ชีวิตที่เหลือของลูก เมื่อได้ยินแม่พูดว่า “เอามันไปทิ้งที่ไหนก็ไป เดี๋ยวมันก็ตายแล้ว!”
ฉันเกิดที่ชลบุรี มีพี่น้องทั้งหมด 6 คน บ้านเรายากจนมาก พ่อแม่ต้องแยกย้ายกันไปทำงาน หน้าที่ดูแลน้อง ๆ และงานบ้านทั้งหมดจึงตกเป็นของฉัน แต่ต่อให้ฉันทำดีแค่ไหนแม่กลับไม่เห็นความดีของฉันเลย แต่กับน้องสาวที่หน้าตาดีแม่ปล่อยให้ออกไปเที่ยวเล่นได้ตามอำเภอใจ
กิจวัตรประจำวันที่ฉันต้องทำก่อนไปเรียนหนังสือคือตักน้ำใส่โอ่ง ดูแลน้อง ๆ และจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ซึ่งทำให้ฉันต้องถูกครูทำโทษให้ถางหญ้าในสนามของโรงเรียน 1 ตารางเมตรแทบทุกวันเพราะไปสาย พอจบชั้น ป. 4 แม่จะไม่ให้เรียนต่อ ฉันเสียใจมากถึงกับอดข้าวประท้วง โชคดีที่ครูช่วยมาคุยกับแม่ว่า
“เด็กคนนี้เป็นเด็กขยัน เรียนดี ขี้โรคด้วย ทำงานหนักคงไม่ไหว ให้เรียนต่อเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องเสื้อผ้าค่าใช้จ่าย ผมจะจัดหาให้เอง”
แม่จึงจำต้องให้ฉันเรียนต่อเพราะเกรงใจครู ทั้งที่ใจจริงอยากให้ฉันออกจากโรงเรียนมาช่วยทำงานบ้านมากกว่า
ฉันเป็นเด็กขี้โรค เลือดจาง และเป็นโรคลำไส้อ่อนแอ ทำให้เจ็บออด ๆ แอด ๆ มาตลอด จนวันหนึ่งฉันไม่สบายถ่ายท้องหนักมาก ฉันได้ยินแม่พูดว่า
“เอามันไปทิ้งที่ไหนก็ไป เดี๋ยวมันก็ตายแล้ว”
ฉันทั้งน้อยใจและเคียดแค้น เพราะพ่อจัดแจงห่อร่างที่ไร้เรี่ยวแรงใกล้ตายของฉันขึ้นเกวียนไปบ้านป้าสะใภ้ ตอนนั้นในใจฉันไม่มีแม่อีกแล้ว มีแต่ป้าคอยดูแลเช็ดอุจจาระและเฝ้าไข้จนฉันหายเป็นปกติ ฉันอยู่กับป้าสะใภ้จนเรียนจบ ป. 7 เมื่อสุขภาพดีขึ้น แม่ก็อยากให้ลาออกจากโรงเรียนไปช่วยงานที่บ้าน ฉันจึงหนีเข้ากรุงเทพฯ ไม่อยากกลับไปอยู่กับแม่อีกแล้ว
เมื่อมาถึงกรุงเทพฯ ฉันรีบหางานทำทันที อะไรที่ทำแล้วได้เงินฉันยอมทำทุกอย่าง ทั้งรับจ้างเข็นผัก ส่งของอยู่แถวตลาดบางแค ต่อมามีคนที่อยู่แถวบ้านเห็นฉันขยันทำงานจึงอยากให้แต่งงานกับลูกชายของเธอ ฉันตอบตกลงเพราะคิดแค่ว่าการแต่งงานจะช่วยให้ชีวิตฉันดีขึ้น
หลังแต่งงานได้เดือนเศษ ฉันตั้งท้องลูกชายคนแรกในขณะที่สามีไปทำงานที่พระประแดง นาน ๆ จะกลับบ้านสักครั้ง เมื่อกำลังจะเป็นแม่คน ฉันเริ่มเข้าใจความรู้สึกของแม่ทำให้ฉันอยากกลับไปหาแม่ แต่สามีไม่ยอมให้ไป เพราะฉันเคยเล่าเรื่องแม่ให้เขาฟัง เขาบอกอย่างโกรธ ๆ ว่า
“จะกลับไปทำไม แม่ทำไม่ดีกับเธอขนาดนั้น เธอแต่งงานมีครอบครัวใหม่แล้ว ทำไมต้องกลับไปหาครอบครัวเก่า อยากกลับก็กลับไป เอาเงินไปแค่นี้แหละ”
