พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ก่อนที่พระองค์จะทรงละสังขารจากโลกนี้ไป ให้เราทุกคนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ซึ่งดิฉันรู้สึกว่าคำสอนของพระองค์ครอบคลุมการใช้ชีวิตได้อย่างดีมาก เพราะความประมาทเป็นบ่อเกิดของความเสียหายทั้งปวง โดยเฉพาะเรื่องบางเรื่องที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเราจะไม่มีโอกาสได้แก้ไขมันอีก
ดิฉันเองเป็นคนหนึ่งที่เคยประมาทกับเรื่องที่ไม่ควรประมาท เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณพ่อของดิฉันค่ะ ท่านเป็นโรคหัวใจและเคยผ่านการทำบายพาสมาครั้งหนึ่ง คุณหมอบอกว่า หลังจากที่ท่านผ่าตัดบายพาสสำเร็จ ท่านจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานทีเดียว ซึ่งดิฉันก็เชื่อคำพูดของคุณหมอ เพราะไม่ว่าคุณพ่อของดิฉันจะป่วยและเข้าออกห้องไอซียูเป็นว่าเล่นแค่ไหน ทุกครั้งท่านก็โชคดีและรอดมาได้เสมอ จนใคร ๆ ต่างพากันบอกว่าท่านเป็นคนดวงแข็ง ทำให้ดิฉันซึ่งเป็นลูกพลอยคิดไปว่า ท่านคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเหมือนที่คุณหมอพูดไว้เป็นแน่
แต่คำว่านานของคุณหมอกับคำว่านานของดิฉันคงจะไม่เหมือนกัน เพราะวันหนึ่งขณะที่ดิฉันกำลังนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะทำงานตามปกติ เสียงโทรศัพท์มือถือของดิฉันดังขึ้น พอดิฉันรับสาย เสียงของนางพยาบาลที่ดูแลคุณพ่อก็บอกว่าท่านมีอาการหัวใจหยุดเต้น และตอนนี้หมอกำลังปั๊มหัวใจอยู่ ดิฉันตกใจมาก แต่ในใจลึก ๆ บอกกับตัวเองว่าคุณพ่อของดิฉันต้องไม่เป็นอะไรอีกเหมือนที่ผ่าน ๆ มา ซึ่งท่านก็รอดมาได้ราวปาฏิหาริย์ทุกครั้ง
ดิฉันรีบรุดไปที่โรงพยาบาลทันที และระหว่างที่ดิฉันเดินทางไปหาคุณพ่อนั้น ดิฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากนางพยาบาลคนเดิมว่าตอนนี้คุณพ่อกลับมาหายใจได้ตามปกติแล้ว หลังจากใช้เวลาปั๊มหัวใจอยู่นานเกือบครึ่งชั่วโมง ทำให้ในใจของดิฉันยิ่งแน่ใจว่าคุณพ่อของดิฉันจะต้องไม่เป็นอะไร
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล คุณพ่อนอนอยู่ในห้องไอซียูเพื่อรอดูอาการ ท่านนอนอยู่อย่างไม่ได้สติ ดิฉันมองผ่านกระจกห้องไอซียู เห็นหน้าอกท่านกระเพื่อมแสดงถึงการเต้นของหัวใจ ทำให้ดิฉันใจชื้นขึ้นอย่างมาก
วันรุ่งขึ้นดิฉันและพี่น้องทุกคนตัดสินใจย้ายท่านไปอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำที่คุณพ่อรักษาโรคหัวใจมานาน ถึงจะย้ายโรงพยาบาลและเปลี่ยนเป็นหมอที่รักษากันประจำ ท่านก็ยังต้องอยู่ในห้องไอซียูเหมือนเดิม หลังจากนั้นท่านก็ได้สติบ้าง แต่พูดไม่ได้ เนื่องจากท่อออกซิเจนยังคงคาอยู่ในปากตลอดเวลา
ทุกครั้งที่ดิฉันเห็นท่านลืมตาตื่นขึ้นมามองดิฉันและพี่น้องของดิฉัน สายตาของท่านดูเหมือนอยากจะเล่าอะไรมากมาย แต่ท่านก็พูดไม่ได้ ดิฉันได้แต่พร่ำบอกว่าดิฉันรักท่านมากแค่ไหน และท่านเป็นพ่อที่ดีที่สุดในชีวิตของดิฉัน พูดพลางดิฉันก็จับมือท่าน ท่านกำมือดิฉันตอบเป็นสัญญาณแสดงการรับรู้ แค่เพียงเท่านี้ดิฉันก็ดีใจมากที่เราพ่อลูกสามารถแสดงความรักต่อกันได้ ก่อนหน้านี้ดิฉันไม่เคยพูดจาอะไรแบบนี้เลย ถึงจะเคยจูงมือท่านเดินหรือกอดท่านบ้าง แต่มันก็น้อยมากเมื่อเทียบกับการเป็นพ่อลูกกันมาทั้งชีวิต เพราะดิฉันมักจะคิดอยู่ตลอดเวลาว่ายังมีเวลาอีกเยอะในการที่จะพูดจากันและสัมผัสกัน
