ทฤษฎีความสุขในทุกวัน ของ ปอ ทฤษฎี สหวงษ์
บางวันเราอาจเห็นผู้ชายคนนี้ ปอ ทฤษฎี สหวงษ์ ร้องและเต้นอย่างสุดเหวี่ยงอยู่กลางตลาด ในขณะที่หลายๆ คืนก่อนหน้านั้นก็อาจได้ชมเขาพลิกบทบาทมาเป็นผู้ใหญ่บ้านหรือว่าไอ้หนุ่มคนยากที่มากด้วยอุปสรรคในชีวิตรัก แต่ไม่ว่าจะรับบทเป็นตัวละครตัวไหน เขาก็จะมุ่งมั่นลงลึกในทุกรายละเอียดอย่างเต็มที่เสมอ ดังที่ได้เคยลั่นวาจาเอาไว้ในหลายๆ ครั้งว่า “ผมจะทำทุกวันให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต”
ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีในวงการบันเทิงอาจไม่ยาวนานพอที่จะพิสูจน์ถึงคำพูดนี้ แต่จากหลากหลายงานที่เขาทุ่มเททำทั้งในจอและนอกจอ ทั้งงานเพื่อสร้างความบันเทิงและงานช่วยเหลือสังคมที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ก็พอจะบ่งบอกไดไม่มากก็น้อยว่า…เขาเต็มที่กับสิ่งที่เขาทำขนาดไหน อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งปักใจเชื่อข้อความข้างต้นนี้มากนัก จนกว่าคุณจะได้อ่านบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้
แรงบันดาลใจที่ทำให้คุณทำกิจกรรมเพื่อสังคมมาค่อนข้างมากในช่วงหลายๆ ปีมานี้คืออะไร
ผมคิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาสังคมนี้ให้อะไรกับผมเยอะมาก ทำให้ผมมีวันนี้ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อถึงจุดที่ผมพอจะตอบแทนสังคมได้บ้างแล้ว ก็อยากจะหากิจกรรมทำเพื่อสังคมบ้าง ในมุมที่ไม่จำเป็นต้องเป็นแค่เพื่อเงินเพียงอย่างเดียว
จุดเริ่มต้นที่คุณมาทำหน้าที่ทูตของสมาคมพิทักษ์สัตว์แห่งโลกคืออะไร
ปกติผมเป็นคนรักสัตว์อยู่แล้ว พอดีเมื่อปี 2553 ทาง WSPA (World Society for the Protection of Animals) เขามีโครงการล่ารายชื่อผู้สนับสนุนโครงการคุ้มครองสวัสดิภาพและปกป้องสัตว์จากทั่วทุกมุมโลกให้ได้สิบล้านรายชื่อ ซึ่งผมเองได้ร่วมลงชื่อสนับสนุนโครงการนี้ด้วย หลังจากนั้นผมก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตดับเบิลยูเอสพีเอ และได้ไปบรรยายตามโรงเรียนต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องสวัสดิภาพของสัตว์ ผมมองว่าถ้าเราสามารถปลูกฝังให้เด็กๆ เข้าใจในเรื่องนี้ได้ เขาก็น่าจะโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ นอกจากนั้นผมก็คิดว่า คนที่เลี้ยงสัตว์มักเป็นคนที่จิตใจอ่อนโยนและมีเมตตา ถ้าสังคมมีคนที่จิตใจอ่อนโยนและมีเมตตามากๆ ก็น่าจะทำให้โลกเราอยู่กันอย่างสงบสุขครับ
เมื่อเทียบกับนักแสดงสมัยนี้ ถือว่าคุณเข้าวงการตอนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว อยากทราบว่ามีปัญหาเรื่องการปรับตัวบ้างไหมครับ
ถึงผมจะเข้าวงการตอนบรรลุนิติภาวะแล้ว และเคยผ่านงานอื่นๆ มา แต่นี่ไม่เป็นปัญหาสำหรับผมเลยนะครับ ผมคิดว่ายิ่งเราผ่านอะไรมาเยอะ มีประสบการณ์ชีวิตแยะ ความเป็นตัวของตัวเองตรงนี้ก็จะช่วยทำให้มีความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่และมีประโยชน์ในการทำงานมากกว่า ถ้าถามว่ามีปัญหา “ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก” บ้างไหม ผมว่ามันขึ้นอยู่ที่ทัศนคติของเรามากกว่า พร้อมจะ “ดัด” ตัวเองหรือเปล่า ถ้าคิดแต่จะแอนตี้ตลอดเวลาก็คงดัดไม่ได้
ผมคิดว่าการมาทำงานตรงนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหนก็ตาม สิ่งที่เหมือนกันก็คือ เราต้องเปิดรับความคิดเห็นของทุกๆ คนที่เข้ามา ต้องฟังด้วยใจเป็นกลาง และยอมรับว่าสิ่งที่เราคิดไม่ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป เราต้องเปิดใจให้กว้างทั้งเรื่องงานและสังคมรอบข้าง บางคนอาจจะคิดว่าวงการบันเทิงก็คือวงการมายา แต่ผมคิดว่า ถ้าเรามาอยู่โดยไม่มายา มันก็จะไม่มายา (หัวเราะ) แต่ถ้าเรามาอยู่อย่างมายา มันก็เป็นมายา หรือถ้าคิดว่าวงการนี้ไม่มั่นคงก็จะไม่มั่นคง แต่ถ้ามาอยู่แล้วคิดว่างานตรงนี้คืออาชีพที่สามารถเลี้ยงเราได้ งานตรงนี้ก็จะเป็นงานที่มั่นคงที่สุดเลยเมื่อเทียบกับหลายๆ อาชีพ
ถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่าปัจจัยที่ทำให้อยู่ในวงการนี้ได้อย่างมั่นคงคืออะไรครับ
ผมคิดว่า เราต้องเคารพในอาชีพก่อนนะครับ ต้องตั้งใจและหมั่นฝึกฝนพัฒนางานที่เราทำอยู่เสมอ หลายคนอาจจะยึดติดกับคำว่า “พระเอก” “นางเอก” แต่ผมไม่ยึดติดกับตรงนั้น ผมไม่ได้ทำอาชีพพระเอก ผมทำอาชีพนักแสดง ดังนั้นจึงสามารถแสดงเป็นตัวอะไรก็ได้ และผมก็เคารพในอาชีพที่ทำเสมอ ผมอยากเป็นอย่าง มี้ (พิศมัย วิไลศักดิ์) ที่ไม่มีแนวโน้มว่าจะเกษียณเลย ยังสามารถทำงานไปได้เรื่อยๆ ตราบเท่าที่เราให้เกียรติและไม่ฉาบฉวยกับอาชีพของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะอาชีพนักแสดง แต่ทุกอาชีพต้องมีการพัฒนา คนที่ไม่พัฒนาคือคนที่ตายแล้ว ตอนนี้เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ต้องคิดที่จะพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ
ดูเหมือนว่าคุณจะให้ความสำคัญกับการทำงานมากเลยนะครับ
ใช่ครับ แนวคิดที่ผมยึดถือมาตลอดคือ ผมจะไม่ยอมตกงาน ถ้ามัวตั้งกรอบให้ชีวิตว่าฉันจะต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้อย่างเดียว ผมคงไม่ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ หรือไม่มีประสบการณ์ใหม่ๆ แบบวันนี้ ในความคิดของผม คนเราต้องออกไปหาอะไรใหม่ๆ ไปเจอสังคมหลายๆ แบบ ได้รับรู้ความคิดของคนหลายประเภท ผมเองเคยเห็นมาทั้งคนที่ทำงานตั้งใจเพื่อให้ตัวเองไปถึงจุดสุดยอดของอาชีพที่ทำอยู่ แล้วก็คนที่…“มีงานทำก็บุญแล้ว”
