เคยบ้างไหมที่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าจากการทำงาน แต่พอได้นึกถึงหรือคิดถึงใครบางคน กลับทำให้ความเหน็ดเหนื่อยนั้นจางหายไปได้
บางคนคิดถึงคนที่รัก บางคนคิดถึงคนในครอบครัว สำหรับฉันเวลามีปัญหากลับคิดถึงผู้ป่วยหลาย ๆ คนที่เคยไปเยี่ยมบ้าน เพราะผู้ป่วยเหล่านี้ทำให้รู้สึกว่ายังมีใครอีกหลายคนที่กำลังเจอปัญหาที่หนักหนากว่าเรา หรือคิดง่าย ๆ ว่า ชีวิตฉันยังมีโอกาสที่ดีมากกว่าอีกหลายล้านคนบนโลกใบนี้
ลูกสาวของผู้ป่วยคนหนึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน แต่ความคิดเกินอายุ เธออาศัยอยู่กับพ่อและแม่ในชุมชนแออัดเล็ก ๆ ที่เรียกว่า “สลัม” เธอและแม่ไม่ได้มาเยี่ยมพ่อซึ่งรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลบ่อยนัก หรือแทบจะเรียกได้ว่าไม่เคยมาเลยมากกว่า เพราะเหตุผลจำเป็นที่ต้องหาเลี้ยงชีพในแต่ละวัน
แม่ของเธอหาบเร่ขายของ ส่วนเธอเป็นลูกจ้างร้านกาแฟเล็ก ๆ ใกล้บ้าน ซึ่งไม่สามารถขาดงานได้เลย การหยุดงานหมายถึงการขาดรายได้ แต่สุดท้ายเธอก็ยอมทิ้งรายได้เดือนละ 7,000 บาทมาดูแลพ่อ เพราะแม่ก็มีปัญหาสุขภาพเช่นเดียวกัน วันที่ฉันพบเธอเป็นครั้งแรกคือวันที่พ่อของเธอกลับบ้าน ฉันสอนและแนะนำเกี่ยวกับการดูแลพ่อ เรื่องที่จำเป็นต้องรู้ ซึ่งเธอก็สามารถเรียนรู้ได้ดี
หลังจากพ่อเธอกลับบ้าน ฉันตามไปเยี่ยมบ้านซึ่งอยู่ในชุมชนแออัดหรือสลัมแห่งนั้น ถึงแม้สภาพแวดล้อมภายนอกบ้านอาจดูไม่ดีนัก แต่เมื่อเข้าไปในบ้านกลับพบว่าเธอจัดบ้านได้สะอาดและเป็นระเบียบทีเดียว โดยเฉพาะในส่วนที่พ่อของเธออยู่ หลังจากให้คำแนะนำเรื่องต่าง ๆ ก็มีโอกาสได้คุยเรื่องอื่น ๆ
“ทำไมถึงไม่แต่งงานล่ะคะ” ฉันถามเพราะเธอเคยเล่าให้ฟังว่ามีคนที่รัก
“คุณพยาบาลคะ
ถ้าหนูแต่งงานก็จะไม่มีคนดูแลพ่อ หนูเลือกพ่อเพราะหนูมีพ่อเพียงคนเดียว ถ้าหนูไม่ดูแลพ่อตอนนี้ แล้วหนูจะมีโอกาสไปดูแลพ่อตอนไหน คนรักจะมีเมื่อไหร่ก็ได้ แต่หนูมีพ่อคนนี้คนเดียว หนูหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
ถ้ามีครอบครัว หนูอาจต้องไปดูแลครอบครัวและลูกของหนู แล้วใครจะดูแลพ่อ แม่ก็ดูแลไม่ไหวแล้ว”
เธอตอบตรง ๆ
จริงสินะ ความคิดนี้ผุดขึ้น ทุกคนมีพ่อคนเดียว หน้าที่ของลูกคือดูแลพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน เมื่อใด แค่คำตอบง่าย ๆ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อของตัวเองขึ้นมา
