วิกกี้ สุนิสา เจทท์ กับคำว่า “The End of the World.”
หนึ่งในสำนวนฝรั่งที่มักจะได้ยินกันบ่อย ๆ เวลาเจอะเจออุปสรรคหรือปัญหา (ที่คิดว่า) ยาก ๆ ก็คือ “The End of the World.” ซึ่งเป็นความหมายเปรียบเปรยทำนองว่า
“หมดหวังแล้วละ โลกต้องแตกสลาย แน่ๆ แย่สุดๆ!…”
วิกกี้ สุนิสา เจทท์ คุ้นชินกับสำนวนนี้เป็นอย่างดีก็ในช่วงที่เธอบินกลับมาอยู่เมืองไทยใหม่ ๆ สารพัดปัญหาที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต ทำให้วิกกี้ (ในวัยนั้น) ได้แต่ร้องไห้จนใกล้จะถอดใจหนีกลับสหรัฐอเมริกาไปอยู่รอมร่อ แต่สุดท้ายเธอก็หันกลับมาสู้ สู้ และสู้จนสามารถผ่านช่วงเวลานั้นมาได้…และมีวันนี้
อะไรที่ทำให้เธอเปลี่ยน อะไรที่ทำให้เธอเข้มแข็งขึ้นมาได้
หลังพายุ (ร้าย) พัดผ่านไป ท้องฟ้าย่อมสดใสตามมา
ช่วงที่คุณพ่อคุณแม่ของกี้แยกทางกัน จำได้ว่ากี้เสียใจมาก จากที่เป็นเด็กขี้งอแงอยู่แล้ว…คราวนี้ยิ่งร้องไห้ใหญ่เลย แต่ถึงคุณพ่อจะไปมีครอบครัวใหม่ พ่อก็ยังแวะมาเยี่ยมกี้กับไรอัน (พี่ชาย) บ่อย ๆ ที่บ้านคุณแม่ ส่วนคุณแม่เองต่อมาไม่นานท่านก็แต่งงานใหม่เหมือนกัน เรียกว่าครอบครัวกี้ขยายออกไปเรื่อย ๆ แต่ถึงอย่างนั้นกี้ก็ถือว่า “ตัวเองยังโชคดีนะ” เพราะทุกคนที่เข้ามาใหม่เป็นคนดี สามารถปรับตัวเข้าหากันได้ ไม่มีมาคอยแกล้งกัน หรือเกลียดกันเหมือนในละคร
ฟังดูเหมือนว่ากี้ไม่ขาดความรักนะ แต่ลึก ๆ แล้วในใจเด็กไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเติมเต็มหรอก มันเหมือนมีแผลฝังอยู่ลึก ๆ ข้างใน แต่สุดท้ายแล้วประสบการณ์ชีวิตที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้กี้เริ่มรู้สึกว่า ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีเข้ามานะ เพราะทั้งคุณพ่อและคุณแม่ต่างดูมีความสุขมากขึ้น นั่นทำให้กี้เริ่มเข้าใจว่า
“คู่แท้อาจจะไม่ใช่คนที่เราแต่งงานด้วยเสมอไปก็ได้ เพราะถ้าเกิดอยู่ด้วยกันไม่ได้จริง ๆ ต้องเลิกรากันไป ต่างคนอาจจะไปเจอคู่แท้จริง ๆ ที่รออยู่ข้างหน้าก็ได้ มันก็แล้วแต่ดวง”
ทุกวันนี้ครอบครัวใหญ่ของเรายังติดต่อไปมาหาสู่กันตามปกติ นั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่า ความรักจะไม่มีวันทำร้ายใคร เพียงแค่คุณรู้จัก “ความรัก” อย่างแท้จริง
.
โลกนี้ไม่มีอะไรแย่และไม่มีคำว่าสาย
สมัยเด็ก ๆ กี้ฝันอยากเรียนสถาปัตย์หรือไม่ก็อินทีเรียร์ดีไซน์ แต่ด้วยความจำเป็นของครอบครัวทำให้กี้ต้อง “เปลี่ยนฝัน” หันมาทำงานในวงการบันเทิงที่เมืองไทยแทน…โดยที่ไม่ตั้งใจมาก่อน
ปกติกี้เคยแต่มาเที่ยวเมืองไทยระยะสั้น ๆ แต่คราวนี้ต้องย้ายมาอยู่กับคุณย่าเลย กี้จึงต้องปรับตัว ดูแลตัวเองเองทั้งหมด (พ่อมาส่งแล้วก็บินกลับไป) เหมือนกับเริ่มชีวิตใหม่เลยก็ว่าได้
ในเรื่องการทำงาน ตอนนั้นกี้มองว่าตัวเอง “คิดน้อยมาก” เพราะไม่มีใจด้านนี้เลย รู้แค่ต้องไปที่ไหนกี่โมงก็ดีแล้ว ส่วนต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง กี้ไม่รู้ เขาให้บทมา เราก็พูด ๆ ตามบทไป หมดฉากหนึ่งก็ไปหลับทีหนึ่ง พอจะเข้าฉากใหม่ ทีมงานก็ต้องมาปลุก แล้วกี้ก็จะวิ่งเข้าฉากคนสุดท้าย…แบบไม่รู้คิวตลอด
