เส้นทางชีวิตกว่าจะมาเป็น อิงค์ The Voice China
บางครั้งเส้นทางชีวิตก่อนที่จะประสบความสำเร็จก็ไม่ได้สวยงามกันทุกคน อิงค์ – วนัฏษญา วิเศษกุล หรือ อิงค์ The Voice China เด็กไทยคนหนึ่งที่รักในการร้องเพลงของเติ้ง ลี่จวินเป็นชีวิตจิตใจ ประกวดร้องเพลงในรายการ The Voice China จนเธอกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในชั่วข้ามคืน เธอร้องเพลงได้เหมือนเติ้ง ลี่จวิน จนใคร ๆ เชื่อว่าเธอคือเติ้ง ลี่จวินกลับชาติมาเกิด
กว่าอิงค์จะมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ เธอต้องผ่านอุปสรรคอะไรมาบ้างบนเส้นทางชีวิตก่อนที่จะมาเป็น The Voice China
พรสวรรค์ที่มาจากการชอบฟังเพลง
คุณพ่อคุณแม่เป็นคนชอบฟังเพลงจึงทำให้อิงค์ฟังเพลงมาตั้งแต่เด็ก พอได้ยินเพลงบ่อย ๆ เข้าก็รู้สึกชอบ อิงค์ร้องเพลงครั้งแรกตอนอายุ 3 ขวบ แล้วขึ้นประกวดร้องเพลงครั้งแรกตอนอายุ 5 ขวบ ถึงแม้พรสวรรค์ในการร้องเพลงของอิงค์มาจากการฟังเพลงที่ท่านเปิดทุกวัน แต่ท่านก็ไม่ได้ส่งให้เรียนร้องเพลง เพราะฐานะที่บ้านไม่ดี แต่ท่านจะซื้อซีดีเพลงของนักร้องที่เราชอบมาให้เราฟัง แล้วเราร้องตาม อิงค์มาหลงใหลเพลงของเติ้ง ลี่จวินตอนอายุ 7 ขวบ เพราะคุณพ่อคุณแม่ชอบฟังมาก เราก็ชอบด้วยเลยร้องเพลงของเติ้ง ลี่จวินทั้งที่ไม่รู้ภาษาจีน แล้วมาร้องเพลงเติ้ง ลี่จวินอย่างเอาจริงเอาจังตอนประมาณอายุ 11 ปี
การเป็นนักร้องคือความฝันของอิงค์
ตอนเรียนชั้นอนุบาล คุณครูเคยถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร อิงค์ตอบทันทีว่า “อยากเป็นนักร้องค่ะ” พอเรียนระดับชั้นประถมศึกษาคุณครูให้เขียนเรียงความหัวข้ออาชีพในฝัน เราก็เขียนว่า “อาชีพในฝันของฉันคือนักร้อง” มันจึงกลายเป็นสิ่งที่คิดอยู่เสมอว่าฉันต้องเป็นให้ได้ มันเป็นความฝันที่อยากให้เป็นจริง
ชีวิตก่อนมาเข้าแข่งขัน The Voice China
ก่อนไปประเทศจีน ชีวิตของอิงค์ผ่านอะไรมามาก ตอนเด็กอยู่กับคุณยายและญาติที่จังหวัดกำแพงเพชร ส่วนคุณพ่อคุณแม่ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ อิงค์จะลงมาหาท่านเฉพาะช่วงปิดเทอมเท่านั้น ชีวิตเคยลำบากที่สุดก็คือกินข้าวกับเกลือ ตอนนั้นอิงค์กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ครอบครัวมีปัญหาการเงินจึงต้องกินข้าวกับเกลือ อิงค์เห็นท่านร้องไห้ แต่เราไม่ได้คิดอะไรมากเพราะตอนนั้นยังเด็กมาก พอขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก็ย้ายมาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่กรุงเทพฯจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 คุณพ่อล้มป่วยและเสียชีวิต ครอบครัวระส่ำระสายมากเพราะขาดเสาหลักของครอบครัว
อิงค์เลยไปทำงานพิเศษเป็นนักร้อง ร้องเพลงตามงานเลี้ยง ร้านอาหาร และโรงแรม เพื่อหารายได้ช่วยครอบครัวอีกแรง อิงค์ร้องเพลงของเติ้ง ลี่จวินจนมีคนทักว่าเสียงเหมือนเติ้ง ลี่จวิน ต้องเป็นเติ้ง ลี่จวินกลับชาติมาเกิดแน่ ๆ แต่เราเลือกร้องเพลงของเติ้ง ลี่จวิน เพราะเป็นความชอบส่วนตัว ตอนนั้นรายได้จากการร้องเพลงไม่เพียงพอเลี้ยงครอบครัว คุณแม่มีน้องเล็กมีค่าใช้จ่ายสูง เช่น ค่าผ้าอ้อม ค่านมผง และอื่น ๆ อิงค์พยายามหาลู่ทางที่จะมีรายได้มากขึ้น จึงคิดว่าควรเรียนภาษาจีน แล้วก็เหมือนเป็นบุญวาสนาที่เพื่อนของคุณพ่อและคุณแม่ที่เป็นคนจีนเข้ามาช่วยเหลือพอดี ท่านเห็นว่าอิงค์ร้องเพลงเติ้ง ลี่จวินเก่งมาก เลยแนะนำให้ไปเรียนภาษาจีนที่ปักกิ่ง ตอนนั้นตัดสินใจไปปักกิ่งทันทีเพราะคิดว่าอย่างน้อยเราก็ได้ภาษา
ระหว่างที่กำลังเรียนอยู่ที่ปักกิ่ง มีโอกาสร้องเพลงทุกวันเสาร์ที่ภัตตาคารเติ้ง ลี่จวิน ซึ่งเป็นกิจการของพี่ชายเติ้ง ลี่จวิน จึงอาศัยสถานที่แห่งนี้เป็นสนามฝึกซ้อมไปในตัว โดยอิงค์ไม่ขอค่าตอบแทนเลย แฟนคลับเติ้ง ลี่จวินจะชอบและตื่นเต้นมากตอนที่ฟังเราร้องเพลง เพราะเราเป็นคนไทยแต่สามารถร้องเพลงของเติ้ง ลี่จวินได้ จึงลือกันว่ามีเด็กไทยร้องเสียงเหมือนเติ้ง ลี่จวิน มาร้องที่นี่ทุกวันเสาร์ แล้วพวกเขาก็มาฟังอิงค์ร้องเพลงจนแน่นภัตตาคาร เขาปักใจเชื่อกันเลยว่าอิงค์เป็นเติ้ง ลี่จวินกลับชาติมาเกิด เพราะบังเอิญเติ้ง ลี่จวินก็เสียชีวิตที่ประเทศไทยด้วย
จากนั้นชีวิตของอิงค์ก็ก้าวเข้าสู่เวที The Voice China เพราะมีคนทาบทามให้ไปประกวด อิงค์สมัครไปโดยไม่หวังว่าเราจะได้เป็น The Voice และเป็นที่รู้จักอย่างทุกวันนี้
หลังจากเทปรายการตอนที่โค้ชไม่หันมาหาเราออกอากาศ โทรศัพท์มือถือของอิงค์แทบพัง เพราะมีคนแชร์คลิปของเราเยอะมาก อิงค์กลายเป็นคนดังในชั่วข้ามคืน มันเหมือนความฝันที่เป็นไปไม่ได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว
ในวันที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก
การมีชื่อเสียงไม่ต่างจากเครื่องบินที่บินขึ้นสูงมาก ถ้าเราไม่ระวังมันก็ตกได้ สิ่งที่ยากที่สุดคือการรักษาให้มันบินอยู่ได้นาน อิงค์ยังอยากบินไปเรื่อย ๆ อิงค์คิดอยู่เสมอว่าในฐานะที่เราเป็นคนไทย จะไม่ทำเรื่องอื้อฉาวจนมีคนมาว่าเบื้องหลังเราเป็นคนไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ เราจึงต้องทำตัวให้ดีทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง อิงค์เตือนตนเองเสมอว่าอย่าหลงระเริงไปกับชื่อเสียง อย่าลืมว่าเราเป็นใคร เราก็ยังเป็นอิงค์ เด็กกำแพงเพชรคนเดิม อย่าคิดว่าตนเองเป็นคนที่เก่งมาก และการที่เราโด่งดังขึ้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะทีมงาน แฟนคลับ และผู้ใหญ่ที่เมตตาต่างหาก ต้องขอบคุณพวกเขาที่ทำให้อิงค์มีวันนี้
เติ้ง ลี่จวิน คืออาจารย์ใหญ่ของอิงค์
เรามีชื่อเสียงมาจากเพลงของเติ้ง ลี่จวิน เราไม่อยากทำอะไรให้ชื่อเสียงของท่านเสียหาย เพราะตอนนี้ใครๆก็มองเราเป็นตัวแทนของท่านไปแล้ว เราอยากทำตัวให้ดีเพื่อเป็นการให้เกียรติท่านด้วย สิ่งไหนที่ท่านทำแล้วดี เราก็พยายามทำตาม ท่านเปรียบเป็นอาจารย์ใหญ่ของเรา เพราะท่านสอนอะไรเราหลายอย่าง เช่น เรื่องการใช้ชีวิต เติ้ง ลี่จวินถึงจะเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จ แต่ท่านไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องการศึกษาและความรัก ท่านเรียนไม่จบมัธยมศึกษา เพราะมาเป็นนักร้องเสียก่อน ถึงจะไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาก็เรียนไม่จบเพราะติดเรื่องเวลา อิงค์เลยคิดว่าอยากทำความฝันของท่านให้เป็นจริง คืออิงค์ต้องเรียนให้จบระดับมหาวิทยาลัย ถ้ามีโอกาสเรียนปริญญาโทและปริญญาเอกก็จะเรียน ส่วนเรื่องความรักที่ท่านไม่สมหวัง อิงค์ต้องมีความรักที่สมหวังให้ได้ (หัวเราะ)
ชีวิตในเมืองจีนทำให้อิงค์เปลี่ยนแปลงตัวเอง
นอกจากงานร้องเพลงแล้ว อิงค์ต้องเรียนหนังสือไปด้วย ไม่เคยเรียนอย่างมีความสุขเลย เพราะชีวิตต้องเร่งรีบ และแบ่งเวลาที่ว่างให้กับงาน แต่ถือว่าอิงค์โชคดีที่มีเพื่อนดีคอยบอกว่ามีการบ้านวิชาอะไรบ้าง ส่งเมื่อไร ทำการบ้านอย่างไรบ้าง คือเพื่อน ๆ และอาจารย์เข้าใจเราที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วย อาจารย์ท่านก็เป็นแฟนคลับเราด้วย (หัวเราะ) อิงค์มีความคิดว่าถ้าเราหยุดเรียนไป 10 วัน คนที่เขาไม่เก่งแต่ขยันเรียนเต็ม 10 วัน เขาจะได้ความรู้มากกว่าเรา อิงค์จะไม่ทำตัวว่าเก่งแล้วไม่เรียน คล้ายกับกระต่ายที่ประมาทเต่า ถึงเราจะเป็นเต่าก็ขอเก่งอย่างค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปดีกว่า
อิงค์พยายามที่จะพัฒนาศักยภาพการร้องเพลง เพราะพรสวรรค์อย่างเดียวไม่พอ มันต้องมีพรแสวงช่วยด้วย อิงค์อยู่ที่จีนมาหลายปีทำให้เห็นว่าสังคมที่นั่นต่างจากไทยมาก ผู้คนเร่งรีบ ไม่เคยเห็นคนเดินช้า ๆ เลย จนบางทีแทบจะวิ่งเลยก็มี คนจีนเป็นคนตรงต่อเวลามาก ถ้าช้าเกินไปสัก 5 นาที เขาก็ไม่รอเราแล้ว (หัวเราะ) เราต้องปรับตัวเพราะสังคมเขาเคร่งครัดและจริงจัง เมื่อก่อนอิงค์เป็นคนที่ชอบปฏิเสธ ไม่ทำคือไม่ทำ แต่เดี๋ยวนี้อิงค์เปลี่ยนไปเพราะรอบข้างมีแต่คนมุ่งมั่น เพื่อนของอิงค์เป็นคนขยันและตั้งใจเรียนมาก จนบางครั้งอิงค์ถามตนเองว่า ทำไมเขาต้องมุ่งมั่นและทุ่มเทกันขนาดนั้น แต่มันกลับเป็นผลดีที่ทำให้อิงค์เปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำให้เกิดความกระตือรือร้น และขวนขวายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
