True story : ทาง ชีวิต ที่เลือกเอง
หาก ชีวิต เปรียบเหมือนกับเรือลําหนึ่ง เรือของผมคงเคยแล่นไปในท้องทะเลอย่างไร้จุดหมายโดยไม่เคยคิดที่จะกลับเข้าฝั่ง เพราะที่นั่นไม่มีใครที่ผมต้องห่วงใยหรือเป็นหลักให้ผมยึดเหนี่ยวได้
0
พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ผมยังเด็กมาก ผมไม่รู้สาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร รู้เพียงว่าหลังจากนั้นครอบครัวของเราก็แตกไปคนละทิศละทาง แม่พาน้องสาวไปอยู่ด้วยที่ไหนสักแห่ง ส่วนผมต้องย้ายมาอยู่บ้านทวดที่ต่างจังหวัด
1
ความเป็นอยู่ที่บ้านทวดถือว่าดีมาก เสียตรงที่ทุกคนในบ้านต้องออกไปทํางานกันหมด ไม่มีใครสักคนมีเวลามากพอมาดูแลหลานชายตัวน้อย ผมอยู่บ้านคนเดียวก็รู้สึกเหงา จึงออกไปเล่นกับเพื่อน เที่ยวยิงนกตกปลากันไปเรื่อย อยากไปไหนก็ไปได้ไม่ต้องขออนุญาตใคร นาน ๆ ทีพ่อกับย่าจึงจะมาเยี่ยมเยียนผมบ้าง
2
ครั้งหนึ่งย่าซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯมาเยี่ยมผมที่บ้านทวด ผมจึงขอตามท่านกลับไปด้วย แต่ท่านไม่ยอม ผมก็ดื้อจะไปให้ได้ เพราะคิดว่าน่าจะมีชีวิตที่ดีกว่าอยู่ต่างจังหวัดแบบนี้ ในที่สุดผมก็หนีออกจากบ้านขึ้นรถไฟเข้ากรุงเทพฯโดยแทบไม่มีเงินติดตัวออกมาเลยด้วยซ้ํา
3
เมื่อมาถึงกรุงเทพฯผมนั่งรถเมล์ตรงไปที่บ้านย่าทันที โชคดีที่ผมเคยเข้ากรุงเทพฯกับทวดหลายครั้งจึงพอจําทางไปบ้านย่าได้ เมื่อมาถึงบ้านย่า ท่านตกใจมากที่เห็นหลานชายวัย 8 ขวบอยู่ที่หน้าบ้าน ท่านคงรู้ว่าผมไม่อยากอยู่ที่ต่างจังหวัดแล้ว ท่านจึงรับเลี้ยงดูและส่งเสียให้ผมเรียนอย่างดี
4
ผมรู้ว่าย่ารักผม แต่ท่านก็มีงานที่ต้องทําเยอะมาก จึงไม่ค่อยมีเวลาดูแลผมอย่างใกล้ชิด เมื่อธุรกิจของท่านขยายไปอีกจังหวัด ท่านก็ต้องเดินทางบ่อยขึ้น เวลาที่ได้เจอและพูดคุยกับท่านก็น้อยลงไปอีก ชีวิตที่กรุงเทพฯจึงไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไหร่คือ ไม่มีใครสนใจดูแล วัน ๆ ผมจึงอยู่แต่กับเพื่อน อยากไปไหนก็ไปอยากทําอะไรก็ทําเพราะคิดในใจเสมอว่า
5
ไหน ๆ ก็ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว ขอเลือกทางเดินชีวิตของตัวเองแล้วกัน
6
ต่อมาไม่นานพ่อก็เสียชีวิต แม้ไม่ได้เจอพ่อบ่อยนัก แต่การสูญเสียครั้งนี้กลับทําให้ผมเสียใจอย่างหนักและรู้สึกเคว้งคว้างเหมือนกับว่าตัวเองไม่เหลือใครอีกแล้ว ช่วงหลังมานี้ผมจึงเริ่มติดเพื่อนมากขึ้นไปอีก หลังเลิกเรียนก็ตามเพื่อนไปทํางานเป็นกระเป๋ารถเมล์บ้าง ไปเที่ยวที่โน่นที่นี่บ้างตามเรื่อง
7
ในช่วงที่ผมกําลังติดเพื่อนนี่เอง ชีวิตของผมก็ต้องพบจุดหักเหครั้งใหญ่
8
ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้น ม. 2 ผมคบกับกลุ่มเพื่อนที่ค่อนข้างเกเร จนวันหนึ่งก็มีเรื่องตีกันกับนักเรียนโรงเรียนอื่น ผมโดนโทษร้ายแรงถึงขั้นถูกเชิญให้ออกจากโรงเรียน ในใจรู้สึกผิดกับย่ามากและรู้ว่าท่านคงเสียใจมากเช่นกัน แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทําอย่างไรต่อไป จนเมื่อออกมาอยู่บ้านได้สักพักจึงเริ่มออกหางานทํา
9
ผมทํางานทุกอย่างตั้งแต่ขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เป็นกระเป๋ารถเมล์ เป็นคนงานก่อสร้าง ใครจ้างไปทํางานที่ไหนถ้าคิดว่าดีผมก็ไป ถึงต้องย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดก็ไป นอนกลางดินกินกลางทรายก็ไม่หวั่น ถือว่าไปหาประสบการณ์ชีวิต ส่วนเงินที่ได้มาก็เอาไปกินเหล้าหรือเที่ยวเล่นเพื่อหาความสุขใส่ตัว
ผมหางานทําเรื่อยเปื่อยอย่างนี้สองสามปีจึงกลับเข้ากรุงเทพฯมาเรียนกศน.ให้ได้วุฒิ ม. 3 เพื่อจะหางานเป็นหลักเป็นแหล่ง ช่วงนั้นเองผมมีโอกาสได้ไปดูคนงานติดตั้งไฟประดับที่สนามหลวง แล้วเกิดสนใจ จึงมานั่งดูเขาทํางานกันทุกวัน จนหัวหน้างานที่คุมงานคงสังเกตเห็นผมจึงชวนให้ไปทํางานด้วยกัน
11
ผมตอบตกลงทันทีเพราะอยากหางานทําอยู่แล้ว และแม้ไม่เคยทํางานอย่างนี้มาก่อน แต่ผมก็ใช้วิธีครูพักลักจําจนทํางานเป็นอย่างรวดเร็ว หลังจากทํางานนี้ได้สักพักก็ย้ายไปทํางานที่ดีขึ้นแถวชานเมือง ตอนนั้นได้เป็นผู้ช่วยช่าง ซึ่งได้เงินเดือนดี มีที่พักให้ แต่ทําไปได้ไม่นานก็รู้สึกเบื่อและลาออกมาเสียอย่างนั้น
12
ผมกลับมากรุงเทพฯอีกครั้ง พอลงรถไฟมาก็เห็นว่ามีเหตุชุมนุมทางการเมือง จึงลองเข้าไปสังเกตการณ์ดูทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ยึดถืออุดมการณ์ทางการเมืองฝ่ายใด ผมอยู่ในนั้นสองสามวัน เห็นเขามีหน่วยทําอาหารจึงอาสาเข้าไปช่วย แล้วก็จับพลัดจับผลูได้เป็นพ่อครัวในที่สุด การทําหน้าที่นี้ทําให้ผมรู้จักคนมากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ต่อมาเราคบหาดูใจกันและตกลงปลงใจใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภรรยา
13
หลังจากการชุมนุมสิ้นสุดลง ผมกับภรรยาก็ออกมาหางานรับจ้างทําไปเรื่อย แต่รายได้ไม่สู้ดีนัก ภรรยาจึงชวนผมกลับไปอยู่บ้านของเธอที่ต่างจังหวัดเพื่อลงหลักปักฐาน และสร้างครอบครัวให้สมบูรณ์เหมือนคนอื่นเขาเสียที ตัวผมเองในตอนนั้นไม่มีใครแล้ว ย่ากับทวดก็เสียแล้ว ผมจึงยอมไปอยู่กับครอบครัวของเธอและลงมือทําไร่ทําสวนบนที่ดินของบ้านภรรยา
14
ต่อมาเรามีลูกชายด้วยกัน 2 คน สภาพความเป็นอยู่ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่กลับต้องมาเจอเรื่องลําบากใจไม่น้อย เพราะเมื่อต้องมาอาศัยอยู่กับครอบครัวของภรรยา อิสรภาพที่เคยมีก็ขาดหายไป ทั้งยังมีการกระทบกระทั่งกับครอบครัวของภรรยาจนทําให้ผมอึดอัดใจหลายครั้งหลายครา
