ความแตกต่างของชาติพันธุ์ ความยากจน สายเลือดความเป็นผู้นำ ผลักดันให้เขาสู้เพื่อเป็นต้นแบบของชนเผ่า เป้าหมายของเขาคือการศึกษาของชนชาวเขา วันนี้ กันตพงศ์ เล่าลือพงศ์ศิริ คือม้งคนแรกที่ใช้คำว่า “ นายแพทย์ ” นำหน้าชื่อ เขาคือแบบอย่างของคนซึ่งไม่เคยลืมชาติกำเนิดของตัวเอง และพร้อมที่จะอุทิศตนเพื่อแก้ปัญหาของชาวเขาจนนาทีสุดท้ายของชีวิต
หมู่บ้านเล่าลือบนเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ หล่อหลอมชีวิตผมด้วยวัฒนธรรมของชุมชนม้งตั้งแต่ปี 2510
ภาระของลูกคนโตถูกกำหนดมาพร้อมกับความหวังของพ่อแม่ที่เลี้ยงชีพด้วยการทำไร่ หน้าที่หลักของผมคือแบกข้าวโพด ปลูกขิง ปลูกผัก และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว
บังเอิญผมเกิดในยุคที่คอมมิวนิสต์เฟื่องฟู จึงมีโอกาสได้เรียนหนังสือในโรงเรียนทหารของหมู่บ้าน และโชคดีที่ต่อมาได้รับความช่วยเหลือจากพลโท รวมศักดิ์ ไชยโกมินทร์ (อดีตแม่ทัพภาคที่ 3) ให้มีโอกาสเรียนจนจบชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน
ขณะเป็นนักเรียน ด้วยความที่เป็นชาวเขา ผมจึงถูกเพื่อนบางคนแกล้ง ถูกเขกหัว เตะก้นบ่อยๆ
เมื่อจบชั้นมัธยมปลายในปี 2528 ผมสอบเอนทรานซ์เข้าคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้
จุดมุ่งหมายเดียวของผมคือกลับไปช่วยชาวเขา ผมคิดว่าวิชาชีพสาธารณสุขน่าจะทำประโยชน์แก่ชุมชนได้มากที่สุด เพราะชาวเขาเป็นชุมชนที่ขาดความรู้ และยังเชื่อกันว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องของไสยศาสตร์
ตอนเรียนมหาวิทยาลัยผมไม่มีความกดดันและไม่เคยคิดที่จะปิดบังเรื่องของเชื้อชาติ ไม่เคยอายที่เป็นม้ง
ความกดดันมีเฉพาะเรื่องเรียน เพราะต้องเรียนให้จบโดยเร็วที่สุด เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าเล่าเรียนของน้องๆ นับว่าโชคดีที่ผมได้ทุนของ ”คุณอุดม กาญจนโหติ ศิษย์เก่านักเรียนพยาบาลศิริราช จึงได้เรียนจนจบ ผมต้องอดทนและอดออมเพราะไม่มีรายได้จากการทำงานพิเศเนื่องจากต้องอยู่เวรดูคนไข้และทำรายงานเยอะมาก
ในที่สุดผมก็เป็นคนแรกของหมู่บ้านที่เรียนสำเร็จปริญญาตรี
จากนั้นได้รับราชการเป็นพยาบาลที่โรงพยาบาลศิริราชอยู่ 2 ปี แต่ปัญหาทางการเงินเริ่มรุมเร้า เงินเดือน 3,000 บาทไม่พอที่จะส่งเสียน้องๆ 10 คนเรียนหนังสือได้ ผมจึงลาออกจากราชการมาค้าขาย ทำการเกษตรบ้าง ทำงานเอ็นจีโอให้องค์กรเอกชนบ้าง ชุมชนบ้าง พร้อมทั้งเปิดคลินิกเล็กๆ ช่วยเหลือชนเผ่าม้งที่เขาค้อ
ตอนหลังผมเริ่มเล็งเห็นว่าสายงานของพยาบาลไม่สามารถช่วยเหลือชาวบ้านได้มากเท่าที่ใจต้องการ ผมถามตัวเองว่า คนที่บ้านป่วย ทำไมเราช่วยไม่ได้ ทำไมต้องให้หมอคนอื่นมาช่วย ถ้ารักษาเองได้ ปัญหาก็จบ