กี้ทำงานไปสักพักก็เริ่มมีกระแสว่า “กี้อ้วน กี้เป็นสาวอารมณ์หน้าเดียว” เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีีคนมาบอกว่า กี้ชอบเถียงผู้ใหญ่ก้าวร้าว ฯลฯ มีอย่างนี้แทบทุกวัน จนกี้รู้สึกว่า “ตัวเองเหลือตัวนิดเดียว”
กี้เครียดและอึดอัดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่อยากทำงานนี้แล้ว ทั้งเรื่องที่ว่าไม่เคยมีใครมาว่ากี้แบบนี้ ทั้งเรื่องที่ว่าทำไมไม่มีใครเข้าใจว่ากี้ไม่ได้มีเจตนาจะก้าวร้าวใครจริง ๆ แค่เป็นคนพูดตรง ๆ ก็เท่านั้น ช่วงนั้นกี้ร้องไห้แทบทุกวันจนรู้สึกว่า นี่คือ “The End of the World.” ของจริงเลย พอโทรศัพท์กลับไปเล่าให้แม่ฟัง ท่านก็จะสอนว่า “อย่าร้องไห้ ชีวิตเราไม่ได้แย่นะ เราโชคดีขนาดไหนแล้วที่ยังมีบ้านอยู่ มีข้าวกิน เพียงแต่ตอนนี้เราต้องตั้งสติให้ได้ก่อนแล้วค่อย ๆ คิดแก้ปัญหา”
กี้จึงเริ่มคิดตาม และมองเห็นว่า “งานที่ทำอยู่นี้ช่วยครอบครัวกี้ให้ดีขึ้นได้จริง ๆ ไม่ได้แย่อะไร” แล้วที่เขาติก็เพราะหวังดีจริง ๆ กี้เลยหันกลับมาตั้งใจทำงานด้วย “ใจ” ทำให้ “เต็มความสามารถ” แต่นั้นมา
เมื่อไรที่เรากล้ายอมรับในสิ่งที่เราเป็น เราก็จะไม่โกรธเมื่อถูกตำหนิ แต่เราจะนำสิ่งที่เขาตำหนิมาปรับปรุงตัวเองต่อไปได้ค่ะ
.
เกือบ…ไปแล้ว
ช่วงกี้เข้าวงการใหม่ ๆ มีแต่คนบอกว่า “กี้อ้วน” เข้ากล้องแล้วก็บวม ตัวใหญ่ แรก ๆ กี้ก็นึกขำเพราะสมัยอยู่อเมริกา รูปร่างอย่างกี้ถือว่าตัวเล็กด้วยซ้ำ แต่พอเจออย่างนี้บ่อย ๆ เข้า กี้ก็เริ่มรู้สึกว่า “ไม่ได้แล้วนะ เราน่าจะต้องลดความอ้วนจริง ๆ แล้วละ”
ด้วยความกดดันแบบสุด ๆ กี้จึงพยายามทำทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่ “ออกกำลังกาย” วิธีนี้ถึงน้ำหนักจะลดลง แต่ไม่เร็วเท่าที่อยากได้ กี้ก็เลยเริ่มไปซื้อ “ยาลดความอ้วน” มากิน เริ่มตั้งแต่แบบพื้น ๆ ไปจนถึงตัวที่คนขายยังไม่อยากจะขาย เพราะมันค่อนข้างแรง
กินแค่ 2 - 3 วัน น้ำหนักลดได้ 2 - 3 กิโล แต่มันก็ทำให้กี้ถึงกับ “เบลอ” อย่างแรง กี้เลยลองเปลี่ยนมาใช้ยาที่ทำให้การเผาผลาญดีขึ้น พร้อมกับออกกำลังกายไปด้วย คราวนี้ปรากฏว่ายิ่งหนัก เหงื่อออกผิดปกติ นอนไม่หลับ พอนอนไม่หลับก็ปวดหัว พอปวดหัวก็อารมณ์เสีย หงุดหงิด ขี้เหวี่ยงเป็นผีบ้า ชีวิตตอนนั้นแย่มาก ๆ
ถึงอย่างนั้น กี้ก็ยังไม่ละความพยายาม แต่คราวนี้กี้ตัดสินใจว่าจะไม่กินยาแบบนั้นอีกแล้ว แต่จะหันมาออกกำลังกายอย่างจริงจัง กินอาหารให้ครบมื้อ แล้วลดอาหารจำพวกแป้งแทน คราวนี้ปรากฏว่าน้ำหนักลดลงจริง ๆ ร่างกายเฟิร์มขึ้น แถมยังอารมณ์ดี มีความสุขที่ไม่ต้อง “อด” ด้วย (ได้กินครบอย่างที่ชอบ)
เรื่องอ้วน ๆ นี้ทำให้กี้รู้ว่า “ไม่ว่าจะทำอะไร ขอให้ตั้งอยู่บนทางสายกลางดีที่สุด ยิ่งถ้าทำแล้วไม่ทุกข์ อันนี้แหละที่ดีที่สุด”
ที่มา นิตยสาร Secret คอลัมน์ Beautiful Experiences
เรื่อง วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์
ภาพ วรวุฒิ วิชาธร
บทความน่าสนใจ
เบื้องหลัง“ความกลัว”มักมีความสำเร็จรออยู่ – ชาตโยดม หิรัณยัษฐิติ