15
ผมปรึกษาภรรยาว่า อยากจะแยกครอบครัวมาอยู่กันเองเสียที จึงตัดสินใจมาตายเอาดาบหน้าที่กรุงเทพฯอีกครั้งโดยมีเงินติดตัวเพียงน้อยนิดและหอบหิ้วลูกชายตัวน้อยทั้งสองมาด้วย ผมตั้งใจว่าจะมารับจ้างทํางานกับผู้รับเหมาที่เคยทํางานด้วยมาก่อน แต่กลับได้ข่าวว่าเขาเลิกทําไปแล้ว ผมไม่มีที่ไปจึงเดินเตร็ดเตร่ไปมาแถวนั้นจนได้พบกับคนรู้จักกันเมื่อครั้งมีการชุมนุม
16
“ถ้ายังไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน มานอนที่นี่ก่อนได้นะพี่”
17
เขาพาผมและภรรยามาที่ใต้สะพานข้ามแม่น้ําแห่งหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าที่แห่งนี้จะเป็นที่อยู่อาศัยของหลายครอบครัว ผมไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรที่จะอยู่ในที่แบบนี้ เพราะชีวิตเคยนอนกลางดินกินกลางทรายที่ลําบากกว่านี้มาแล้ว ส่วนภรรยาก็บอกว่าอยู่ได้ จะห่วงก็แต่ลูกทั้งสองเท่านั้น แต่จะให้ไปหาบ้านเช่า เราก็ไม่มีเงินมากพอ
18
ผมและภรรยาตกลงตั้งหลักปักฐานกันที่ใต้สะพานแห่งนี้ไปก่อน จากนั้นผมก็เริ่มออกหางานทําและได้งานเป็นพนักงานขับรถที่องค์กรแห่งหนึ่ง ได้เงินเดือนพออยู่พอกิน ส่วนภรรยาผมให้อยู่เลี้ยงลูกอย่างเดียว เพราะลูกทั้งสองยังเล็กมากต้องมีคนดูแล ผมรู้ว่าไม่สามารถทําให้ครอบครัวสุขสบายได้อย่างที่ควรจะเป็น แต่ด้วยสถานการณ์บังคับจึงต้องต่อสู้ไปด้วยกัน
19
ชีวิตใต้สะพานไม่มีความสะดวกสบายเหมือนกับบ้าน จะอาบน้ํา ล้างจาน ก็ต้องใช้น้ําในแม่น้ํา ส่วนห้องน้ําต้องอาศัยไปเข้าตามสถานที่แถวนั้น วันดีคืนดีก็มีเทศกิจมาไล่ หรือตอนที่มีเหตุการณ์น้ําท่วมใหญ่ที่กรุงเทพฯ ครอบครัวของเราไม่มีที่พักพิงที่อื่น ต้องทนอาศัยอยู่ที่เดิม ช่วงกลางวันน้ําท่วมสูงเราต้องเก็บของไปไว้ที่อื่น พอตกกลางคืนน้ําลงก็ทําความสะอาดแล้วนอนกันที่เดิม ทําอยู่อย่างนี้นานนับเดือนจนปรับตัวได้
20
ผมและภรรยาไม่ได้คิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นความลําบากมากมายนัก แต่ก็สงสารลูกที่ไม่ได้อยู่สุขสบายเหมือนคนอื่น โดยเฉพาะเวลาที่ฝนตกหนักที่พักพิงของเราไม่อาจกันน้ํากันฝนได้ เพราะเป็นที่เปิดโล่งทั้งสองด้าน น้ําฝนจะสาดเข้ามายังที่นอนจนเปียกชุ่ม ผมและภรรยาต้องอุ้มลูกทั้งสองเข้าไปหลบในที่ที่ฝนสาดไม่ถึง แล้วกางผ้าใบกันฝนไว้เพื่อให้ลูกนอนหลับต่อไปได้ ส่วนเราสองคนก็ยืนเฝ้าลูกอยู่อย่างนั้น
ในใจของผมคิดอยากมีบ้านเป็นของตัวเองเสมอ แต่ทําอย่างไรได้ ในเมื่อรายได้ที่มีที่มีใช้จ่ายไปแต่ละวันไม่เหลือเงินเก็บมากพอจะไปซื้อบ้าน หรือแม้แต่ค่าเช่าบ้านในแต่ละเดือนยังมีไม่พอเลยแล้วผมจะดิ้นรนให้ชีวิตมันดีกว่านี้ได้อย่างไร