เกือบสิบปีที่ผมตั้งเป้าหมายไว้ในใจว่า หนึ่ง ต้องหาเงินส่งน้องๆ เรียนให้ได้ และสอง ต้องเรียนหมอให้ได้ ผมนั่งผิงไฟอ่านหนังสือท่ามกลางความหนาวเย็นจับขั้วหัวใจจนฟืนหมดไปหลายกอง
เมื่อน้องๆ เริ่มเรียนจบ ผมตัดสินใจเอนทรานซ์เข้าคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทันที แม้ว่าอายุตอนนั้น 30 แล้ว ผมสอบเอนท์พร้อมกับเด็กที่จบมัธยมปลายถึงสองครั้ง แต่ก็ทำไม่สำเร็จ
ผมไม่ท้อ พอปี 2542 ผมตัดสินใจสอบเข้าวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ปรากฏว่าผ่านข้อเขียนแต่ไม่ผ่านสัมภาษณ์ ผมก็ยังไม่ยอมแพ้ สอบอีกเป็นครั้งที่ 2 ในปี 2544 ครั้งนี้ผมพยายามและตั้งใจมาก หากในใจก็ยังเตรียมรับกับความผิดหวังไว้
ผมบอกกับตัวเองว่า สอบ 10 ครั้งก็น่าจะสำเร็จสักครั้ง หากไม่ได้จริงๆ ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว
ในที่สุดหลังจากที่ได้พยายามสอบถึง 4 ครั้ง ผมก็ทำสำเร็จ
การกลับมาเป็นนักศึกษาอีกครั้งในวัย 34 ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผม เพราะผมเอาความขยันเข้าสู้ ปัญหาใหญ่อยู่ที่ค่าเล่าเรียน เพราะอย่างที่รู้กันว่ามหาวิทยาลัยเอกชนค่าเรียนแต่ละเทอมเกือบครึ่งแสน
แม้ผมจะมีเงินเก็บจากการทำงานที่ผ่านมาบ้าง แต่ก็ยังลำบากอยู่มาก ผมใช้ทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาของรัฐบาลไม่ได้เพราะติดเงื่อนไขที่เคยศึกษาระดับปริญญาตรีมาแล้ว ญาติพี่น้องชาวม้งซึ่งลี้ภัยไปต่างประเทศสมัยสงครามอินโดจีนช่วยลงขันค่าเล่าเรียนให้ เพราะเห็นถึงความตั้งใจของเรา
หลังจากผ่านไปได้หนึ่งเทอม ผมเห็นว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปอาจเรียนไม่สำเร็จ จึงตัดสินใจเขียนจดหมายถึงพ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น
ผมคิดว่าผมตั้งใจที่จะทำงานเพื่อสังคม ถึงจะเป็นชนเผ่าม้ง แต่ผมถือบัตรประชาชนสัญชาติไทย ดังนั้นรัฐบาลน่าจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือบ้าง
ผลคือ ท่านนายกฯส่งหนังสือไปยังทบวงมหาวิทยาลัยทางทบวงจึงส่งจดหมายกลับมาให้ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิตพิจารณา
หลังจากนั้นในปีที่ 2 เทอม 1 ผมจึงได้รับทุนการศึกษาจากท่านอธิการบดี ผมทำสัญญาว่าจะกลับไปรับใช้ท้องถิ่น ทำงานช่วยเหลือชาวเขา และช่วยเหลือสังคมจนสุดความสามารถ
ชีวิตนักเรียนแพทย์ 6 ปีเป็นชีวิตที่โหดมากๆ แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน การเรียนแพทย์ถ้าจะเรียนให้ได้ดีจะต้องมีเวลา แต่เวลาของผมใช้ไปในการทำงานหารายได้พิเศษ แม้จะได้ทุนแล้วแต่ผมยังต้องทำงานอยู่