เงินแค่นี้คือ 20 บาท ซึ่งไม่พอแม้จะเป็นค่ารถไปชลบุรีด้วยซ้ำ ฉันได้แต่กลืนความผิดหวังเอาไว้
ตอนแรกแม่สามีดีใจมากที่ฉันท้องเพราะอยากได้หลานมานาน แต่พอคลอดลูกออกมาเป็นผู้ชาย แม่สามีกลับไม่พอใจเพราะอยากได้หลานสาวมากกว่า จากที่เคยเอ็นดูชื่นชมก็เปลี่ยนเป็นห่างเหิน ยิ่งพอลูกคนที่สองของฉันเป็นผู้ชายอีกเช่นกันแม่สามีก็แทบจะเลิกติดต่อกับฉันไปเลย
ฉันพยายามอดทนทำงานทุกอย่างแบบหามรุ่งหามค่ำเพื่อจะเก็บเงินให้ได้มากที่สุด โดยไปสมัครเป็นพนักงานโรงแรมรับจ้างเก็บผัก วินมอเตอร์ไซค์ รับจ้างเย็บกระโปรง แต่กลายเป็นว่าทำให้สามีไม่พอใจ
“ทำงานอย่างกับคนไม่เคยเห็นเงิน”
ฉันคิดว่าสาเหตุจริง ๆ ที่เขาไม่พอใจคงเป็นเพราะฉันไม่ยอมมีอะไรกับเขา เมื่อความเครียดเรื่องแม่สามีและสามีรุมเร้านานวันเข้า ฉันก็ทำเรื่องสิ้นคิดที่สุดนั่นคือกินยานอนหลับ 14 เม็ดเพื่อจะฆ่าตัวตาย
ปรากฏว่าเพื่อนข้างบ้านมาพบฉันนอนอ่อนแรง น้ำลายฟูมปากอยู่บนพื้นห้อง ตอนนั้นฉันไม่รู้สึกถึงแรงเขย่าหรือเสียงเรียกของใครเลย รู้แต่ว่าตัวเองกำลังลอยห่างออกไปทุกที และหลังจากนั้นฉันก็หมดสติไป
ระหว่างนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันมาฉุกคิดได้ว่าไม่น่าทำเรื่องสิ้นคิดแบบนี้ก็เมื่อมีพระมาเทศน์ให้ฟัง ตั้งแต่นั้นมา ฉันคิดได้ว่าต่อไปไม่ว่าจะท้อแท้อย่างไรก็จะไม่ฆ่าตัวตายอีกเพราะถ้าฉันตายไปแล้ว ลูกทั้งสองคนจะทำอย่างไร คนที่รักฉันก็ยังมี หลังจากเหตุการณ์นี้ไม่นานสามีก็ขอหย่า โดยฉันต้องรับภาระเลี้ยงลูกชายทั้งสองคนเองตามลำพัง
ฉันดิ้นรนทำงานทุกอย่างเพื่อหาเงินเลี้ยงลูก วันหนึ่งเห็นข่าวการประกวดออกแบบจิเวลรี่ ฉันจึงลองออกแบบส่งไปทั้ง ๆ ที่ไม่มีความรู้ด้านนี้เลย อาศัยคิดและจินตนาการเอาเอง ปรากฏว่างานของฉันได้รับคัดเลือกให้นำไปใช้ผลิตงานจริง ๆ ทำให้ฉันมีรายได้เพิ่มอย่างมากจนเรียกว่าลืมตาอ้าปากได้
ฉันส่งเงินไปให้พ่อกับแม่เพื่อซื้อพันธุ์ข้าวทำนา ส่งเสียน้องให้ได้เรียนหนังสือ ส่งข้าวของเสื้อผ้าไปให้แม่ แม้ว่าท่านจะยังไม่สนใจไยดีฉันนัก
เมื่อเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ฉันเปิดวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างของตัวเอง มีลูกน้องหลายคน รวมทั้งปล่อยเงินกู้ด้วย ซึ่งใคร ๆ ก็เรียกฉันว่า “ซ้อ” แต่ช่วงชีวิตที่กำลังจะไปได้ด้วยดีกลับต้องสะดุดลงอีกครั้ง เพราะลูกน้องไปก่อเหตุยิงนายทหารเสียชีวิตซึ่งเป็นข่าวครึกโครมอยู่ระยะหนึ่ง ฉันถูกควบคุมตัว เพราะใคร ๆ รวมทั้งตำรวจคิดว่าฉันมีส่วนพัวพันในฐานะจ้างวานฆ่า
