ความกตัญญู

มหัศจรรย์แห่งความกตัญญู

ฉันชอบคํากล่าวที่ว่า “Be wise enough not to trust in miracles but be foolish enough to believe in one.” หรือ “จงฉลาดพอที่จะไม่งมงายในความมหัศจรรย์แต่จงโง่เขลาพอที่จะเชื่อว่ามันมีอยู่จริง” เพราะการที่คนเรามีความเชื่อในอะไรที่อยู่เหนือธรรมชาติ หรือพิสูจน์ไม่ได้ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ก็ทําให้เรามีความหวังว่าจะมีอะไรที่แปลกประหลาดหรือมหัศจรรย์เกิดขึ้นกับเราได้ โดยเฉพาะเมื่อเรากําลังตกอยู่ในความทุกข์หรือหมดหวังในชีวิต ความกตัญญู

ฉันเองเคยอยู่ในภาวะนั้น เมื่อแม่ซึ่งมีสุขภาพแข็งแรงต้องประสบอุบัติเหตุรุนแรงจนกลายเป็นอัมพาตทั้งตัวภายในชั่วข้ามคืน ฉันพยายามทําทุกวิถีทางที่จะไม่ให้แม่ต้องพิการไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือไสยศาสตร์ ฉันไม่เคยยอมจํานนต่อคําตัดสินของหมอคนไหน และคิดเสมอว่าต้องมีทางอื่นที่เป็นไปได้ ฉันจึงพาแม่ไปรักษาทุกโรงพยาบาลที่ใครบอกว่ามีหมอเก่งทั้งในและต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็ทําบุญสะเดาะเคราะห์และอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทุกหัวระแหง…แต่ปาฏิหาริย์ก็ไม่มีจริงสําหรับแม่ ฉันจึงได้แต่คิดว่าคงเป็นกรรมเก่าที่แม่ทําไว้ชาติที่แล้ว เพราะชาตินี้แม่เป็นคนที่ดีที่สุดในสายตาของทุกคน

ถึงแม้จะหมดหวัง แต่ฉันก็ไม่เคยท้อแท้ที่จะดูแลแม่และทําชีวิตที่เหลืออยู่ของแม่ให้มีคุณภาพที่สุด เพราะแม่ยังสมองดีและรับรู้ทุกอย่าง ระยะแรกฉันไปหาแม่ทุกวันที่ทําได้ ไม่ว่าแม่จะต้องไปรักษาตัวอยู่ไกลแค่ไหน บางครั้งฉันต้องขับรถไปถึงต่างจังหวัดเพื่อดูแลแม่ แล้วก็กลับมาเยี่ยมพ่อที่อีกโรงพยาบาลหนึ่ง

ในช่วงที่พ่อล้มเจ็บเพราะไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ ฉันต้องทําทุกอย่างคนเดียว เนื่องจากตอนนั้นน้องคนหนึ่งอยู่ต่างจังหวัดและอีกคนอยู่ต่างประเทศ บางวันฉันเหนื่อยจนต้องร้องไห้ขณะขับรถ เพราะไม่อยากให้พ่อแม่เห็นฉันอ่อนแอ แต่ก็ไม่เคยนึกเบึ่อที่จะทําสิ่งเหล่านี้ ตรงกันข้าม ฉันภูมิใจและมีความสุขที่ได้ดูแลคนที่ฉันรักและรักฉันมากที่สุด น่าเสียดายที่พ่อมาด่วนจากฉันเร็วเกินไป ฉันเสียใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อคิดว่าควรจะได้ตอบแทนพระคุณท่านมากกว่านี้ ฉันตั้งใจไว้ว่าจะไม่ให้ตัวเองต้องรู้สึกผิดที่ไม่ได้ทําอะไรจนสุดความสามารถอีก เมื่อแม่ออกจากโรงพยาบาล ฉันจึงดูแลเอาใจใส่ท่านอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทําได้ พาท่านไปทุกหนทุกแห่งเพื่อให้ท่านคลายทุกข์ ถึงแม้บางแห่งจะลําบากมากสําหรับคนพิการ ฉันก็ไม่เคยย่อท้อ ถ้าฉันได้เห็นอะไรที่สวย แม่ก็ต้องได้เห็นด้วย และถ้าฉันได้กินอะไรที่อร่อย แม่ก็จะต้องได้กิน

จะว่าไปฉันเป็นโรคติดพ่อแม่มาตั้งแต่เด็กๆ จําได้ว่าวันแรกที่เข้ามหาวิทยาลัย ฉันยืนน้ำตาซึมหน้าเสาธงเพราะคิดถึงพ่อแม่ และไม่เคยไปเข้าค่ายหรือไปต่างจังหวัดกับใครก็เพราะเหตุนี้ จนเรียนจบฉันก็ไม่คิดจะไปเรียนต่อทั้งที่สามารถทําได้ เพราะไม่อยากจากบ้าน และเมื่อแต่งงาน ฉันก็หาซื้อบ้านให้อยู่ใกล้บ้านพ่อแม่ที่สุด จนกระทั่งทุกวันนี้ นับเป็นเวลาร่วมสิบห้าปีที่ฉันเลือกไปป้อนข้าวกลางวันแม่แทนที่จะไปกินข้าวกับเพื่อนหรือเดินช็อปปิ้ง เพราะฉันรู้ว่าเวลาที่จะทําสิ่งเหล่านั้นยังมีอีกมาก ในขณะที่เวลาของคนที่รักฉันมากที่สุดเหลือน้อยลงทุกที

และเพราะความรักและความผูกพันที่ฉันมีต่อพ่อแม่นี่เองที่ทําให้ฉันได้พบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต นับตั้งแต่การตั้งใจเรียนหนังสือตามที่ท่านสั่งสอน จนสอบได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ได้ทํางานในองค์กรที่มั่นคงตามคําแนะนําของท่าน ซึ่งนอกจากจะทําให้ฉันมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการแล้ว ยังทําให้ฉันได้มีโอกาสไปเที่ยวเกือบทั่วโลก แถมที่ทํางานยังอยู่ใกล้บ้านนิดเดียว ทําให้ชีวิตฉันสะดวกสบายด้วยประการทั้งปวง จนถึงการเลือกคู่ครอง ซึ่งฉันได้ตกลงปลงใจกับคนที่พ่อแม่เห็นว่าเป็นคนดีและเข้ากับครอบครัวฉันได้ นี่ทําให้ฉันได้พบกับผู้ชายดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง และฉันคิดว่าการได้คู่ครองที่ดีนั้นนับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของชีวิตจริงๆ!

 

ความกตัญญู

 

นั่นเป็นเรื่องใหญ่ๆ ที่มีเหตุผลเกี่ยวเนื่องกัน แต่ตลอดเวลายังมีเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ แต่แปลก ที่ทําให้ฉันเชื่อว่ามีเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยเฝ้ามองดูพฤติกรรมของฉันและช่วยเหลือฉันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการทํางาน ซึ่งนอกจากฉันจะมีเจ้านายและเพื่อนร่วมงานที่ดีแล้ว ทุกครั้งที่เกิดปัญหาก็มักมีทางออกที่ทําให้ฉันไม่เดือดร้อน หรือแม้แต่การเดินทางไปไหนมาไหน ซึ่งฉันสังเกตว่าเวลาฉันจะไปหาแม่หรือพาแม่ไปเที่ยว บางครั้งฉันเข้าไปอยู่ในเส้นทางที่รถติดมากๆ แต่ฉันก็สามารถไปถึงได้ในเวลาที่กําหนดทุกครั้ง

แล้วก็มีเรีองประหลาดเกิดขึ้นตอนกลางวันของวันหนึ่งในหน้าฝน ฉันต้องออกไปธุระแถวๆ ที่ทํางาน แต่ฉันออกมาผิดเวลา ซึ่งตามธรรมดาจะไม่มีรถแท็กซี่วิ่งเข้ามาในบริษัท แต่พอฉันเดินมาหน้าอาคารก็มีรถแท็กซี่คันหนึ่งขับมาจอดข้างหน้าฉัน ตอนนั้นฝนเริ่มตั้งเค้า และพอรถออกตัวไปได้ไม่นานฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ฉันเป็นกังวลมากเพราะไม่ได้เตรียมร่มมา และจะต้องกลับเข้าไปทํางานอีก ฉันคิดว่าไม่ควรลืมร่มเลย นี่ตอนลงจากรถคงเปียกไปทั้งตัว เพราะตรงนั้นไม่มีกันสาด แต่ถึงมีร่มก็คงเอาไม่อยู่ เพราะฝนตกแบบไม่ลืมหูลืมตาทีเดียว “ถ้ามีใครกางร่มคันใหญ่ๆ มารอรับก็ดีสิ” ฉันคิดเล่นๆ

ไม่นานรถก็มาถึงร้านที่ฉันต้องการ ฉันก้มลงหยิบกระเป๋าโดยไม่รู้ว่าจะลงจากรถอย่างไร แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนถือร่มคันใหญ่เบ้อเริ่มอยู่หน้าร้านนั้น ฉันดีใจมาก รีบไขกระจกตะโกนเรียกให้เขามารับ เขาพาฉันไปส่งที่ร้านแล้วก็เดินจากไป ฉันนึกดีใจในเหตุบังเอิญที่ทําให้ฉันไม่เปียกเลยแม้แต่น้อย แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อเด็กๆ ในร้านพากันถามฉันว่า “ใครกางร่มมาส่งพี่เหรอคะ” ฉันตอบว่า “อ้าว ไม่ใช่เด็กของที่นี่หรือจ้ะ” “ไม่ใช่นี่คะพี่” “งั้นคงเป็นของร้านกาแฟละมั้ง” ฉันเดา แต่เด็กๆ ก็ยืนยันว่า “ร้านกาแฟก็เจ้าของเดียวกับที่นี่ เราไม่มีร่มแบบนั้นหรอกค่ะ” และแถวนั้นก็ไม่มีร้านอื่นอีก!!