22
ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ผมและครอบครัวไม่เคยบอกใคร ผมไม่ได้สนใจว่าใครจะว่าอย่างไร แต่ก็รู้ว่าเมื่อมีคนรู้ก็ต้องมีคนที่ไม่เข้าใจและคงมีคําถามมากมาย แต่จะว่าไปการใช้ชีวิตใต้สะพานทําให้ผมได้เรียนรู้ชีวิตที่หลากหลาย ใครจะรู้ว่าทุกครอบครัวที่อยู่รวมกันในที่แห่งนี้ไม่ใช่คนไร้ญาติขาดมิตร ทุกคนมีบ้าน แต่มีเหตุผลส่วนตัวที่เลือกจะไม่อยู่บ้านของตัวเอง หลายคนมีงานมีการทําไม่ได้เป็น “คนเร่ร่อน” อย่างที่หลายคนเข้าใจ
23
ท่ามกลางเมืองใหญ่ที่ต่างคนต่างไม่มีใครสนใจกัน ก็มีใต้สะพานแห่งนี้นี่แหละที่ยังเป็นสังคมแบบพึ่งพาอาศัยกัน ทั้ง ๆ ที่แต่ละคนก็ไม่ได้เป็นญาติ ไม่ได้เป็นเพื่อนหรือคนรู้จักกันมาก่อน สิ่งนี้ทําให้คนที่คิดว่าอยู่ตัวคนเดียวมาตลอดอย่างผมรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด
24
ผมอาศัยอยู่ที่นี่ได้สองปี วันหนึ่งก็มีเจ้าหน้าที่มาแจ้งขอพื้นที่คืนเพื่อก่อสร้างประตูน้ําใต้สะพาน โดยให้เวลาหนึ่งปีในการย้ายออก แม้ในใจจะคัดค้านแต่ผมรู้ว่าถึงเวลาที่ต้องหาที่อยู่สร้างครอบครัวเป็นหลักเป็นแหล่งแล้ว ผมเริ่มหาบ้านเช่าในละแวกเดิม เพราะอยู่ใกล้กับที่ทํางานของผมและโรงเรียนของลูกและเริ่มเก็บเงินเพื่อเป็นค่ามัดจําจํานวนหลายพันบาท
25
สี่ปีที่ผ่านมานี้ครอบครัวของเราย้ายมาอยู่ที่ห้องเช่าเล็ก ๆ เราได้มีพื้นที่ส่วนตัวของครอบครัวและมีชีวิตที่สะดวกสบายกว่าเดิม แต่ก็ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นในแต่ละเดือน ภรรยาก็ต้องออกไปทํางานเพื่อหารายได้มาเพิ่มให้พอกับรายจ่าย ส่วนตัวผมยังคงทํางานเป็นพนักงานขับรถซึ่งได้เงินเดือนพอสมควร และเป็นงานที่ผมชอบเพราะเป็นงานอิสระไม่จําเจ
26
เมื่อผมมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ผมก็เริ่มออกไปช่วยทํางานเพื่อสังคม ไปช่วยหน่วยงานต่าง ๆ ดูแลและพูดคุยกับคนไร้บ้านที่เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เพราะผมรู้ว่าความเป็นอยู่ของพวกเขาเป็นอย่างไร และเขาต้องการอะไรบ้าง ทุกครั้งที่เห็นพวกเขาผมจะเข้าไปทักทาย บางครั้งก็ช่วยหางานให้ เพราะผมเชื่อว่า ถ้าเขามีงานทํา เขาจะดูแลตัวเองได้
27
ที่ผ่านมาภรรยาและลูกเติมเต็มให้ชีวิตของผมมีความสุข พวกเขาทําให้ผมรู้สึกว่ามีครอบครัวอยู่เคียงข้าง ผมอยากดูแลพวกเขาต่อไปให้นานเท่านาน แต่อาชีพที่ผมทําก็มีความเสี่ยงอยู่มาก เพราะชีวิตหลังพวงมาลัยไม่มีอะไรที่แน่นอน ตอนนี้ผมจึงพยายามปลูกฝังลูกชายคนโตให้เขารักและดูแลครอบครัวอย่างที่ผมดูแลมาตลอด
28
