มีคำกล่าวว่า “การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน” แล้วคนธรรมดาๆ ที่ยามว่างนอกจากจะชอบเข้าวัดแล้วยังชอบเข้าคอร์ส (ปฏิบัติธรรม) อย่างชาว Secret ล่ะ จะสามารถทำอะไรเพื่อชาติบ้านเมืองได้บ้าง… เราควรจะต้องเลือกสีเลือกข้างหรือจะอยู่แบบไร้สังกัดต่อไป ช่วยชาติ
พระอาจารย์คะ ในฐานะที่เป็นคนธรรมดาๆ เราจะทำอะไรเพื่อชาติบ้านเมืองได้บ้างคะ
ถ้าพูดถึงชาติบ้านเมือง “ความสามัคคี” ต้องมาก่อน ที่จริงสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับประเทศชาติคือประชาชน ถ้าประชาชนมีความสุข ประเทศก็แข็งแรงและเข้มแข็ง ถ้าประชาชนมีความทุกข์ ประเทศก็สั่นคลอนอ่อนแอ เพราะฉะนั้นการช่วยชาติวิธีหนึ่งก็คือ การทำให้ตัวเองมีความสุขและสามัคคีกัน ซึ่งการที่บุคคลจะมีความสุขได้นั้นต้องเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติธรรม
ปฏิบัติธรรมในที่นี้ หมายถึงการเจริญสติเหรอคะ
อันนั้นก็ใช่ แต่เราควรหาโอกาสนั่งสมาธิ ดูกายดูจิตเป็นประจำด้วย การนั่งสมาธิคือการทำจิตให้นิ่ง อาจเริ่มจากการสวดมนต์ไหว้พระ แผ่เมตตาก็ได้
ความสามัคคีปรองดองเป็นสิ่งที่คนในชาติทุกคนต้องร่วมกันสร้าง ซึ่งเดี๋ยวนี้อาจสร้างยากกว่าสมัยก่อน ถ้าเป็นเมื่อก่อนการทะเลาะเบาะแว้งมักเป็นเรื่องของตัวบุคคล มีผู้นำไม่กี่คนที่แตกแยก แต่ทุกวันนี้เหตุปัจจัยของบ้านเมืองต่างออกไป ผู้นำที่มีความคิดไม่ลงรอยกัน ต่างฝ่ายต่างพยายามดึงประชาชนมาเป็นฐานเสียง ใช้จำนวนประชาชนในการต่อรองเรียกร้องผลประโยชน์ คนในสังคมจึงแตกแยกกันมาก
เพราะฉะนั้นในฐานะประชาชน ขอเพียงเรารับผิดชอบหน้าที่ของตนให้ดี และรักษาความเป็นกลางให้มากๆ ไม่เข้าข้างนั้น ออกข้างนี้ ไม่เข้าไปแก่งแย่งอะไรกับใครทั้งสิ้น สักวันผู้ที่ขัดแย้งกันก็ต้องล้มหายตายจากไป แล้วความมั่นคงของชาติก็จะกลับมาเหมือนเดิม
แต่คนที่เขายอมตัวไปเป็นฐานเสียงของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เขาก็มั่นใจแล้วว่าสิ่งที่เขาทำคือสิ่งที่ถูกต้องนี่คะ
คนเลือกเขาก็เลือกตามที่ใจชอบ ซึ่งเลือกแล้วอาจจะไม่สุขก็ได้หรือสิ่งที่คิดว่าถูกอาจไม่ถูกก็ได้ มันไม่แน่นอนและไม่ใช่สุขที่แท้จริง แต่ถ้าเรามาแสวงหาความสุขในอีกมุมหนึ่ง คือการหาความสุขด้วยการสวดมนต์ไหว้พระ ปฏิบัติธรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิ ไม่ต้องไปแก่งแย่งชิงดี ไม่ต้องลุ้นว่าใครจะได้ใครจะเสีย แล้วก็ไม่ต้องเป็นฐานเสียงให้ใครทั้งนั้น อย่างนี้สุขกว่าเป็นไหนๆ
เคยคิดไหมว่าการที่เราไปเป็นฐานให้เขา ที่จริงคือการเอาตัวเข้าไปเป็นฐานรองเพื่อให้คนอื่นสูงขึ้นเท่านั้น แต่ผลเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ เพราะ “ฐาน” แปลว่า ที่รอง ที่ยืน ที่เหยียบย่ำ ถ้าเราเป็นตัวของตัวเอง มีความมั่นคง ใครจะแตกแยกกัน เราก็ไม่แตกแยกกับเขา ถ้าเราหนักแน่นอย่างนี้ได้ เราจะไม่กลายเป็นฐานของผู้นำกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะเป็นฐานกำลังที่มั่นคงของประเทศชาติแทน
แต่คนก็ยังเถียงนี่คะว่าการปฏิบัติธรรมเป็นการหาความสุขให้แต่ตัวเอง แถมคนไม่น้อยยังติว่า ถ้าเราไม่เลือกข้างและไม่แสดงออกทางการเมือง เท่ากับเราไม่รักชาติ
คนเราก็ว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกกันทุกคน ถามว่าเราใช้อะไรแน่ในการตัดสินและรับรองความถูกความผิด เมื่อเกิดความคิดอยากได้อยากมีขึ้นมา คนที่เป็นฝ่ายได้ก็ต้องบอกว่าตนควรได้เพราะตนเป็นฝ่ายถูก และสภาวะนั้นๆ ดีอยู่แล้ว ส่วนคนที่สูญเสียก็จะบอกว่าตนเป็นผู้เสียหาย ถูกเอาเปรียบ ต้องแก้ไขและเปลี่ยนแปลงภาวะที่เกิดขึ้น จะเห็นว่าใครๆ ก็คิดว่าตัวเองถูกกันทั้งนั้น สังคมเต็มไปด้วยความโอนเอียง และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาวะแห่งการแย่งอำนาจกันแค่นั้นเอง
แต่ถ้าเราทำตัวเองให้มั่นคงเสียอย่าง ไม่ต้องวิ่งตามเขา ไม่ทุกข์ตามเขา เราก็จะไม่ถูกชักจูงไป บ้านเมืองก็อยู่ได้ ส่วนใครจะไปทางไหนก็ต้องปล่อยเขา แล้วธรรมชาติจะตัดสินเองว่าคนที่ดีจะอยู่รอด ส่วนคนที่ไม่ดีจะอยู่ไม่ได้ และสุดท้ายทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม
ไม่ว่าอย่างไร ธรรมะก็จะชนะอธรรมหรือคะ
ท้ายที่สุดธรรมะก็ต้องชนะ แต่กว่าจะชนะ บางทีก็ต้องสะบักสะบอมหน่อย นี่พูดในกรณีที่คนในสังคมมีธรรมะกันน้อย แต่อย่างไรธรรมะก็ต้องชนะจนได้ แต่ตอนที่ยังไม่เห็นผลชี้ขาดเราก็ต้องอาศัยเวลาบ้าง
ถ้าเรานั่งสมาธิหรือสวดมนต์ช่วยชาติเนื่องในโอกาสสำคัญๆ จะช่วยได้ไหมคะ
ได้สิ ถือว่าวันสำคัญเป็นวาระที่ดีในการทำเพื่อประเทศชาติ จะรวมกลุ่มกันสวดมนต์ไหว้พระ เดินจงกรม ปฏิบัติธรรม สร้างเป็นกิจกรรมในกลุ่มคนใกล้ชิด หรือจะสร้างกลุ่มขึ้นมาใหม่อีกกลุ่มก็ได้ เป็นกลุ่มใฝ่สันติ มุ่งความสงบ ไม่ปรารภความรุนแรง
ทำแบบนี้จะมีอานิสงส์ส่งถึงบ้านเมืองได้จริงหรือคะ
อานิสงส์ได้กับตัวเรา เราปฏิบัติธรรม เราก็ได้บุญกุศล ได้ความสุข คิดดู ถ้าหลายคนมีความสุข สังคมก็มีความสุข ถ้าสังคมน้อยใหญ่มีความสุข ประเทศชาติก็อยู่รอดและเข้มแข็ง
แล้วมีบทสวดมนต์บทไหนคะ ที่จะให้อานิสงส์ถึงชาติบ้านเมืองได้โดยตรง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทั่วไปหรือเรื่องการเมืองก็ให้สวดมนต์บทแผ่เมตตา แผ่ความปรารถนาดีให้ทุกผู้ทุกคนให้พ้นจากภัยพิบัติ หรือจะสวดพระปริตรบทใดบทหนึ่งก็ได้ บทสวดมนต์ทุกบทเป็นมงคลทั้งสิ้น และการที่เราสวดมนต์ก็เพื่อให้จิตนิ่งเป็นสมาธิเท่านั้นเอง เมื่อจิตนิ่งแล้ว ใจคอก็จะหนักแน่นมั่นคง แล้วเราจะค่อยๆ หาความสมดุลของตัวเองได้ โดยไม่รู้สึกหวั่นไหวว่าต้องหาที่พึ่งหรือฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ข้อใหญ่ใจความของการสวดมนต์คือการทำให้จิตนิ่ง แต่การเดินจงกรม นั่งสมาธิ เจริญปัญญา มีอานิสงส์สูงกว่าและมีพลังมากกว่าชนิดเทียบกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นใครที่ประกาศว่ารักชาติบ้านเมืองยิ่งชีพ ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการปฏิบัติธรรมเป็นประจำ ปฏิบัติจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง พระอาจารย์มานพ อุปสโม
เรียบเรียง นภ