ฉันรู้สึกงงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาจเป็นความบังเอิญที่ผู้ชายคนนั้นถือร่มคันใหญ่เดินมายังสถานที่นั้นในเวลาที่ฉันต้องการ ฉันไม่กล้าคิดหรอกว่าเทวดาส่งเขามาช่วยฉัน เพราะมันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ (แต่ฉันก็ขอบคุณท่าน เผื่อท่านส่งมาจริงๆ) แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาอธิบาย และยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่คล้ายๆ กันเกิดขึ้นกับฉันเสมอๆ

ฉันจึงได้แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่า เทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองฉัน (ความจริงมีคนบอกว่าพวกเรามีกันทุกคน) ท่านคงเห็นความดีในตัวฉันกระมัง ที่นอกจากจะทดแทนพระคุณพ่อแม่แล้ว ฉันยังไม่เคยลืมทุกคนที่ทําให้ฉันได้มีวันนี้ และจะหาทางตอบแทนเสมอเมื่อมีโอกาส เทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงคอยคุ้มครองช่วยเหลือเวลาที่ฉันเดือดร้อน (ทุกครั้งที่ทําบุญ ฉันจึงอุทิศส่วนกุศลให้ท่านและให้เทวดารวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองคนที่ฉันรักทุกคนด้วย เพื่อท่านจะได้ดลบันดาลให้พวกเขามีความสุข)

อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้คิดว่าตัวเองมีความดีวิเศษมากไปกว่าใคร หรือเป็นลูกกตัญญูอย่างที่หลายคนบอก เพราะฉันไม่ได้ทําอะไรที่ลําบากยากเข็ญแบบเด็กยอดกตัญญูที่ฉันเคยอ่านพบในหนังสือพิมพ์ ที่เขาเดินไปกลับโรงเรียนวันละหลายสิบกิโลเมตรเพื่อไปป้อนข้าวแม่พิการในตอนกลางวัน ฉันเพียงแต่ทําในสิ่งที่ฉันทําได้ให้ดีที่สุด และฉันอยากจะบอกว่า ความสําคัญไม่ได้อยู่ที่ทําอะไรมากแค่ไหน แต่อยู่ที่ทําอย่างไรต่างหาก นั่นคือต้องทําด้วยความเต็มใจและสุขใจที่ได้ทํา ไม่ใช่ทําเพราะเป็นหน้าที่ แต่ต้องด้วยความรักความใส่ใจ และความปรารถนาที่จะให้พ่อแม่มีความสุขอย่างแท้จริง โดยไม่หวังว่าจะได้อะไรตอบแทน แต่นั่นแหละ บุญก็คือบุญ เราจะต้องการหรือไม่แต่เราก็คงได้รับเอง และถ้า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” ฉันก็คิดว่าฉันได้ขึ้นสวรรค์แล้วในวันที่แม่ฉัน (ซึ่งหมอบอกว่าขณะนี้เป็นโรคสมองเสื่อม) ยิ้มอย่างสดชื่นขณะที่มองฉันด้วยความซาบซึ้ง แล้วบอกกับฉันว่า “แม่ดีใจมากที่ลูกมาดูแลแม่ ซื้อของมาให้แม่กิน ขอบใจมากนะลูกรัก” ฉันถามว่าแม่จําได้หรือว่าฉันมาบ่อยๆ แม่บอกว่า “แม่จําไม่ได้หรอก แต่แม่รู้”

ฉันดีใจเหลือเกินที่ในท่ามกลางความหลงลืมและสับสน แม่ยังรับรู้ได้ว่าฉันรักแม่แค่ไหน แล้วแม่ก็อวยพรฉันเสียยาวเหยียดอาจเป็นเพราะพรของแม่ก็ได้ที่ทําให้ฉันได้รับแต่สิ่งดีๆ เพราะฉันเชื่อว่าไม่มีพรใดจะศักดิ์สิทธิ์มากไปกว่าคําอวยพรของพ่อแม่…และนี่กระมังคือ “มหัศจรรย์แห่งความกตัญญู”

 

ที่มา  นิตยสาร Secret

เรื่อง  ทิพถวิล

Image by truthseeker08 from Pixabay

Secret Magazine (Thailand)

IG @Secretmagazine

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.