หลังจากนั้นพ่อของเธอมาตรวจตามนัด เธอโทร.หาฉัน เมื่อพบกันเธอยื่นของฝากให้ฉัน ข้างในถุงนั้นเป็นข้าวเหนียวมะม่วง
“ไม่เป็นไรค่ะ เก็บไว้กินเองนะคะ”
ฉันปฏิเสธเพราะรู้ดีว่าข้าวเหนียวมะม่วงถุงนั้นราคาแพงไม่น้อยเมื่อเทียบกับฐานะครอบครัวของเธอ
“คุณพยาบาลคะ รับไว้เถอะค่ะ หนูอยากให้คุณพยาบาล หนูรู้ว่าคุณพยาบาลมีเงินซื้อ แต่นี่เป็นของตอบแทนน้ำใจที่คุณพยาบาลมีให้ครอบครัวของหนู”
ฉันจึงรับข้าวเหนียวมะม่วงถุงนั้นไว้ แม้จะไม่ใช่อาหารเลิศหรูราคาแพง แต่กลับมีค่าทางจิตใจต่อฉันอย่างมากมาย
5 เดือนต่อมา ฉันเจอเธอโดยบังเอิญที่หน้าลิฟต์ เธอรีบเข้ามาทักด้วยความดีใจ วันนั้นเธอใส่เสื้อแขนกระบอกและผ้าถุงสีขาว ห่มสไบเฉียงเหมือนจะไปวัด
“หนูดีใจมากเลยค่ะที่ได้เจอคุณพยาบาล หนูภาวนาในใจว่าวันนี้หนูอยากเจอคุณพยาบาล หนูก็ได้เจอจริง ๆ” ทั้งน้ำเสียงและแววตาเธอบอกถึงความดีใจ
“วันนี้มาโรงพยาบาล มีนัดตรวจอะไรหรือ”
“พ่อมานอนโรงพยาบาลค่ะ เส้นเลือดที่ขาอุดตัน อีก 2 – 3 วันน่าจะกลับได้แล้ว แต่หนูดีใจที่เจอคุณพยาบาล เพราะหนูอยากเอาดอกไม้ที่หนูซื้อจากปากคลองตลาดมาให้คุณพยาบาลอนุโมทนาบุญค่ะ”
เธอตอบพร้อมกับชี้ไปที่กองถุงดอกไม้ 3 ถุงใหญ่ ประกอบด้วยดอกรัก ดอกกุหลาบ และดอกดาวเรือง อย่างละ 1 ถุง แล้วอธิบายว่า
“ช่วงที่พ่อมาอยู่โรงพยาบาล หนูตั้งใจจะไปนั่งสมาธิที่วัด และช่วงนี้มีการทำบุญดอกไม้ หนูจะไปร้อยดอกไม้ที่ซื้อมาเพื่อถวายพระ หนูตั้งใจจะร้อยมาลัยถวายพระในนามของคุณพยาบาล 1 พวง คุณพยาบาลและครอบครัวจะได้มีความสุข”
ฉันทั้งอึ้งและซึ้งใจ เธอยังคงนึกถึงฉันอยู่หรือนี่
“ขอบคุณมากนะคะที่นึกถึงกัน พี่ขอถวายปัจจัยร่วมทำบุญด้วยนะคะ” ฉันร่วมทำบุญไปกับเธอ
นับแต่นั้นมาเธอโทร.ปรึกษาฉันเป็นระยะ ๆ จนพ่อของเธอเสียชีวิตอย่างสงบที่บ้าน เธอโทร.มาเล่าให้ฟังว่า หลังงานศพ เธอก็ไปอยู่ที่วัด ช่วยเหลืองานวัดเพราะ
“หนูทำบุญให้พ่อค่ะ แล้วหนูก็ชอบทำงานวัดทุกอย่าง”
ความคิดในแง่บวกของเธอช่างสวยงาม มันทำให้เธอไม่เคยเครียดหรือรู้สึกถึงภาระอันหนักอึ้งในการดูแลพ่อ เพียงแค่เธอมีสติ ความคิด และใจที่สู้เท่านั้น ก็ทำให้เธอผ่านพ้นสิ่งต่าง ๆ ไปได้ด้วยดี ทุกวันนี้แค่ฉันนึกถึงเธอก็ทำให้ยิ้มได้และพร้อมลุกขึ้นมาสู้กับงานในทุก ๆ วัน
ขนาดเธอยังยิ้มได้ ฉันก็จะยิ้มสู้กับปัญหาต่าง ๆ เช่นเดียวกัน
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง นิชธิมา เสรีวิชยสวัสดิ์
บทความน่าสนใจ