ผมเคยทำงานด้วยเรียนด้วยติดต่อกัน 36 ชั่วโมง โดยไม่พัก ต้องอดตาหลับขับตานอนดูผู้ป่วยทั้งคืน เพราะสำนึกว่าเราเป็นด่านแรกที่ต้องรับผิดชอบชีวิตผู้ป่วย ผมบอกกับตัวเองว่าไม่จบไม่ได้ เพราะหันหลังกลับไปยังมีอีกหลายชีวิตรอเราอยู่ ผมไม่เคยกลัวว่าจะเรียนไม่จบ เพราะเชื่อในความมุ่งมั่นและความพยายามของตัวเอง หนังสือกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ในห้องสมุดวิทยาลัย แพทย์ มีชื่อผมเป็นผู้ยืม เพราะผมไม่มีทุนพอที่จะซื้อหนังสือหรือคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยในการค้นคว้าหาข้อมูลเหมือนคนอื่นๆ
สิ่งที่ผมกังวลที่สุดคือการสอบใบประกอบวิชาชีพ แต่ผมก็สอบผ่านทั้งสามครั้ง
ปี 2549 ผมสำเร็จการศึกษาด้วยเกรดเฉลี่ย 3.00
เมษายน 2550 ผมได้เป็นนาย แพทย์ กันตพงศ์เล่าลือพงศ์ศิริ นายแพทย์ 4 กลุ่มภารกิจวิชาการเวชศาสตร์สารเสพติด ศูนย์บำบัดยาเสพติด จังหวัดเชียงใหม่อย่างเต็มตัว ผมเลือกบรรจุที่เชียงใหม่ เพราะที่นี่คือศูนย์กลางของชาวเขา และปัญหายาเสพติดของชาวเขามีไม่น้อยกว่าสังคมเมือง
ชาวเขามักจะชวนกันมารักษากับผมที่ศูนย์ แม้จะไม่ใช่ปัญหายาเสพติด บางคนมาจากจังหวัดที่อยู่ห่างออกไปถึง 200 – 300 กิโลเมตร เพียงเพราะอยากถามผมว่าโรคที่เป็นอยู่จะหายไหม หรืออาการอย่างนั้นจะมีโอกาสรอดหรือไม่ คนไข้บางรายมี แพทย์ ดูแลให้คำปรึกษาอยู่แล้วแต่พวกเขาก็ยังต้องการความเห็นจากผม คงเพราะเป็นชาวเขาเหมือนกัน
ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจจริง ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออุปสรรคไม่ว่าจะเป็นเรื่องเชื้อชาติ ทุนทรัพย์ หรืออายุที่ล่วงพ้นวัยวันนี้ความฝันของกันตพงศ์ ชาวเขาเผ่าม้งเป็นจริงในที่สุด เขาได้รับปริญญาตรีแพทยศาสตรบัณฑิตขณะอายุ 40 ปีพอดี
ศาสตราจารย์คลินิก แพทย์หญิงประไพพรรณ ศุภจัตุรัส รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา วิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
กันตพงศ์เป็นนักศึกษาแพทย์ที่มุมานะ มีความตั้งใจที่จะกลับไปทำประโยชน์ให้ชาวเขาเผ่าม้ง ครูเห็นถึงความตั้งใจ ความมานะอดทน ความซื่อสัตย์ และความรับผิดชอบของเขาเขาไม่เคยปกปิดว่าเป็นชาวม้ง แม้กระทั่งวันรับปริญญาซึ่งเป็นวันสำคัญและใครๆ สวมชุดสากลกัน แต่คนในครอบครัวเขาแต่งชุดประจำเผ่ามาร่วมงาน น่ารักมาก ครูรู้สึกประทับใจที่เขามีความรักในเผ่าพันธุ์ขนาดนี้
วิเชียร สว่างรุ่งเรืองกุล นักศึกษาชนเผ่าม้ง วิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ผมประทับใจในความพยายามของพี่เขามาก ปกติคนอายุสามสิบกว่าไม่มีใครมาเรียนแล้ว แต่พี่เขาก็ยังพยายามมาเรียน เพราะตั้งใจจะเป็นหมอให้ได้
เรื่อง มุฑิตา รัตนมุสิทธิ์ ภาพ สำนักงานประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยรังสิต