บ้านหลังสุดท้าย

บ้านหลังสุดท้ายของชีวิตที่ไร้ราก

คุณเคยคิดถึงบ้านไหม…แต่ความคิดถึงบ้านของคนที่ไปเรียนต่อหรือไปทำธุระต่างจังหวัด คงเทียบไม่ได้กับความคิดถึงบ้านของชายชาวเวียดนามคนหนึ่ง ซึ่งเปรียบเปรยถึงตัวเองไว้ว่าโชคชะตากำหนดให้เขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ไร้ราก แม้จะผลิดอกออกผลงอกงามสักเพียงใด หากชีวิตไม่ได้หวนคืนสู่รากเหง้าของตนเองแล้ว ก็คงมีแต่จะเหี่ยวเฉาและแห้งตายอย่างไร้ความหมาย บ้านหลังสุดท้าย

ลาย (Lai) เป็นชาวเวียดนามโพ้นทะเลคนหนึ่งในจำนวนหลายล้านคน ที่ต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนไปใช้ชีวิตระหกระเหินอยู่ต่างแดนนานนับสิบปี เขาเป็นเจ้าของบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ทางตอนกลางของประเทศเวียดนาม และเป็นเจ้าของเรื่องราวทั้งหมดที่ฉันจดจำได้ไม่เคยลืม…

ลายเกิดและโตที่เมืองดานัง เขาอยู่บ้านหลังดังกล่าวตั้งแต่จำความได้ ครอบครัวของเขาเป็นชาวเวียดนามเชื้อสายจีน โดยใช้นามสกุล “ลึว” ลายภาคภูมิใจในตระกูลของตัวเองเสมอว่า เป็นคนมีจิตใจดีและขยันหมั่นเพียร ตอนอายุ 19 ปี ลายเรียนจบหลักสูตรฝึกทหารที่เมืองดาลัต (Dalat) ถือเป็นทหารจบใหม่ที่อายุน้อยที่สุดในรุ่น หลังเรียนจบเขากลับบ้านที่ดานังและแต่งงานกับหญิงสาวจากบ้านเดียวกัน มีลูกด้วยกัน 2 คน

หลังเรียนจบ ลายเข้ารับราชการทหารในกองทัพ ในช่วงเวลาที่เวียดนามทำสงครามยืดเยื้อ นายทหารลายมีโอกาสเดินทางไปฝึกอบรมเกี่ยวกับกองทัพในประเทศต่าง ๆ ชีวิตราชการของลายเจริญรุ่งเรืองมากว่าสิบปี จนสุดท้ายได้รับตำแหน่งสำคัญในกองทัพ และไปประจำอยู่ที่จังหวัดกว๋างหงาย (Quang Ngai) เพียบพร้อมไปด้วยชื่อเสียง เกียรติยศ และทรัพย์สินเงินทอง

กระทั่งถึงปี 1975 สงครามเวียดนามกับสหรัฐฯก็ถึงจุดเลวร้ายที่สุด เมืองไซ่ง่อนถูกกองทัพประชาชนเวียดนามยึดครองในวันที่ 30 เมษายน 1975 ถือเป็นวันสิ้นสุดของสงครามเวียดนามอย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกันชีวิตนายทหารที่กำลังรุ่งโรจน์ก็มีอันต้องสิ้นสุดลง เขาและเพื่อนทหารบางส่วนถูกจับไปอยู่ในค่ายกักกันที่แห้งแล้งกันดารแห่งหนึ่งที่มีแต่ความอดอยากและทรมาน ลายใช้ชีวิตอย่างลำบากตรากตรำในค่ายกักกันโดยไม่ได้เจอหน้าครอบครัวเลยตลอดระยะเวลา 11 ปี ภรรยาของเขาต้องหารายได้เลี้ยงลูกทั้งสองเพียงลำพัง

ความโหดร้ายและความทุกข์ทรมานอันยาวนานในค่ายกักกันก็เป็นเช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่งบนโลก เมื่อมีการเริ่มต้นก็ย่อมมีกาลสิ้นสุด ลายได้รับอิสรภาพในปี 1986 แต่มรสุมชีวิตไม่ได้จบลงแค่นั้น เวียดนามบอบช้ำอย่างหนักภายหลังสงคราม ประชาชนต้องเผชิญกับความอดอยากแร้นแค้นและภัยคุกคามทางการเมือง ลายและครอบครัวต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดไปวัน ๆ

ลายหาเลี้ยงครอบครัวด้วยการรับจ้างถีบสามล้อ ส่วนภรรยาขายหมี่กว๋าง ในบ้านของเขามีเพียงจักรยานเก่า ๆ หนึ่งคันเป็นสมบัติที่มีค่ามากที่สุด เขาเล่าว่าช่วงเวลานั้นยากจนมากถึงมากที่สุด ไม่มีข้าวจะกิน ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ ขนาดต้องไปคุ้ยกองขยะข้างถนนเพื่อจะได้รองเท้าเก่า ๆ ขาด ๆ มาสักคู่

ความลำบากยากแค้นและเหตุการณ์เลวร้ายต่าง ๆ ทำให้ลายสิ้นหวัง ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป เขากินเหล้าอย่างหนักเพื่อระงับความเครียดและหวังฆ่าตัวตายแต่ก็ไม่ตายอย่างที่ตั้งใจ ลายเผชิญกับความยากลำบากต่อไปอีก 4 ปี ชีวิตก็ถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลเวียดนามร่วมมือกับองค์กรช่วยเหลือผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ อนุญาตให้ทหารผ่านศึกและครอบครัวอพยพไปอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ ลายเป็นหนึ่งในคนที่มีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือนั้น ลายเล่าว่า ตอนนั้นเวียดนามอดอยากยากแค้นถึงขั้นวิกฤติ หลายคนดิ้นรนอยากออกนอกประเทศเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับโอกาสนั้น และในบรรดาคนที่ได้รับโอกาสก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะจากไปอย่างไม่เหลือเยื่อใยต่อแผ่นดินเกิด

ลายตัดสินใจพาครอบครัวเดินทางไปอเมริกา เขารู้สึกใจหายที่จะต้องเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอน ข้ามน้ำข้ามทะเลไปใช้ชีวิตในอีกซีกโลกหนึ่งซึ่งเขาไม่เคยรู้จัก ไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะได้กลับมาหรือไม่ และชีวิตหลังจากนี้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง

ลายเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะผู้อพยพเช่นเดียวกับคนเวียดนามและคนชาติอื่น ๆ ที่เข้ามาในสหรัฐฯ เขาได้รับเบี้ยยังชีพใน 8 เดือนแรก เขาต้องหัดเรียนภาษาและหาเลี้ยงชีพด้วยการใช้แรงงานทุกรูปแบบ ตั้งแต่โรงงานรองเท้าไปจนโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ เขาต้องทำงานหนักมาก เวลาในชีวิตหมดไปกับการทำมาหากินเพื่อให้ครอบครัวอยู่รอดในสังคมที่มีค่าครองชีพสูงลิบลิ่ว ชีวิตการทำงานแบบนี้ทำให้เขาเครียดเพราะต้องทำอะไรซ้ำ ๆ เหมือนเดิมทุกวัน อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยสะอาด ถูกกดขี่ในรูปแบบต่าง ๆ การปรับตัวให้เข้ากับสังคมอเมริกันเป็นเรื่องหนักหนาสำหรับเขามาก สังคมแบบปัจเจกชนนิยมหรือเรียกแบบธรรมดา ๆ ว่าตัวใครตัวมัน ไม่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลเหมือนสังคมเวียดนามที่คุ้นเคย ทำให้ลายรู้สึกแปลกแยกตลอดเวลา 15 ปีที่ใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาพูดได้อย่างเต็มปากว่า “ผมไม่เคยมีความสุขเลย”

บ้านหลังสุดท้าย
Image by Manuel Alvarez from Pixabay

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ค่อยมีความสุขนัก แต่ชีวิตของลายมีความมั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ เขาได้รับบำนาญเลี้ยงชีพจากรัฐบาลสหรัฐฯทุกเดือน ลูก ๆ ของเขาต่างมีครอบครัวและส่งเสียเลี้ยงดูพ่อแม่อย่างสม่ำเสมอ ลายสามารถเลือกใช้ชีวิตในสหรัฐฯกับครอบครัวอย่างสุขสบายโดยที่ไม่ต้องทำงานหนักอีกต่อไป แต่เขากลับรู้สึกว่าชีวิตมั่นคงสุขสบายในสังคมสมัยใหม่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ ความสุขที่แท้ในบั้นปลายชีวิตคงไม่มีอะไรมากไปกว่าการได้หวนคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอน ได้กลับไปใช้ชีวิตร่วมกับญาติพี่น้องในสังคมที่คุ้นเคย แม้ความเลวร้ายของสงครามในอดีตจะยังฝังอยู่ในใจเขารวมถึงคนเวียดนามอีกหลายคนในรุ่นเดียวกันก็ตาม

ไม่มีใครที่ไม่เจ็บปวด และไม่มีใครลืมเรื่องราวเหล่านั้นได้ แต่ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะปล่อยวางและให้อภัยทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้น การกลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิดอย่างถาวร ถือเป็นการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของชายชราคนหนึ่ง

วันนี้เป็นวันเต๊ด หรือวันปีใหม่ของชาวเวียดนาม ปีใหม่ปีนี้เป็นปีแรกที่คุณลุงลาย เจ้าของบ้านวัย 61 ปี จัดงานเลี้ยงฉลองแบบจัดเต็มหลังจากกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิด บรรยากาศงานฉลองเป็นไปอย่างสนุกสนาน ต่างคนต่างถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบของกันและกัน

หลังงานฉลองเสร็จสิ้น ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน มีเพียงคุณลุงลายที่จะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไป โดยมีญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง และคนในชุมชนคอยเติมเต็มให้ชีวิตไม่เงียบเหงา ชีวิตที่เคยไร้รากได้หวนคืนสู่รากเหง้าที่ถวิลหาในบ้านที่คุณลุงเคยบอกว่า…

เป็นบ้านหลังแรกและจะเป็นหลังสุดท้ายของชีวิต…

“บ้านหลังสุดท้าย”

ที่มา  นิตยสาร Secret

เรื่อง  เฮืองมาย

Image by Sasin Tipchai from Pixabay

Secret Magazine (Thailand)

IG @Secretmagazine


บทความน่าสนใจ

“ก่อนไม้จะผลัดใบ” เรื่องราวของชายผู้เนรมิตชีวิตบั้นปลายให้สวยงาม

วัยชรา วัยว่าง ต้องขวนขวายหมั่นทำบุญสร้างกุศล โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

เหงาใช่ไหม บทความธรรมะดีๆ จากพระราชญาณกวี (ท่านปิยโสภณ)

อายุไม่ได้เป็นเพียงตัวเลข บทความชวนคิดจาก นายแพทย์ชวโรจน์ เกียรติกำพล

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.