แล้วคุณเคยมีความคิดประเภท “มีงานทำก็บุญแล้ว”บ้างไหมครับ
ผมไม่เคยคิดแบบนั้นนะครับ ทุกสิ่งที่ทำผมจะต้องทำให้ดีที่สุดถ้าผมเป็นเซลส์ก็ต้องเป็นเซลส์ที่ดีที่สุด หรือแม้แต่เป็นคนเก็บค่าทางด่วน ผมก็ต้องเป็นคนเก็บค่าทางด่วนที่ดีที่สุด เพราะว่าถ้าทำงานแบบอยู่ไปวันๆ วันหนึ่งผมก็จะเซ็ง เบื่อ แล้วก็ไม่อยากไปทำงาน เพราะตลอดมาผมเน้นว่า ในทุกงานที่ทำถ้าลองทำดูแล้วไม่มีความสุข ผมก็จะไม่ฝืน แต่ทุกอย่างต้อง “เต็มที่” หมดครับ ผมไม่อยากมานั่งเสียใจทีหลังเพราะว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย อีกอย่างถ้าเราไม่ทำในสิ่งที่อยากทำเพราะมัวแต่คิดว่าจะพลาด คุณก็พลาดตั้งแต่ไม่ได้ทำแล้ว สู้คิดว่าจะชนะตั้งแต่แรก แล้วทำให้เต็มที่ๆๆๆ ทุกครั้งดีกว่า พ่อผมสอนเสมอว่า ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน ผมก็เลยทำทุกงาน ทำก่อนแล้วคุณอาจเห็นค่าของงานนั้นๆ ในที่สุด
ทราบว่าคุณชอบอ่านหนังสือของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ด้วย ทำไมถึงชอบงานของท่านครับ
ผมชอบหนังสือของพระอาจารย์มิตซูโอะเพราะว่าอ่านง่ายครับ จริงๆ ผมชอบงานของท่าน ว.วชิรเมธี ด้วยนะ ผมว่างานของพระอาจารย์ทั้งสองท่านเป็นหนังสือที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับคนที่สนใจศึกษาเรื่องธรรมะ อย่างผมเองถ้าเป็นภาษาธรรมะทั้งหมดก็คงไม่เข้าใจ แต่ถ้ามีการแปลให้เป็นภาษาที่ผมเข้าใจว่า อ๋อ เป็นอย่างนี้นี่เอง เรื่องธรรมะก็จะกลายเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรายิ่งขึ้น
คุณอ่านหนังสือธรรมะมานานหรือยังครับ
ก็หลายปีอยู่นะครับ เริ่มจากอ่านเล่นๆ ก่อน พออ่านไปแล้วเข้าใจก็เลยสนุกไปกับมัน นอกจากนั้นยังเอามาปรับใช้กับชีวิตได้จริงๆ อย่างเรื่องการมีสติ การพูดโดยการเปิดใจรับฟังคนอื่นก่อน ทุกคนมีเหตุผลหมด ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาคอยแต่จะโกรธเขาอย่างเดียว ทุกคนมักจะมีเหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องทำอย่างนั้น ใจเย็นๆ อย่าไปคิดล่วงหน้าเยอะ (หัวเราะ)
เมื่อก่อนผมเป็นคนใจร้อนมาก ธรรมะมีส่วนสำคัญที่ช่วยลดความร้อนในใจผมลง ทุกวันนี้ใครที่โดนผมเกลียดนี่ถือว่าซวยสุดๆ (หัวเราะ) ผมว่านอกจากเพราะธรรมะก็คงเป็นเพราะอาชีพที่ทำด้วย ยิ่งตอนนี้เราโตเป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบมากขึ้น ไม่เหมือนตอนทำงานออฟฟิศ ที่พอรู้สึกว่าเซ็งก็จะโทร.ไปลางาน แต่ตอนนี้เราทำแบบนั้นไม่ได้ คน 50 – 60 คนรออยู่ที่กอง เราไม่ไปสักคนนี่ พวกที่ทำงานรายวันไม่มีตังค์กินข้าวเลยนะ ทำให้คนมีลูกมีเต้าย่ำแย่หมดทั้งครอบครัว บาปสุดๆ เลย ดังนั้น เราจึงต้องมีความรับผิดชอบให้มากๆ
คุณเป็นคน “เต็มที่กับชีวิต” แล้ว “ชีวิตที่เต็ม” สำหรับคุณเป็นอย่างไรครับ
การมีความสุขก็คือชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกครับ โดยสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขก็คือรอยยิ้ม ซึ่งเป็นความสุขที่หาซื้อไม่ได้ด้วยเงินทอง ต่อให้มีเงินล้านก็อาจจะไม่มีความสุข ไม่มีรอยยิ้มเลยก็ได้ ถ้าผมเป็น ปอ – ทฤษฎี แล้วไม่มีความสุขกับชีวิต ไม่มีรอยยิ้มให้กับตัวเองเลย ต่อให้เป็นนักแสดงที่มีคนรู้จักทั่วประเทศ ผมขอเลือกไม่เป็นดีกว่า
ตอนนี้ถือว่าชีวิตมีความสุขเต็มไปด้วยรอยยิ้มหรือยัง
มีความสุขครับ…แต่ยังไม่ถึงที่สุด เพราะผมยังไม่จบชีวิตไง แต่ก็ถือว่าตัวเองมีความสุขมากแล้วที่ได้ทำในสิ่งที่ไม่ได้ขัดกับความเป็นตัวเองเลย ตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามาเป็นนักแสดงจนถึงทุกวันนี้ ผมไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรไป เช่นเดียวกับเรื่องชีวิตส่วนตัวที่ครอบครัวยังคงมีความสำคัญมากๆ สำหรับผม ผมคงเป็นปอ – ทฤษฎี อย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณพ่อคุณแม่ แล้วก็คุณอาที่ทำให้ผมได้มาอยู่ในวงการนี้ รวมทั้งสอนผมในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะกับคำสอนของคุณอาเรื่องที่ว่า “เกียรติยศชื่อเสียงทั้งหมดที่เรามีล้วนเกิดขึ้นเพราะทุกคนมอบให้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวเรา” ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมยังคงยึดมั่นมาโดยตลอด ผมจึงอยากถือโอกาสขอบคุณทุกคนสำหรับความสุขและทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้รับมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
3 เรื่องที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับปอ – ทฤษฎี
1 ธนาคารไทยพาณิชย์คือที่ทำงานแห่งสุดท้ายก่อนที่นักแสดงหนุ่มผู้นี้จะเข้าวงการบันเทิงอย่างเต็มตัว
2 หนึ่งในรางวัลสำคัญที่เขาได้รับคือ รางวัลบุคคลต้นแบบ ด้านความโปร่งใสและซื่อตรง ประจำปีพุทธศักราช 2554 จากงานสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 5
3 เว็บไซต์ทางการของ ปอ-ทฤษฎี มีเพียงหนึ่งเดียวคือ www.facebook.com/porthrisadeeofficial
บทความน่าสนใจ
เอนกายคุยกันแบบ สบาย สบาย กับพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์
วิธีลดความอคติ ปรับตัวให้เข้ากับเจ้านายที่ทำงานไม่เก่ง โดยขุนเขา สินธุเสน (ชมคลิป)
12 ข้อคิดความรัก ที่จะทำให้คุณรู้จัก เข้าใจ และเติบโตไปพร้อมกับความรักในหัวใจ
คนเราเข้าวัดเพื่ออะไร? เรื่องน่าคิดจากพระไพศาล วิสาโล