร ผมก็ลองไปเล่นเป็นพระรองที่ร้ายนิด ๆ อยู่เรื่องหนึ่ง แต่ไม่ค่อยมีใครรู้จักเท่าไหร่ ตอนนั้นเรียนอยู่ปี 3 ก็กลัวเรียนหนังสือไม่จบ จึงหยุดรับละคร แต่มีงานอื่น ๆ อยู่บ้าง พอจบปี 4 ก็ไม่เอาเบื้องหน้าละ ผันตัวไปทำงานเบื้องหลัง ฝังตัวอยู่กับโรงละคร ทางกันตนาเรียกกลับไปเล่นละคร ก็ขอแค่บทรับเชิญหรือเล่นเป็นตัวประกอบ เขาก็งง ๆ ว่าทำไม (หัวเราะ)

ผมคิดว่างานทุกงานเป็นเหมือนโรงเรียนของเราให้เราได้เรียนรู้ ได้มีความสุขโดยที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อและยังได้เงินด้วย ผมไม่เคยเอาค่าตัวไปเปรียบเทียบกับเพื่อนในรุ่นเดียวกัน เราก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข รับบทหลากหลาย จนวันหนึ่งจับพลัดจับผลูไปเล่นบท “ชีพ” เรื่อง สุสานคนเป็น ซึ่งเป็นช่วงใกล้กับโฆษณาบัตรไดเนอร์สคลับ ที่มีประโยคติดหูว่า “ทั้งร้านนี้ราคาเท่าไหร่”

ตอนนั้นละครถ่ายไปออกไป ผมไม่รู้ว่ากระแสเป็นอย่างไรบ้าง รู้แค่บทดี สนุก ได้เล่นกับ พี่เหมียว – ชไมพร จตุรภุช และ พี่แก้ว – อภิรดี ภวภูตานนท์ ซึ่งเป็นมืออาชีพและดังมาก ช่วงวันหยุดสงกรานต์ กองถ่ายก็หยุด ผมพักอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ก็เดินลงมาซื้อหนังสือพิมพ์ ซื้อผลไม้เหมือนอย่างที่ทำเป็นประจำ

พอเดินออกมาที่ถนนก็ตกใจมาก รถที่ติดอยู่ตรงเอกมัย ทุกคันหันมามองผม ทุกหน้าต่างของรถเมล์ก็หันมามอง หลายคนชี้มาที่ผมแล้วเรียก “ไอ้ชีพ ๆ” แล้วคนเดินถนนก็หันมามอง ทุกสายตาหันมามองที่ผม

ผมรู้สึกเลยว่า โลกของเรามันหดฟืบลง โลกส่วนตัวหายไปแล้ว ผมไม่รู้จะทำยังไง ก็ยกมือไหว้ขอบคุณทุกคนแล้ววิ่งกลับเข้าอพาร์ตเมนต์ไป เพราะเป็นนักแสดงมาตั้งนานไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น

เมื่อตั้งสติได้จึงติดต่อเพื่อนที่ชวนไปฮ่องกงก่อนหน้านี้ จากนั้นก็รีบจัดการซื้อตั๋วแล้วก็พุ่งไปสนามบินดอนเมือง เมื่อถึงสนามบินผมก็ใช้โทรศัพท์สาธารณะโทร.ไปหาคุณแม่ บอกเพียงว่าอยากขอไปพักสักหน่อย ระหว่างนั้นผมได้ยินเสียงงึมงำรอบตัว พอวางหูโทรศัพท์แล้วหันกลับหลังไปก็เห็นคนประมาณสองสามร้อยคนล้อมตู้โทรศัพท์ ผมก็ทำเหมือนเดิม ยกมือไหว้แล้ววิ่งหนีไป