“พ่อไม่รู้หรอกนะว่าจะอยู่กับพวกเอ็งได้นานแค่ไหน ถ้าพ่อเป็นอะไรไป เอ็งต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว ดูแลแม่ดูแลน้องให้ดี และผมก็หวังเพียงว่าลูกทั้งสองจะมีอนาคตที่ดีกว่าที่ผมเคยเป็นมา ทุกวันนี้ชีวิตของผมมีเป้าหมาย มีกําลังใจจากครอบครัว ถ้าไม่ต้องเผชิญเรื่องราวทุกอย่างที่ผ่านมา ผมคงไม่ได้ฉุกคิดว่าชีวิตของตัวเองมีความหมายเพียงใด ทําหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวนะ”
29
ผมไม่รู้ว่าชีวิตในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ผมตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด ส่งเสียให้เขาเรียนสูงที่สุดเท่าที่ผมจะมีกําลัง เพราะผมไม่มีทุนชีวิตอื่น ๆ ให้เขา ผมภูมิใจที่ลูกทั้งสองเป็นเด็กที่แข็งแกร่งไม่กลัวความลําบาก และผมก็หวังเพียงว่าลูกทั้งสองจะมีอนาคตที่ดีกว่าที่ผมเคยเป็นมา
30
ทุกวันนี้ชีวิตของผมมีเป้าหมาย มีกําลังใจจากครอบครัว ถ้าไม่ต้องเผชิญเรื่องราวทุกอย่างที่ผ่านมา ผมคงไม่ได้ฉุกคิดว่าชีวิตของตัวเองมีความหมายเพียงใด
31
แง่คิดจากพระมหาวีระพันธ์ ชุติปัญโญ (นามปากกาชุติปัญโญ) วัดป่าปาลเดชธรรม อําเภอสามชัย จังหวัดกาฬสินธุ์
32
ความสุขของการมีชีวิตอยู่ไม่อาจวัดแค่ว่าเรามีวัตถุสิ่งของมากน้อยเพียงใด แต่ขึ้นอยู่ที่เรารู้สึกอย่างไรกับชีวิตของตัวเองเป็นสําคัญ และหากจะสัมผัสถึงความงามของความสุขที่ซ่อนอยู่ภายใน สิ่งหนึ่งที่เราต้องเรียนรู้เพื่อจะเข้าใจนั่นก็คือ “ความทุกข์หรืออุปสรรคที่มี”
33
เพราะชีวิตจะแข็งแกร่งได้เราต้องรู้จักตัวเองและเรื่องราวรอบข้างตามความเป็นจริงอย่างผู้เข้าใจ ไม่ใช่ผู้หลบเลี่ยงแล้วเบี่ยงตัวออกอย่างผู้ขลาดเขลา แต่เราต้องผ่านการเรียนรู้และเพียรสู้กับปัญหานั้น ๆ อย่างซื่อตรง เพื่อให้ปัญญาเข้ามาตอบแก้ให้หายสงสัย จนเกิดเป็นความภูมิใจที่จะมีชีวิตอยู่ในแบบฉบับของเราเอง
34
เมื่อใดที่ชีวิตเจอปัญหาหรือเรื่องร้าย ๆ ที่คนอื่นมองว่าน่ากลัว นั่นเท่ากับเป็นโอกาสในการบ่มเพาะปัญญาที่จะเข้มแข็งและทําให้เราเติบใหญ่มากกว่าใครอื่น โดยมีใจเป็นผู้คอยน้อมรับปัญญาใหม่ที่จะเกิดตามมาจากความยากลําบากที่เราได้เรียนรู้มัน
35
อย่าท้อและสิ้นหวังเมื่อชีวิตต้องเผชิญกับสิ่งที่เราไม่คาดฝัน แต่จงใช้พลังแห่งใจที่จะบอกรักตัวเองอย่างรู้ค่าทั้งหมดที่มีอยู่ แล้วน้อมชีวิตเข้าหาเพื่อเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับอุปสรรคอย่างคนที่พร้อมจะนําบทเรียนมาทําให้ตัวเราเติบใหญ่ในครั้งใหม่ที่ดีกว่าเดิม แล้วคุณค่าแห่งชีวิตที่ช่วยสร้างความสุขย่อมคอยเป็นเพื่อนใจของเราตลอดกาล
36
ที่มา : นิตยสาร Secret ฉบับที่ 194
เรื่อง : ศรายุทธ เรียบเรียง : เชิญพร คงมา
ภาพ : สรยุทธ พุ่มภักดี