รสชาติของชีวิต นัดดา วิยกาญจน์ (1)
ดูเหมือนโชคชะตาได้ถูกกำหนดมาแล้วจากเบื้องบน เพราะต่อให้ไปร่ำเรียนไกลถึงเมืองนอกเมืองนา ผลสุดท้ายดิฉัน นัดดา วิยกาญจน์ ก็ต้องกลับมาเป็นนักร้องอาชีพแบบชนิดที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้เป็น
“ด้วยความคิดถึง จึงมาหา นำรักมาให้ มีดอกไม้มาฝาก ผูกโบรักร้อยเอาไว้ มอบให้ด้วยใจ ใจแห่งรักที่แสนละมุน…”
“ฉันไม่แคร์ จะแก่หรือตาย ฉันไม่อายใครๆ ไม่แคร์ไม่แยแส แม้โลกทลาย ไม่ร้อนใจ แม้มีไฟสุมทรวง…”
เมื่อได้ยินเสียงเพลง “มีดอกไม้มาฝาก” และเพลง “ฉันไม่แคร์”คุณยังคิดถึงดิฉัน (นัดดา วิยกาญจน์) กันบ้างหรือเปล่าคะ ถ้าถามคนที่เป็นผู้ใหญ่หน่อย แน่นอนว่าน้อยคนนักจะไม่เคยได้ยินชื่อดิฉัน แต่ถ้าถามเด็กสมัยนี้ เห็นทีว่าคงจะไม่รู้จัก
หลายคนอาจจะจดจำดิฉันในฐานะนักร้องที่มีน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์เย้ายวนชวนเสน่หา แฝงความเซ็กซี่ แต่ปัจจุบันนอกจากเป็นนักร้องแล้วดิฉันยังเป็นซีอีโอของบริษัท “n chanting” ที่ต้องดูแลทั้ง TV Content Creator, Concert Organizer, Creative Marketing Consultant และ PR Consult แบบครบวงจรอีกด้วย
ชีวิตของดิฉันเหมือนเส้นกราฟที่มีขึ้นมีลง ในวันที่รุ่งเรืองมีชื่อเสียงดิฉันก็ดังข้ามประเทศถึงระดับโลก แต่ในช่วงที่ชีวิตผกผัน ต้องพานพบกับวิกฤติต่างๆ ก็กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งให้ผู้คนโจษจันกันทั้งเมืองได้เช่นกัน ทั้งหมดนี้ดิฉันเรียกว่า “รสชาติของชีวิต” และไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นทั้งดีและร้าย ดิฉันจะถือคติว่า “เดี๋ยวก็ผ่านไป เดี๋ยวก็เช้าแล้ว”ไม่มีอะไรอยู่คงทนได้นาน ทั้งชื่อเสียง เงินทอง ลาภยศ ความสุขหรือแม้แต่ความทุกข์ เมื่อมีเกิดขึ้น ก็มีผ่านไปเป็นธรรมดาของโลก ขอเพียงรักษาใจให้ดีเป็นใช้ได้
ครอบครัวปลูกฝังความมุ่งมั่น อดทน
ดิฉันเป็นลูกโทนของคุณพ่อคุณแม่ เติบโตมาในครอบครัวใหญ่ใช้ชีวิตในบ้านที่มีทั้งพี่ป้าน้าอาและเด็กๆ ในวัยไล่เลี่ยกัน คุณพ่อทำงานบริษัทฝรั่งจึงสนับสนุนให้ลูกสาวเรียนภาษาอังกฤษ ส่วนคุณแม่นอกจากจะรักดิฉันมากแล้วยังดุมากอีกด้วย ท่านไม่เคยเลี้ยงดูให้เป็นคุณหนูคุณนาย แต่กลับสอนให้รู้จักการทำงานทุกอย่างมาตั้งแต่เด็ก ทั้งงานบ้านงานเรือน ซักผ้า รีดผ้า ล้างจาน ทำกับข้าว จนกระทั่งถึงความคิดจิตใจ ไม่เคยมีคำว่าตามใจลูกแม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะเรื่องมารยาทและกาลเทศะ เมื่อดิฉันยังเป็นเด็ก ท่านมักสอนว่าเวลาเห็นท่านคุยกับใคร เราต้องยกมือไหว้ ท่านจะเน้นมากเรื่องการแสดงความเคารพต่อผู้ที่อาวุโสกว่า นอกจากนี้ท่านยังสอนเรื่องความประหยัดมัธยัสถ์ให้รู้จักใช้ รู้จักเก็บ และที่สำคัญ ท่านได้สอนให้ดิฉันรู้จักความทรหดอดทน เมื่อคิดจะทำอะไรแล้วต้องมุ่งมั่นตั้งใจในทุกเรื่อง
นอกจากนั้น ด้วยความที่เป็นครอบครัวใหญ่ เราจึงมักมีกิจกรรมสนุกสนานฮาเฮกันเป็นประจำ นอกจากทานข้าวด้วยกันแล้ว คุณพ่อและน้าๆ ยังชวนกันเล่นดนตรีเป็นที่ครื้นเครง นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดิฉันร้องเพลงเป็นตั้งแต่ 3 ขวบ และเต้นเป็นตั้งแต่ 8 ขวบ บวกกับได้ไปงานเลี้ยงเข้าสังคมกับคุณแม่อยู่เสมอ ทำให้เมื่อโตขึ้นดิฉันจึงเป็นคนที่ไม่เคอะเขินเมื่อต้องอยู่ในแวดวงของคนหมู่มาก
พ่อแม่ยุคนี้เมื่อเห็นลูกมีความสามารถคงสนับสนุนให้ลูกเป็นนักร้องไปแล้ว แต่สมัยนั้นดิฉันไม่เคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นนักร้องอาชีพเลยแม้แต่น้อย ส่วนคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ได้สนับสนุนอย่างจริงจังเช่นกัน