พอถึงฮ่องกง ผมจึงรู้สึกเป็นอิสระ ได้เดินเล่นตามถนน ร้องเพลงเหมือนเป็นคนบ้า เป็นตัวของตัวเองที่สุด แต่ก็บอกตัวเองว่าเป็นได้แค่ 3 – 4 วันที่อยู่ที่นี่นะ กลับไปก็ทำไม่ได้อีกแล้ว พอกลับมาเมืองไทย ผมก็เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกรอบแบบเป๊ะ และวางโพสิชั่นของตัวเองว่า ต้องให้คนมองเราเป็นนักแสดงให้ได้ แต่ก็ต้องผ่านบททดสอบเยอะทีเดียว

ภาณุเดช วัฒนสุชาติ

บททดสอบของความเป็นคนดัง

ครั้งหนึ่งผมมีความจำเป็นต้องไปที่ห้างเพื่อรอกองถ่ายผมก็เดินยิ้ม อยู่ดี ๆ ก็มีเด็กผู้หญิงสูงเท่าแค่คางเดินเข้ามาเงยหน้าพูดว่า “ยิ้มทำไม ไม่เห็นหล่อเลย” ผมรู้สึกตกใจและไม่พอใจเหมือนกัน เพื่อนที่ไปด้วยก็แซวจนผมเริ่มอารมณ์เสีย พอเดินไปอีกมุมหนึ่ง มีสาวออฟฟิศพูดให้ได้ยินว่า “หยิ่งฉิบหาย” เท่านั้นแหละ ผมโกรธเป็นหมาบ้าเลย ควบคุมสติไม่อยู่แล้ว หันไปด่าเขาด้วยคำพูดที่ไม่เพราะ เพื่อนต้องลากไปสงบสติอารมณ์ในร้านหนังสือ ควบคุมสติอยู่พักหนึ่ง วันนั้นผมรู้ตัวเลยว่าจะเป็นแบบนี้อีกไม่ได้แล้ว

จากนั้นเวลาจะออกไปไหนก็ต้องตั้งสติ ต้องรู้ตัวเสมอว่ากำลังทำอะไร เพื่อนจะชวนไปไหนก็ไม่ไป จนเพื่อนอึดอัดและด้วยความที่เป็นคนเป๊ะ บางทีไปห้าง ได้ยินคนเรียกเราว่า “ไอ้” ผมก็เดินไปสะกิดเตือนเขาว่าพูดไม่น่ารัก หรือมีแฟนคลับโทร.มาที่บ้าน ผมก็คุยกับเขา พอเขาถามบางอย่างแล้วผมตอบตรงไปตรงมา เขาก็เริ่มพูดไม่สุภาพ ผมก็สอนเขาอีก ความที่เป็นคนแบบนี้และหน้าตาดูดุ ก็ทำให้แฟนคลับเราน้อยกว่าคนอื่น

นอกจากนี้ผมก็ไม่ค่อยชอบให้สัมภาษณ์ประเภทที่ว่าให้เผาคนโน้นหรือเล่าเรื่องหลุด ๆ แบบที่สมัยก่อนชอบกัน พี่ ๆ นักข่าวจะรู้ว่า ถ้าต้องการสาระให้มาทางนี้ ฉะนั้นจึงไม่ค่อยมีข่าวภาพลบสักเท่าไหร่ โชคดีที่พี่นักข่าวก็เข้าใจและเราก็เป็นที่รักอยู่พอสมควร ผมมักพูดเรื่องงานศิลปะ งานตกแต่งบ้านที่ชอบ ภาพที่ออกมาจึงเป็นนักแสดงและเป็นอาร์ติสต์ด้วย

หลากหลายงานท้าทายที่ได้ทำ

ระหว่างที่ทำงานในวงการ ผมไม่เคยทิ้งงานด้านศิลปะและอินทีเรียร์ดีไซน์ เงินก้อนแรกที่เก็บได้ก็ไปลงทุนเปิดร้านขายของตกแต่งบ้านกับหุ้นส่วน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ต่อมาจึงหาหุ้นส่วนใหม่ และเปิดร้านใหม่อีกครั้งที่สยามเซ็นเตอร์ อยู่มา 10 ปี ไม่ขาดทุน แต่ก็ไม่ได้กำไร แต่ทำให้เรามีความสุขมาก แล้วก็มีลูกค้าที่เชื่อใจให้แต่งบ้าน ได้ลงหนังสือ คนเห็นเครดิตพวกนี้จนได้ออกหนังสือชื่อ Living in Style by : Bhanudej เป็นหนังสือที่เป็นเครดิตให้ได้ทำรายการ เงาะถอดรูป