ฉันอับอายมากเพราะเป็นคำกล่าวหาที่รุนแรง แม้จะไม่มีพยานหลักฐานว่าฉันเกี่ยวข้องด้วย แต่ญาติของผู้เสียชีวิตไม่เชื่อ ส่งชายฉกรรจ์มาข่มขู่จะอุ้มฆ่าฉัน ฉันต้องหนีเอาชีวิตรอด ไปซ่อนตัวที่บ้านเพื่อนตามจังหวัดต่าง ๆ ทีละเดือนสองเดือน จะติดต่อใครก็ต้องระวังตัวไปหมด ถึงขนาดเคยปลอมตัวทาแป้งเป็นพม่ารับจ้างเข็นปลาอยู่ที่สะพานปลาก็ทำมาแล้ว หลังจากหลบซ่อนตัวอยู่ 18 เดือนก็กลับมาฟังคำพิพากษาของศาล
วันตัดสินคดี ฉันไม่ให้คนที่บ้านตามไปด้วย เพราะไม่อยากให้ลูกเห็นว่าถูกจับไปเข้าคุก มีเพียงแค่ลูกน้องคนสนิทไม่กี่คน ตอนนั่งฟังคำพิพากษา ตัวฉันชาไปหมด ไม่รับรู้อะไร ตอนนั้นเตรียมใจไว้แล้ว
“ศาลพิเคราะห์แล้วว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ พิพากษายกฟ้อง”
ฉันยืนทำความเคารพศาลอย่างงง ๆ ลูกน้องที่ไปด้วยเขย่าตัวฉันและพร่ำบอกว่าฉันคือผู้บริสุทธิ์ แต่ฉันตัวชาไปหมด สิ่งแรกที่ทำไม่ใช่การฉลอง แต่เป็นการไปไหว้พระ
หลังจากนั้นฉันท้องผูกเรื้อรัง ไม่สามารถขับถ่ายเองได้ต้องสวนทวารเป็นเวลานานถึงสี่ปี ท้องฉันบวมแข็งจนเวลาไปหาหมอที่ไหนเขาก็ว่าฉันตั้งครรภ์ หลังจากไปตรวจอย่างละเอียดก็พบว่าเป็นมะเร็งลำไส้
ในยามที่ท้อแท้ใจแสนสาหัสด้วยอาการป่วยที่เหมือนรอวันตาย ฉันก็ได้พบกับเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะมีชีวิตต่อไป นั่นคือในวันที่หมอบอกว่าฉันเป็นมะเร็งลำไส้ ฉันเสียใจมาก ฉันนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านด้วยจิตใจห่อเหี่ยว ระหว่างทางรถติดมาก จึงลงจากรถแท็กซี่เดินมาเรื่อย ๆ จึงรู้ว่าสาเหตุที่รถติดมากเพราะมีอุบัติเหตุหญิงสาวถูกรถชนเสียชีวิต ฉันเห็นศพผู้หญิงถูกปิดด้วยหนังสือพิมพ์ รถมอเตอร์ไซค์ที่เธอขับมาพังยับ กับข้าวที่เตรียมไว้ให้ครอบครัวกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ฉันได้ยินเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งให้คนที่โทร.เข้ามาว่า
“ภรรยาคุณประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตแล้วครับ”