แต่ดูเหมือนโชคชะตาได้ถูกกำหนดมาแล้วจากเบื้องบน เพราะต่อให้ไปร่ำเรียนไกลถึงเมืองนอกเมืองนา ผลสุดท้ายดิฉันก็ต้องกลับมาเป็นนักร้องอาชีพแบบชนิดที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้เป็น
สู้ชีวิตในต่างแดน
ก่อนหน้านั้น หลังเรียนจบระดับอุดมศึกษา ดิฉันทำงานเป็นแอร์โฮสเตส 2 ปี โดยมีคุณพ่อคอยเทียวรับเทียวส่งอย่างไม่คลาดสายตา หลังจากนั้นดิฉันได้มีโอกาสไปเมืองนอกกับ หม่อมหลวงเติบ ชุมสาย ซึ่งนับถือท่านเสมือนญาติสนิท ในโอกาสที่ท่านไปแสดงการทำอาหารไทยที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นเวลา 4 เดือน
เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิต เพราะเมื่อมีโอกาสเห็นโลกกว้างเป็นครั้งแรก ดิฉันก็ตั้งใจว่าจะเรียนต่อต่างประเทศทันที ซึ่งตอนแรกคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ยินดีเท่าไรนัก เพราะไม่อยากให้ลูกสาวไปใช้ชีวิตลำบากอยู่ที่ไกลๆ แต่สุดท้ายท่านก็ยอม ดิฉันจึงเริ่มใช้ชีวิตนักเรียนนอกด้วยการศึกษาต่อด้านเลขานุการที่รัฐแอลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา จนเรียนจบ และเดินทางไปศึกษาต่อด้านภาษาที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ รวมระยะเวลาที่ใช้ชีวิตในต่างแดนถึง 8 ปี ทำให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตมามากมาย ทั้งความมั่นใจในตัวเอง กล้าเผชิญหน้า และกล้ายอมรับความจริง พร้อมทั้งความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส และ Swiss Dialect เป็นอย่างดี
การใช้ชีวิตในต่างประเทศสอนให้ดิฉันรู้จักคำว่าอดทนมากจนถึงมากที่สุด เพราะต้องทำงานส่งตัวเองเรียนหนังสือ และเนื่องจากมีน้าชายเป็นโค้ชสอนแบดมินตันที่สปอร์ตคลับแห่งหนึ่ง ดิฉันจึงมีโอกาสได้ทำงานพิเศษ ทำทุกอย่าง ทั้งเป็นพี่เลี้ยงดูแลเด็กๆ เวลาเข้าแคมป์ฤดูร้อน ทำอาหารให้เด็กๆ ส่งตัวเข้านอน และรับผิดชอบอีกสารพัดอย่าง นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ดิฉันแข็งแกร่งขึ้น เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น แต่มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่ดิฉันจำได้ไม่ลืม และยังคงเป็นหลักคิดให้ชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้
คืนหนึ่งในฤดูหนาว หิมะตกหนักมาก หลังจากเลิกงานเวลาประมาณสี่ทุ่ม ขณะขับรถกลับบ้านซึ่งอยู่บนภูเขา รถเกิดเสียกลางทาง ดิฉันต้องทิ้งรถไว้และเดินฝ่าหิมะไปจนถึงบ้านด้วยรองเท้าเปลือยชนิดที่ไม่ได้ช่วยกันหิมะและความหนาวเย็นได้เลย เดินสวบๆ ทีละก้าวๆ ระหว่างทางทั้งเหนื่อยทั้งหนาวจับใจ แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่า “เดี๋ยวก็ผ่านไป เดี๋ยวก็ถึงบ้าน เดี๋ยวก็จบ” ท่องอยู่อย่างนั้น และทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดีจริงๆ เหตุการณ์ครั้งนั้นกลายเป็นเหตุการณ์ที่ดิฉันใช้เตือนใจเมื่อเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิดต่างๆ ว่าที่สุดแล้วทุกอย่างก็ผ่านไปได้ “เหมือนคืนนั้น”
ชีวิตที่พลิกผัน
เมื่อกลับมาประเทศไทย ดิฉันหมายมั่นปั้นมือว่าจะเป็นเลขานุการให้ได้ แต่คำตอบจากหลายบริษัทที่ดิฉันได้รับคือการปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า “ประสบการณ์ในการทำงานไม่เพียงพอ” ดิฉันจึงพักเรื่องนี้ไว้ก่อนประกอบกับมีเพื่อนๆ มาชักชวนให้ร้องเพลง เลยตัดสินใจว่าลองร้องเพลงดูสักปี แล้วค่อยคิดทำอย่างอื่น ทว่าตั้งแต่วันนั้นจนบัดนี้กว่า 30 ปีแล้วที่เส้นทางชีวิตดิฉันยังอยู่ในวังวนแห่งเสียงเพลง เพราะดนตรีและบทเพลงได้หลอมรวมอยู่ในชีวิตและจิตวิญญาณของ “นัดดา วิยกาญจน์” ไปเสียแล้ว