ผมพูดเรื่องนี้อยู่บ่อย ๆ เพราะอยากเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่รักอะไรบางอย่าง แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนโดยตรงเพราะคุณสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ยิ่งเดี๋ยวนี้ยิ่งง่ายสามารถเข้าไปเรียนในโลกออนไลน์ได้ แต่ก็ต้องระวังว่าอาจทำให้รู้สึกว่าฉันทำได้ โดยที่พื้นฐานยังไม่แน่นพอ

ช่วงหนึ่งผมพักเรื่องการแสดงแล้วก็ไปเป็นครูใหญ่ในรายการ Academy Fantasia ซีซั่น 2 ตอนแรกคนก็ไม่เชื่อนะ เพราะติดภาพการแสดงที่ร้าย ๆ คนไม่เคยเห็นตัวจริง ทุกคนบอกว่าผมเฟค ทั้งที่ในฐานะครูใหญ่ ผมพยายามหาข้อมูล ความรู้ เพื่อสอนให้เด็ก ๆ จบมาเป็นศิลปินที่มีคุณภาพ มีความรับผิดชอบต่อสังคม แม้จะมีแฟนคลับแค่คนเดียว เขาก็ควรเห็นเราเป็นแบบอย่างที่ดี นี่คือสิ่งที่พยายามปลูกฝังลูกศิษย์ AF2 ทั้งหลาย ทุกวันนี้ก็ภูมิใจที่หลายคนเป็นตัวอย่างที่ดี

ระหว่างถ่ายทำรายการผมไม่รับข่าวสารใด ๆ มีแค่ข้อความจากทีมงานที่ให้แก้ไขเเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราก็พิจารณาไป ตอนจบก็จบด้วยความภูมิใจและความรักที่มีให้กัน แต่พอมาดูฟีดแบ็คภายหลัง ก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ มันก็สอนเราว่า ที่เราเคยคิดว่าเราเป็นคนดี คิดว่าเราทำดี แต่มีคนมองอีกมุม แม้มันไม่จริง แต่เราก็ยอมรับ และได้อีกวิชาหนึ่งมาคือ “วิชาช่างแม่ง” คำนี้เป็นเพียงศัพท์คำหนึ่งที่หมายความว่าไม่ต้องไปแคร์ แค่เรารู้ตัวว่าเราทำอะไรก็พอ

วิชานี้ใช้ได้ทั้งในการดำเนินชีวิตและการแสดง โดยเฉพาะการแสดงละครเวทีที่ The show must go on. พลาดไปแล้วก็ช่างแม่งทันที ถ้าไปยึดตรงนั้นปุ๊บจะลืมบทต่อไป ในชีวิตถ้าใครไม่ชอบก็ไม่ต้องสนใจก็แค่นั้น แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เรากลับมาเรียนรู้และรู้จักตัวเองและทำให้เราลดอัตตาไปโดยอัตโนมัติ

ผมเป็นนักแสดงที่ไม่ใช่เบอร์หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เป็นเบอร์รอง คนรุ่นที่เติบโตมาในยุคที่เราโด่งดังยังคงจำได้ อาจจำชื่อไม่ได้ เรียกชื่อผิด ไปเรียกชื่ออีกคน เราก็ไม่ได้ยึดติดอะไร เพราะรู้ว่าเขาจำเราได้ก็พอแล้ว

