ขึ้นชื่อว่า “คนบ้า” ใคร ๆ ก็ไม่อยากเข้าใกล้ ฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่เลือกจะเดินหนี เพราะกลัวเขาบีบคอหรือทำร้าย ว่ากันว่า คนพวกนี้ก่ออาชญากรรมแล้วไม่ติดคุกเสียด้วยสิ
เช้าวันหนึ่งฉันตั้งใจจะเดินทางไปสนามหลวง และได้ขึ้นรถเมล์ฟรีของ ขสมก. เมื่อรถไปถึงย่านตลาดสะพานขาวแถวถนนหลานหลวง รถจอดที่ป้ายรถเมล์ ฉันเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งเนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าขาดและสกปรก ศีรษะโล้น ในมือถือถุงผลไม้ถุงใหญ่
เขากำลังยื่นมือไปที่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งยืนคอยรถเมล์ เธอส่ายหน้าและเดินถอยหนี ฉันเดาว่าชายคนนั้นกำลังขอเงิน และประเมินด้วยสายตาจากสภาพที่เห็นคิดว่าเขาเป็น “คนบ้า”
ทันทีที่เห็นรถเมล์จอดและประตูเปิดออก เขาก็รีบวิ่งขึ้นรถ ตอนนั้นฉันอยากให้กระเป๋ารถเมล์ไล่เขาลงจังเลย แต่เพราะเป็นรถเมล์ฟรี เขาจึงไม่ต้องเสียค่าโดยสาร คนบ้าเดินไปที่คนขับ ฉันและผู้โดยสารคนอื่นมองตามด้วยความกลัวว่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล เผื่อจะได้หนีลงจากรถทัน เขาหยิบกล้วยไข่หนึ่งหวีจากถุงผลไม้ไปวางหน้ารถตรงคนขับ ไม่พูดอะไร จากนั้นเดินมาหาที่นั่ง ซึ่งเป็นเบาะคู่ที่อยู่ข้างหน้าเบาะที่ฉันนั่ง!!
“ซวยแล้ว” ฉันคิด
ฉันสังเกตว่า
เขาเป็นชายวัยกลางคน อายุประมาณ 40 ปี เจาะหู ใส่ต่างหูสีเงิน มีรอยสักขนาดใหญ่ที่แขนซ้าย
สันนิษฐานว่าสมัยก่อนเขาคงเป็นพวกจิ๊กโก๋ แล้วทำไมวันนี้เขาถึงเป็นแบบนี้ไปได้
ไม่ทันได้คิดคำตอบให้ตัวเอง คนบ้าก็หันหลังมาทางฉันพร้อมส่งมะม่วงเขียวลูกหนึ่งให้ ฉันสะดุ้งเล็กน้อย แต่ทำใจดีสู้เสือ จึงยิ้มพร้อมปฏิเสธ
“ไม่เอาค่ะ”
เขาก้มไปหยิบมะไฟช่อเล็ก ๆ ส่งให้อีก ฉันปฏิเสธเหมือนเดิม
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ตอนนั้นก็กลัวเขาโกรธที่ไม่รับของของเขา แล้วถ้าเขาด่าฉันขึ้นมาจะทำอย่างไรดี แต่ปรากฏว่าเขาไม่พูดอะไรเลย กลับหยิบกล้วยไข่อีกหวียื่นมาให้ สงสัยคงคิดว่าฉันจะไม่ชอบผลไม้สองอย่างแรก
ฉันโบกมือปฏิเสธ คราวนี้เริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้าง เขาไม่มีท่าทีดุร้ายแต่อย่างใด และยังยื่นผลไม้ให้กับคนอื่นในรถเมล์อีกด้วยแต่ไม่มีใครรับ
ฉันจึงนึกย้อนกลับไปที่ป้ายรถเมล์ ทีแรกเขาคงไม่ได้ข้อเงินหรอก แต่คงยื่นผลไม้ให้ผู้หญิงที่ป้ายรถเมล์เช่นกัน ฉันรู้สึกผิดที่ด่วนตัดสินเขาจากรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น
แล้วผลไม้ที่อยู่ในถุงคงมาจากน้ำใจของแม่ค้าในตลาด เพราะมีจำนวนอย่างละเล็กอย่างละน้อยคละเคล้ากันไปด้วยความคุ้นเคยกันและสงสารเขา
รถแล่นไปเรื่อย ๆ ฉันมองดูพฤติกรรมของเขาบนรถเมล์และคิดหาเหตุผลที่เขาเป็นเช่นนี้ “เขาเป็นคนที่มีน้ำใจนะ สมัยก่อนเขาคงติดยาเสพติด และยาเสพติดทำลายสมองของเขาจนต้องกลายมาเป็นแบบนี้หรือเปล่า”
สักพักมีเด็กผู้หญิงอายุประมาณสี่ห้าขวบขึ้นรถมาพร้อมกับพ่อ คนบ้ายื่นผลไม้ให้เด็ก เด็กน้อยมองด้วยความลังเลหันไปหาพ่อ พ่อรีบปฏิเสธอย่างสุภาพ บอกว่าไม่มีถุงใส่ เมื่อใคร ๆ ก็ปฏิเสธเขา เขาจึงเดินไปที่คนขับอีกครั้งขณะรถติดไฟแดง เพื่อเอามะม่วงกับมะไฟไปให้
ระหว่างที่เขาลุกไป ได้ยินเสียงเหรียญตกบนพื้นสองสามเหรียญ เขามองตาม แต่ไม่มีทีท่าว่าจะเก็บมัน และกลับมานั่งที่เดิม จนกระทั่งถึงที่หมายคือสนามหลวง ฉันและผู้โดยสารหลายคนทยอยลงป้ายนี้ รวมทั้งเขาด้วย
เหรียญบาทที่เขาทำหล่นเมื่อสักครู่ตกอยู่ที่หน้าประตูรถ
“หยิบไปเลยครับ เงินของผมเอง” แต่ไม่มีใครหยิบ! เขาจึงก้มลงหยิบเอง
หลังจากฉันลงรถเมล์คันนั้นแล้ว ความคิดของฉันทำงานต่อ จะมีใครที่คิดอย่างเขาบ้าง บอกให้คนอื่นหยิบเงินของตัวเองไปใช้ ฉันเชื่อว่าไม่มี…นอกจากคนไม่ปกติ
ใช่…เขาไม่ใช่คนปกติและเขาก็ไม่ใช่ “คนบ้า” เพราะจิตสำนึกของเขาบอกว่าเขาเป็น “คนดี”
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง ชญานุช วีรสาร
บทความน่าสนใจ
“ม้านั่งเพื่อนรัก” ไอเดียของเด็กพิเศษ ช่วยหาเพื่อนให้เด็กที่โดดเดี่ยว