ดิฉันเริ่มต้นร้องเพลงครั้งแรกที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ ได้รวมตัวกับเพื่อนๆ อีก 3 คนตั้งวงดนตรี ชื่อวง Evergreen โดยมีดิฉันเป็นนักร้องนำ หลังจากนั้น 3 ปีชื่อเสียงของดิฉันก็เป็นที่รู้จักบ้างในหมู่นักฟังเพลง
จุดพลิกผันครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อได้รับการทาบทามจาก อาจารย์แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ ให้ร้องเพลง Happiness ที่แต่งทำนองโดยเด็กหญิงอินทุอร ศรีกรานนท์ บุตรสาวของท่าน และประพันธ์คำร้องโดยบาทหลวงเซฟเฟอริโน ในงาน Siam Popular Song Festival 81 ซึ่งจัดขึ้นที่โรงละครแห่งชาติ เมื่อวันที่ 4 – 5 กรกฎาคม 2524 โดยสยามกลการมิวสิคฟาวน์เดชั่น เพื่อคัดเลือกเพลงที่ดีที่สุดไปประกวดบนเวทีโลกในงาน “World Popular Song Festival” ที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นครั้งแรกในปีที่ 12 ของการจัดงาน
ในขณะนั้น ดิฉันรู้สึกภูมิใจที่เป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับเกียรติให้ก้าวไปยืนอยู่บนเวทีแข่งขันระดับโลก และเป็นเหมือนฝันที่ดิฉันชนะรางวัล The Best Song Award กลับมา นับเป็นนักร้องไทยคนแรกที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศในระดับโลก และยังได้รับเชิญให้ไปแสดงคอนเสิร์ตบนเรือ Queen Elizabeth II ซึ่งเป็นเรือเดินสมุทรรอบโลกที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึง 2 ปีซ้อน หลังจากนั้นในปี 2533 ดิฉันก็ได้เป็นศิลปินไทยคนแรกที่ได้รับเลือกให้เดินทางไปบันทึกเสียงซิงเกิลเพลงสากลในชื่ออัลบั้ม World of Your Own ที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ
การเป็นนักร้องได้ให้โอกาสดิฉันหลายๆ อย่าง ทั้งการเดินทางรอบโลก ได้สัมผัสความสุขสนุกสนาน แต่ดูเหมือนชีวิตจะยังไม่ครบรส หลังจากนั้นไม่นานดิฉันก็ได้รู้จักความเจ็บปวดขมขื่นตามมา
ตอนนั้นดิฉันเป็นศิลปินไทยคนแรกและคนเดียวที่ได้รับการทาบทามให้เซ็นสัญญาเข้าสังกัดค่าย CBS ของประเทศอังกฤษเป็นเวลา5 ปี ด้วยข้อตกลงที่ว่า ดิฉันต้องเดินทางไปแสดงคอนเสิร์ตในประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นเวลา 18 เดือน
แม้มีชื่อเสียงเงินทองมารออยู่ตรงหน้า แต่ดิฉันกลับปฏิเสธงานนี้และตัดสินใจแต่งงาน เพราะอยากมีครอบครัวที่อบอุ่นเช่นคนทั่วไปแต่แล้วชีวิตครอบครัวก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง และกลายเป็นข่าวตามที่ปรากฏในสื่อต่างๆ
ดิฉันยอมรับว่ามีความเป็นตัวของตัวเองมาก เมื่อใดที่รู้สึกว่าสูญเสียความเป็นตัวเองจะต่อต้านทันทีว่าสิ่งนี้คงไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ แน่นอนว่าเมื่อคนเราแต่งงานก็ต้องการชีวิตที่อบอุ่นสมบูรณ์แบบ แต่เมื่อไม่ใช่ ก็ไม่ต้องฝืน เราต้องรักตัวเอง เพราะชีวิตเรายังมีพ่อแม่ มีลูก ยังมีคนให้เราดูแลอีกหลายชีวิต
ข่าวคราวในครั้งนั้นอาจทำให้หลายคนคิดว่าชีวิตของดิฉันคงเต็มไปด้วยความทุกข์ แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะดิฉันเป็นคนสนุกสนานร่าเริง ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องใดที่ทำให้ดิฉันทุกข์จนรับไม่ได้เหมือนดั่งเพลงบทนี้
“This is my life and I don’t give a damn for lost emotions
I’ve got a lot of love I got to give let me live, let me live