คำสัญญาที่ให้ไว้กับคุณพ่อ
บทเรียนที่อิงค์ได้รับจากอดีตคือ “การผัดวันประกันพรุ่ง” เพราะตอนที่คุณพ่อยังไม่เสีย เราไม่ค่อยได้ดูแลท่านเท่าที่ควร ทุกวันนี้เราก็รู้สึกเสียดาย ท่านน่าจะได้เห็นความสำเร็จของเราในตอนนี้ อิงค์อยากพาท่านไปกินอาหารอร่อย ๆ ในร้านอาหารดี ๆ คิดว่าทุกวันนี้ต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุด จะได้ไม่เสียใจในภายหลัง หลายคนบอกกับอิงค์ว่า เธออายุ 19 ปีเอง พรุ่งนี้เธอจะตายแล้วเหรอ คือเราก็ไม่ได้คิดว่าพรุ่งนี้จะตาย แต่ไม่อยากประมาท เพราะอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ พรุ่งนี้เราอาจถูกรถชน มันไม่มีอะไรแน่นอนเลย อิงค์จะคุยกับคุณแม่และน้องทุกวัน บอกรักกันทุกวัน การบอกรักคนในครอบครัวไม่ใช่เรื่องที่น่าอายเลย ถ้าเราไม่ทำในวันนี้ แล้วถ้าไม่มีวันหน้าให้ทำแล้วจะทำอย่างไร
ในวันที่คุณพ่อไม่อยู่แล้ว อิงค์ดูแลคุณแม่และน้อง ๆ แทนท่าน ตอนนี้คุณแม่ป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะที่สอง อิงค์พยายามรักษาท่านให้หาย เพราะเราเหลือท่านเพียงคนเดียวแล้ว สำหรับน้องเราก็ดูแลอย่างเต็มที่ น้องอยากเรียนอะไรเราก็สนับสนุน เพราะทุกคนควรใช้ชีวิตให้มีความสุข ถ้าน้องชอบอะไร รักอะไรเราก็สนับสนุนเขา การดูแลครอบครัวให้ดีที่สุดคือการทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับคุณพ่อ อิงค์จำวันนั้นได้ดี คุณพ่อทรมานมากเพราะต้องล้างไต อิงค์บอกท่านว่า “ถ้าพ่อจะไป พ่อไม่ต้องเป็นห่วง อิงค์จะดูแลแม่กับน้องเอง” ตอนนั้นร่างกายของคุณพ่อไม่ไหวแล้ว เช้าวันต่อมาท่านก็จากพวกเราไป
เราควรใช้ชีวิตให้มีความสุข ทำทุกอย่างเต็มที่ให้ดีที่สุด ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง เพราะอาจไม่มีวันพรุ่งนี้ให้เราทำ และสิ่งที่ทำให้เราไปสู่ความสำเร็จ ไม่ได้มีแต่โชคเท่านั้น ความมานะอดทนเป็นสิ่งสำคัญที่พาเราไปสู่เป้าหมาย
เรื่อง : อิงค์ – วนัฏษญา วิเศษกุล
เรียบเรียง : ชนินทร์ ผ่องสวัสดิ์
ภาพ : วรวุฒิ วิชาธร
www.instagram.com/p/BmOpzxojwjU
บทความน่าสนใจ
9 ดารานักร้องฮอลลีวู้ดที่ไม่น่าเชื่อว่านับถือ “ศาสนาพุทธ”
ปาน-ธนพร แวกประยูร นักร้องเสียงสวยผู้ไม่ต้องการกลับมาเกิดอีก
ดารานักร้อง ชิน-ชินวุฒิ ไม่เกณฑ์ทหาร! รับใช้ชาติด้วยน้ำตา
ดารานักร้องแหวน ฐิติมา สู้มะเร็งเต้านม กำลังใจล้น
“ฉันคือร่างกาย เธอคือหัวใจ” ความรักอันยิ่งใหญ่ของ รอง เค้ามูลคดี