หลังจากที่คุณพ่อมีสติได้เพียงวันสองวัน หัวใจของท่านก็อยู่ใน “ภาวะสวิง” อีก ภาวะสวิงนี้หมายถึงจังหวะการเต้นของหัวใจที่ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งก็คืออาการของหัวใจที่กำลังจะวายนั่นเอง ท่านมีอาการหัวใจสวิงทุกวัน และอาการมักจะเกิดขึ้นตอนกลางคืนเสมอ จนดิฉันและพี่ ๆ น้อง ๆ มีอาการขวัญผวาทุกครั้งที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนค่ำ เพราะเกรงว่าจะโทรมาจากโรงพยาบาลให้ไปดูใจคุณพ่อ แต่ทุกครั้งคุณหมอก็สามารถปั๊มหัวใจของท่านให้กลับมาเต้นได้ตามปกติ
อาการสวิงของหัวใจและต้องปั๊มขึ้นมาใหม่เป็นอยู่กว่าสองอาทิตย์ แต่อาการของคุณพ่อก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย ระหว่างนั้นดิฉันก็ต้องใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ กับอาการของคุณพ่อที่เป็นแบบนี้ น่าแปลกที่คำสั่งสอนของท่านกลับผุดขึ้นมาในหัวของดิฉันมากมาย รวมถึงเรื่องที่ท่านมักจะบอกให้ดิฉันรีบกลับบ้านมาอยู่กับท่านหลังเลิกงาน หรือเสาร์ – อาทิตย์ก็อย่าห่วงเที่ยวกับเพื่อนฝูงจนลืมมีเวลาให้ท่าน แต่ดิฉันก็ได้แต่ฟังไปอย่างนั้น ไม่เคยเก็บเรื่องนี้มาคิดและทำอย่างจริงจังเลย จนท่านงอนดิฉันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เพราะดิฉันมักคิดเสมอว่ายังมีเวลาให้ท่านอีกมาก
หลังจากคุณพ่อนอนไม่ได้สติอยู่ในห้องไอซียูราวสองอาทิตย์ ท่านก็จากไปอย่างสงบ ดิฉันมองดูท่านค่อย ๆ จากไป เห็นตัวเลขแรงดันของร่างกายค่อย ๆ ลดลงทีละน้อย ๆ จนไม่เหลือตัวเลขอะไรให้เห็นอีก
ดิฉันมั่นใจว่าคุณพ่อไปอย่างสงบแล้ว เพราะตลอดเวลาที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านได้ทำความดีและช่วยเหลือเกื้อกูลคนที่ตกทุกข์ได้ยากเอาไว้มากมาย แต่ดิฉันเสียอีกซึ่งเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่กลับต้องเสียใจและเจ็บปวดกับสิ่งที่สมควรทำแต่ไม่เคยทำให้ท่านเลย
แต่การเสียใจจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อวันนี้ท่านจากไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ ต่อให้ดิฉันกอดร่างที่ไร้วิญญาณของท่านไว้แนบแน่นสักแค่ไหน ร้องไห้พร่ำบอกว่ารักท่าน และจะทำทุกสิ่งตามที่ท่านเคยบอกในเวลาที่ท่านยังมีลมหายใจ ท่านก็ไม่ฟื้นขึ้นมาให้ดิฉันได้แก้ตัวใหม่
ดิฉันได้แต่ถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่านี่คุณพ่อจากดิฉันไปแล้วจริง ๆ หรือว่าแค่ฝันไป แต่ทำไมฝันครั้งนี้มันถึงได้กินเวลานานนัก นานมาก นานจนเหมือนนิรันดรเลยทีเดียว ดิฉันรู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก รู้แต่ว่าไม่มีการสูญเสียใดจะมากเท่ากับการสูญเสียบุพการีอันเป็นที่รักอีกแล้ว
เมื่อเสร็จสิ้นงานศพคุณพ่อ ดิฉันเริ่มยอมรับความจริงได้ทีละน้อย และบอกกับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอยอีกเป็นอันขาด เพราะดิฉันยังมีคุณแม่ผู้มีพระคุณอย่างล้นพ้นอยู่กับดิฉันทั้งคน และต่อแต่นี้ไปดิฉันจะทุ่มเทเวลาให้คุณแม่อย่างเต็มที่ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียใจอย่างวันนี้ วันที่ดิฉันต้องสูญเสียคุณพ่อไปโดยที่ยังไม่ได้ทดแทนคุณของท่านให้เต็มที่เลย
ถึงวันนี้ หลังจากที่ดิฉันได้สัมผัสกับความตายของคุณพ่อต่อหน้าต่อตาแล้ว ทำให้ดิฉันคิดได้ว่าจริง ๆ แล้วความตายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เคยคิดเลย แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ เราไม่ได้ทำอะไรดี ๆ หรือทำในสิ่งที่เราควรทำก่อนตายต่างหาก
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง จุติมา
บทความน่าสนใจ
ทุกคนมีนัดกับความตาย พร้อมหรือยังที่จะไปตามนัด โดย พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