เหตุการณ์นี้ทำให้ฉันได้คิดว่า มะเร็งเรื่องเล็กมาก ตายโหงน่ากลัวกว่า ฉันเป็นมะเร็ง ไม่ว่าจะรักษาหายหรือไม่ก็ตาม ฉันยังมีโอกาสมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่เหมือนผู้หญิงที่นอนอยู่กลางถนนคนนั้น ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งร่ำลาคนในครอบครัว เมื่อกลับมาถึง ฉันบอกทุกคนว่าเป็นมะเร็งและไม่ต้องตกใจ ฉันตัดสินใจว่าจะยังไม่ผ่าตัดลำไส้เพื่อรักษาโรคมะเร็ง เพราะเวลานั้นพ่อป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเช่นกัน ฉันอยากดูแลพ่อก่อน หลังจากที่พ่อเสีย ฉันจึงเข้าผ่าตัด รวมทั้งรักษาโดยใช้ธรรมะ ด้วยการสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม
หลังอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้ดีขึ้น ฉันหันมาทำงานอาสาสมัครหลายอย่าง เช่น มาเป็นสมาชิกชมรมดูแลผู้ป่วยจิตเวช เป็นประธานชุมชน สอนงานฝีมือแก่ผู้สูงอายุและเด็ก ซึ่งล้วนแต่เป็นงานที่ทำให้ฉันมีรอยยิ้มทุกครั้งที่นึกถึง
มาถึงวันนี้ ลูกชายทั้งสองคนก็เป็นเจ้าของธุรกิจกันหมดแล้ว หมดห่วงเรื่องลูก ส่วนฉันก็พอมีเงินทองใช้ไปจนตาย ที่สำคัญ ได้ทดแทนพระคุณแม่ผู้ให้กำเนิดและป้าสะใภ้ซึ่งเป็นแม่ผู้ให้ชีวิตใหม่
ฉันอยากขอบคุณแม่ ถ้าแม่ไม่ลำเอียงเลี้ยงฉันมาแบบนั้น ฉันคงไม่บึกบึนเอาชีวิตรอดมาได้ และมีความสุขตามควรแก่อัตภาพในบั้นปลายชีวิตแบบนี้
ข้อคิดจากพระอาจารย์ภาสกร ภูริวฑฺฒโน ภาวิไล
พ่อแม่และลูกเป็นเจ้ากรรมนายเวรซึ่งกันและกัน การได้ไปเกิดเป็นลูกก็เพราะเราเป็นเจ้ากรรมนายเวรของพ่อแม่ ไปอาศัยท่านเป็นแดนเกิด ให้ท่านอุ้มท้องเราจนคลอดออกมาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ แต่แน่ละ ลูกแต่ละคนก็มีมูลหนี้ไม่เท่ากัน พี่น้องจึงมักรู้สึกว่าพ่อแม่รักไม่เท่ากัน แต่กระนั้นตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ มีชีวิตอยู่ เราก็เป็นหนี้ชีวิตท่านอยู่ดี เพราะถามว่า ถ้ามีใครเอาสมบัติพระเจ้าจักรพรรดิ์มาขอแลกแขนขาตาหูของเรา เราจะยอมแลกไหม ก็คงไม่ยอมมิใช่หรือ แล้วอวัยวะแขนขาตาหูนี้ใครให้มา ก็พ่อแม่ไม่ใช่หรือ
ขอบคุณความโหดร้าย เพราะแสดงว่าเรามีมูลหนี้น้อย จึงทำให้เรารู้จักพึ่งพาตนเอง แม้วันเวลาผ่านไปในชีวิต ก็สามารถก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ นานามาได้ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตครอบครัวซึ่งผ่านมาอย่างหวุดหวิดเฉียดตาย หรือความป่วยไข้ที่จรเข้ามา แต่ด้วยความชาญฉลาดรู้จักคิด รู้จักเปรียบเทียบ จึงหวนมามีกำลังใจที่จะสู้ต่อ อยู่กับปัจจุบันอย่างมีคุณค่า ท้ายที่สุดจึงค้นพบคุณค่าในตนเองที่สามารถยังประโยชน์แก่ส่วนรวมได้
จึงขอโมทนาสาธุการมา ณ ที่นี้
เรื่อง พี่จิตร
เรียบเรียง ฐิติพร มาระวัง