ทุกวันนี้ยังแอบรู้สึกว่า ช่วงนี้สบายจัง เพราะคนไม่ค่อยรู้จักและจำเราไม่ได้ สบายกว่าแต่ก่อนเยอะ (หัวเราะ) แต่เวลามีคนมาห้อมล้อม เราก็มีความสุขนะ แสดงว่ามีคนชื่นชมตัวเราและผลงานของเรา แต่บางทีก็เหนื่อยที่ไม่รู้จะตอบแทนเขาอย่างไรให้เขารู้สึกว่ามีความสุขเช่นกัน การที่เห็นเรื่องแบบนี้เสมอ ทำให้ผมได้เข้าใจเรื่องความไม่เที่ยงและมีความสุขอยู่กับปัจจุบัน ถ้าวันนี้เขาจะกรี๊ดเรา เราก็ดีใจ แต่วันข้างหน้าถ้าเขาจะเมินเฉยใส่เรา เราก็ไม่เป็นอะไร

ผมสะสมความคิดแบบนี้มาเรื่อย ๆ จนทำให้รู้สึกว่าเราก็เข้าใจนะ ไม่เห็นต้องบวชเลย จนกระทั่งอายุ 40 ที่ชีวิตเริ่มออกนอกกรอบ

ภาณุเดช วัฒนสุชาติ

ช่วงชีวิตที่คิดบวช

จากที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบที่วางไว้มานาน พออายุ 40 ผมกลับทำสิ่งที่ไม่เข้าท่า ทำเรื่องที่ไม่ดี คือหลุดกรอบปุ๊บก็หลุดไปเลย โชคดีที่มีกัลยาณมิตรให้สติ ว่าบุญกับบาปแยกกันนะ ทำให้ผมกลับมาคิดว่าเราเป็นขนาดนี้เชียวเหรอ และเกิดคำถามว่าบวชจะช่วยไหม จะทำให้เราดีขึ้นหรือเปล่า ช่วยให้เราได้มองตัวเองดีขึ้นไหม เพราะเราผิดหวังกับตัวเองและจะช่วยให้คนอื่นที่เขาผิดหวังกับเรามองเราดีขึ้นไหม แต่อีกใจก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

วันหนึ่งจึงถาม อาร์ต – พลังธรรม กล่อมทองสุข ซึ่งทำงานด้วยกันและเป็นรุ่นน้องที่สนิทกันว่า เคยคิดอยากบวชไหม เขาตอบว่า อยากบวช ผมจึงบอกเขาว่า ถ้าบวชก็บวชเป็นเพื่อนกันน่าจะดี แล้วก็ทิ้งเรื่องนี้ไว้เป็นปี จนวันหนึ่งไปงานบวชของ คุณต้น – ณฐนนท์ ชลลัมพี หุ้นส่วนบริษัทเงาะถอดรูป วันนั้นขณะที่เขาบวชอยู่ในโบสถ์ อาร์ตบอกว่า เขาเริ่มเคลียร์ตัวเองได้แล้ว ถ้าจะบวชก็ต้องบวชเร็ว ๆ นี้ แต่ผมรับละครไว้เรื่องหนึ่ง จึงบอกไปว่า

“อาร์ตจัดการไปก่อนเลย ถ้าพี่บวชได้จะบวช แต่ถ้าไม่ได้ก็แสดงว่าพี่ไม่มีโอกาสได้บวชแล้ว”

ไม่กี่วันผ่านไป อาร์ตโทร.มาบอกว่า ได้วันแล้ว ส่วนวัดที่จะบวชคือ วัดราชบพิธฯ ผมคิดในใจว่าถ้าโชคดีคงได้บวช เพราะเป็นวัดที่เก็บพระบรมราชสรีรังคารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่า การบวชที่วัดนี้สมเด็จพระสังฆราชเป็นพระอุปัชฌาย์เท่านั้นด้วย

ผมรีบไปจัดการเรื่องคิวละคร โดยปรึกษาทางผู้จัด ผู้เขียนบท ปรึกษาว่าจะบวช พี่ ๆ จึงวิเคราะห์ความเป็นไปได้และช่วยขมวดบทให้ตัวละครนี้ตายไป ผมจึงสามารถเคลียร์งานและไปบวชได้

พอจะบวชก็เจองานช้างคือ การท่องบทสวดในวัยขนาดนี้ เมื่อเข้าไปกราบท่านเจ้าคุณก็ได้รับโจทย์มาว่าต้องเป๊ะ ผมฝึกอยู่เป็นเดือน ทั้งฝึกอยู่ที่บ้านและกลับไปฝึกที่วัดโดยมีพระอาจารย์มาดูแล จนท่องได้แม่น ก่อนบวชก็มีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

ถึงวันบวชคือ วันที่ 13 มกราคม 2561 เป็นวันที่ผมปลาบปลื้มใจมาก คุณพ่อคุณแม่ไม่คิดว่าผมจะบวช คุณแม่มาที่งานไม่ไหวก็ปลงผมให้ก่อนล่วงหน้า ที่งานบวชมีคนมาเต็มไปหมด ทั้งที่ผมไม่ได้บอกใครมากนัก งานนี้ผมแทบไม่ต้องทำอะไรเองเลย ผู้จัดช่อง 3 มาร่วมงานกันเยอะมาก โดยมี พี่จิ๋ม – มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช และ แม่หนู –สรวงสุดา ชลลัมพี เป็นแม่งาน และมีน้อง ๆ ที่บริษัทมาช่วยประสานงานให้ทุกอย่าง ทุกคนอยู่ในงานกันจนเห็นเราเป็นพระ

เรียนรู้ชีวิตในขณะบวช

เมื่อบวชเป็นพระแล้ว ผมพยายามตัดทุกอย่างในทางโลก เพราะรู้สึกว่าเราต้องสำรวมให้สมกับที่ทุกคนมายินดีที่เราได้บวช เขามากราบเรา เราก็ต้องเป็นพระที่ไม่มีใครตำหนิได้ ผมมีโอกาสเรียนรู้ธรรมะ จากการที่ได้สนทนาธรรมกับท่านเจ้าคุณทุกเย็น เมื่อเพื่อนมากราบก็ได้มีโอกาสแนะนำเพื่อนในสิ่งที่ได้เรียนรู้มา

บวชได้สักพักผมก็ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่า คือ วัดถ้ำขาม จังหวัดสกลนคร วัดของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เมื่อไปถึงก็ต้องปรับตัวอีกครั้ง เพราะวัดป่ามีข้อวัตรที่ต่างไป ได้สัมผัสและเรียนรู้ชีวิตพระป่าโดยแท้ ฉันอาหารเพียงมื้อเดียว อยู่กุฏิเพียงลำพัง ทำให้ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น เมื่อได้อยู่กับตัวเอง ก็ได้คุยกับตัวเอง และรู้ทันความคิดของตัวเอง

การบวชครั้งนี้ผมยังได้มีโอกาส ไปศึกษาปฎิบัติธรรมยังวัดถ้ำขาม จ.สกลนคร พร้อมกับพระอาร์ตและพระเต้ ที่บวชพร้อมกัน ผมกับอาร์ตเราจำวัดที่นั่นเป็นเวลา 10 วัน วัดถ้ำขามเป็นวัดป่าอยู่บนยอดเขาสูงภายใต้การดูแลของ ครูอาจารย์โจ้ ท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ในวันที่ผมไปที่นั่นมีพระอาจารย์และครูบาประมาณ 15 รูป รวมพระใหม่จากกรุงเทพฯ ทั้ง 3 รูป และยังมีแม่ชี และผู้ปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่นส่วนหนึ่ง ผมได้สัมผัสเรียนรู้วิถีชีวิตพระป่าโดยแท้ ฉันอาหารเพียงมื้อเดียว มีชาวบ้านขึ้นมาใส่บาตรข้าวเหนียวถึงในศาลาในเวลา 8โมงเช้า อาหารที่ฉันจะเน้นหนักไปทางข้าวเหนียว ปลาร้า ปลาแห้ง และกับข้าวพื้นบ้านมากมาย แม้อาหารหลายอย่างจะไม่คุ้นเคยแต่ก็อยู่ท้องได้ทั้งวัน ในวันที่ 3 ได้เห็นการอบบาตรอันเป็นภูมิปัญญาที่มีพระไม่กี่รูปที่จะทำได้ในปัจจุบัน การใช้ฟืนเผาบาตรเหล็กด้วยเทคนิคแบบภูมิปัญญาพระป่า เป็นเวลา 13-15 ชั่วโมง เรียกว่าต้องนั่งเฝ้ากันทั้งคืนถึงตี 3.30 ในรุ่งเช้านั้น สามารถเปลี่ยนเหล็กธรรมดาให้เป็นบาตรสีดำเงามีเกร็ดสะท้อนราวเพชรประดับระยิบระยับ เพิ่มคุณภาพความแข็งแกร่งทนทานไม่เป็นสนิทนานนับร้อยปีอย่างน่าอัศจรรย์ ยังได้หัดทำไม้กวาดเพื่อปัดกวาดใบไม้ในลานวัดด้วยตนเองอีกด้วย และที่สำคัญธรรมชาติที่นั่นสอนให้ได้มีสติในทุกย่างก้าว นอกจากไฟในกุฏิที่จำวัดกันกุฏิละองค์และห่างไกลกันอยู่ในป่าแล้วนั้น ทางเดินที่นั่นไม่มีไฟฟ้าเลย มีเพียงไฟฉายส่องทางที่ต้องเดินผ่าน เราต้องส่องอยางมีสติและละเอียดทั้งด้านบนและด้านล่างก่อนจะก้าวเท้าไปแต่ละก้าว เพื่อไม่ให้ไปเผลอเหยียบสัตว์มีพิษโดยเฉพาะงูที่มีอยู่ชุกชุม การได้อยู่กับตัวเองเวลากวาดลานวัดก็ทำให้ได้คุยกับตัวเองและพิจารณาได้ว่าใบไม้แห้งเหล่านี้ก็เหมือนกิเลสที่ต้องหมั่นสะสางออกไป เพราะมันพร้อมจะเพิ่มพูนขึ้นใหม่เสมอหากเราปล่อยไว้ก็จะยิ่งสะสมจนทวีคูณ เวลาที่ต้องอยู่ในกุฏิองค์เดียวบังคับให้เราอยู่กับตัวเอง รู้ทันความคิดตัวเอง เสียงสัตว์ป่าที่เหยียบใบไม้ดังเหมือนคนเดินไปมา เสียงลมแรงที่ผัดพาใบไม้ กิ่งไม้ร่วงลงบนหลังคา เสียงลมพัดประตูไม้ทำให้ดังเหมือนใครมาเคาะ มีมาตลอดทั้งคืนพร้อมจะทำให้เราคิดมโนเป็นเรื่องน่ากลัวได้ตลอดเวลา เราต้องฝึกที่จะบอกตัวเองให้ตั้งสติ พิจารณา งดมโน ข่มความกลัว ด้วยการสวดมนต์ ภาวนา พุธโธ ในที่สุดการเจริญสติก็สามารถสะกดให้เราชนะตัวเอง 10 วันที่นั่นได้ให้บทเรียนอย่างมากมาย โดยเฉพาะการได้อยู่กับตัวเอง ฟังตัวเอง คุยกับตัวเอง แต่อย่าเข้าข้างตัวเองนะครับ ใช้สติพิจารณาอย่างละเอียด แล้วคุณจะได้ใช้ชีวิตดีๆ อย่างมีสติต่อไป

A post shared by ดุ๊ก ภาณุเดช วัฒนสุชาติ (@duke_bhanudej) on

ขณะที่กวาดลานวัดก็เป็นการอยู่กับตัวเองเช่นกัน เมื่อเห็นใบไม้เต็มพื้นไปหมด เรากวาดทำความสะอาด ผ่านไปสักพักใบไม้ก็ร่วงมาอีก ทำให้นึกโยงไปถึงกิเลส ถ้าเราไม่ขจัดมันออกไป กิเลสใหม่มาอีก มันก็จะถมกันเข้าไป และครูบาอาจารย์ก็สอนเสมอว่า ความสุขไม่ได้อยู่กับเราจีรัง ที่เราคิดว่าทุกข์เยอะจัง ก็เพราะเรานิยมเก็บมันไว้ เราไม่ค่อยขจัดทุกข์ออกไป เมื่ออยู่เพียงลำพังก็ได้พิจารณาเรื่องเหล่านี้มากขึ้น

ในขณะเดียวกันวัดป่ามีสัตว์มีพิษเยอะ กลางคืนมีไฟเพียงในกุฏิ เดินไปไหนต้องใช้ไฟฉาย ธรรมชาติสอนให้เราระมัดระวังทุกย่างก้าว จึงต้องมีสติไปโดยอัตโนมัติ จะตักน้ำอาบก็ต้องดูว่ามีลูกอ๊อดติดมาไหม ผมปฏิบัติเช่นนี้จนครบ 10 วัน และกลับมาจำวัดที่วัดราชบพิธฯจนครบ 30 วัน แต่กลับรู้สึกเป็นเวลาที่ไม่นานเลย

การบวชเมื่ออายุมากมีข้อดีคือ ใจของเราบวชด้วย เมื่อใจบวชก็ได้เห็นความเป็นจริง และทำให้ความคิดเรียงเป็นระบบมากขึ้น จากการที่ได้อยู่กับตัวเอง เมื่อก่อนเราอาจมีความคิดว่าเราดี เราเป๊ะ ซึ่งเรียกว่าเป็นความเหิมเกริมก็ได้ แต่สุดท้ายกลับค้นพบว่า เราต้องควบคุมอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งถ้าทำได้ก็เป็นผลดีกับตัวเอง

เมื่อสึกและกลับมาเป็นมนุษย์ (ผมเรียกอย่างนี้) ก็รู้สึกได้ว่าตัวเองเปลี่ยนไป มีสติมากขึ้น เวลาจะพูดอะไรก็คิดเยอะขึ้นมาก ที่สำคัญคือ ผมสัญญากับครูบาอาจารย์ว่าบวชแล้วจะไม่ให้จบเพียงเท่านั้น เราสึกมาเป็นทิด ซึ่งก็คือผู้ที่เป็นบัณฑิตที่ศึกษาทางธรรม ผมจึงนำประสบการณ์ที่ได้จากการบวชมาเขียนให้คนอ่านเข้าใจง่าย และโพสต์ข้อคิดไว้ในอินสตาแกรม เราเป็นบุคคลสาธารณะมีคนติดตามในโซเชียลประมาณหนึ่ง เขาจะได้รับข้อคิดไปด้วย

แต่แน่นอนว่าไม่มีทางที่ทุกคนจะมองว่าเราดี เพียงแต่เรารู้ตัวว่าเราทำดีอยู่ หรือถ้าเผลอทำอะไรไม่ดีบ้าง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะทำดีได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็ขอให้รู้ตัวเร็วที่สุด แล้วก็พยายามแก้ไขให้ได้มากที่สุด หรือปล่อยวางให้ได้มากที่สุด ทั้งหมดนี้ทำเพื่อตัวเราเอง ฝึกที่ตัวเองก่อน แล้วคนรอบข้างก็จะเห็นดีไปเอง

ค้นพบสุขที่แท้จริง

จริง ๆ ผมมีโอกาสช่วยงานบุญต่าง ๆ เป็นประจำอยู่แล้วการมีอาชีพนักแสดงทำให้ดึงดูดคนมาร่วมมือทำโน่นทำนี่ได้ ผมชอบทำงานศิลปะ ก็ใช้งานศิลปะทำการกุศล ยุคแรก ๆ ก็ชวนเพื่อนนักแสดงมาวาดรูปหารายได้ให้ครูหยุย มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ต่อมาก็ทำให้ศิลปินอาวุโส แล้วก็รวมกันช่วยน้ำท่วม อะไรที่ยื่นมือเข้าไปช่วยได้ก็จะทำ ผมชอบอาชีพออร์แกไนซ์มาตั้งแต่เด็ก ก็จะเป็นเซ็นเตอร์ ใช้คอนเน็กชั่นของผมไปช่วย มีเพื่อน มีรุ่นน้องดัง ๆ ก็ดึงไปช่วยกัน ใช้ประโยชน์จากการเป็นบุคคลสาธารณะมาทำประโยชน์เพื่อสังคม

ความสุขจากเรื่องเหล่านี้เป็นความสุขที่หาซื้อไม่ได้ ล่าสุดก่อนบวช ผมได้วาดรูปไปช่วยในงานหารายได้ให้โรงพยาบาลมหาราชที่โคราช ถ้าบริจาคก็อาจช่วยได้หลักพัน หรือถ้าช่วงนั้นมีเงินหน่อยก็ได้สักหมื่น แต่ผมใช้เงินห้าพันบาท ซื้อเฟรม ซื้อสี เอาเวลาที่มีอยู่วาดรูปและไปร่วมแสดงงาน ปรากฏว่ามีคนมาซื้อรูปในราคาสูงถึงห้าหมื่นต่อรูป สุดท้ายมีคนให้ทั้งหมดสามแสนบาท ก็คุ้มค่ากว่าที่จะเอาเงินไปลง แม้จะเหนื่อยแต่ก็ยินดี

ตอนนี้ผมมีโปรเจ็กต์ในใจที่จะวาดภาพเพื่อนำมาจัดแสดงนิทรรศการหารายได้ช่วยเหลือคนต่อไป นี่คือการทำงานอาร์ตและได้ช่วยคนอื่นด้วย และมีความสุขมากกับการที่ได้ทำให้คนอื่นมีความสุข ได้เห็นรอยยิ้มของพวกเขา ที่เล่ามาเหมือนกับว่าชมตัวเองนะ แต่นี่คือสิ่งที่ทำและกล้าพูด เพราะอยากให้คนที่ทำอะไรดี ๆ กล้าพูดว่าตัวเองทำดีเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ถ้ามีใครมาถามว่าความสุขในชีวิตของผมคืออะไร ผมคงตอบสิ่งที่เป็นรูปธรรม แต่พอบวชแล้ว มีระบบระเบียบในการคิดมากขึ้น ประกอบกับประสบการณ์ที่สะสมมาในชีวิต วันนี้จึงตอบได้ว่า ความสุขที่แท้จริงคือ ความคิดแบบมีสติ เพราะทำให้ผมรับได้ทุกเรื่อง ถ้ามีเรื่องเศร้าเราดึงสติมาได้ก็จบเพียงเท่านั้น เมื่อมีความสุข เราก็รู้ว่าเดี๋ยวความสุขนี้ก็จบไป ความคิดที่มีสติกำกับทำให้ผมมีความสุขได้โดยไม่ได้วิเศษกว่าใคร

ผมเป็นเพียงมนุษย์ที่จัดการกับทุกข์และทำให้ทุกข์น้อยลงได้เท่านั้นเอง

 

คนเราถ้าไม่ฝึกขัดเกลาจิตใจ
ก็จะสะสมความคิด
ที่ทำให้เกิดทุกข์โดยไม่รู้ตัว
ภาณุเดช วัฒนสุชาติ

 

ที่มา : นิตยสาร Secret  ฉบับที่ 234

เรื่อง : เชิญพร คงมา  ภาพ : สรยุทธ พุ่มภักดี, duke_bhanudej

Secret Magazine (Thailand)

 

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.