True Story : ครอบครัว แทบพังเพราะผู้ชายที่ได้ชื่อว่า “พ่อของลูก”
ครอบครัว ของฉันเป็นชนชั้นกลาง พ่อรับราชการ แม่เป็นแม่บ้าน มีพี่สาวและพี่ชายรวม 4 คน ทุกคนที่เอ่ยมานี้ล้วนมีชีวิตออกแนวอนุรักษนิยม อยู่ในกรอบ และไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ มีแต่ฉัน “พลอย” ลูกสาวคนเล็กของบ้านเท่านั้นที่ดูจะ “ต่าง” ออกมาจากกลุ่ม
ความ “ต่าง” ของฉันเริ่มตั้งแต่การที่ฉันเป็น “ลูกหลง” ของบ้าน ซึ่งแค่เทียบอายุกับพี่คนที่ 4 เราสองคนก็ห่างกันถึง 13 ปีแล้ว ทุกคนในบ้านจึงประคบประหงมฉันอย่างดีไม่ต่างจากไข่ในหิน ยิ่งพอพ่อเสียชีวิตไปตั้งแต่ฉันอายุได้แค่ 5 ขวบ ทุกคนก็ยิ่งทวีความรักความใส่ใจฉันมากยิ่งขึ้นแต่ขอย้ำว่า ไม่ใช่การ “สปอยล์”
พอขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พี่ ๆ ก็เริ่มให้ฉันหัดทำงานพิเศษเพื่อให้รู้จักคุณค่าของเงิน แรก ๆ ก็เหนื่อย แต่พอได้เงินก็มีแต่ความดีใจ ภูมิใจ และมั่นใจเข้ามาแทนที่ว่า “ฉันเป็นคนเก่ง หาเงินได้ตั้งแต่อายุยังน้อย”
ต่อมาก็เรื่องการเรียน พี่ ๆ ของฉันทุกคนเป็นเด็กเรียน เรียบร้อย แต่ฉันเรียนไม่เก่ง หนีเรียน แต่กลับชนะเลิศด้านกิจกรรมมาตั้งแต่ประถมจนชั้นมหาวิทยาลัยด้วยเหตุนี้ฉันจึงเป็นที่รักของอาจารย์ รุ่นพี่และเพื่อน ๆ ยิ่งกับรุ่นน้องด้วยแล้ว ฉันเป็น “ไอดอล” ของพวกเขาก็ว่าได้
ชีวิตช่วงนั้นเรียกว่า “เต็มอิ่มทุกอย่าง” จะขาดอยู่เรื่องเดียวที่ฉันยังไม่เคยมีก็คือ “ความรักแบบหนุ่มสาว” ฉันไม่เคยมีแฟน ไม่เคยรู้ว่าเขาจีบกันอย่างไร
กระทั่งขึ้นชั้นปีที่ 2 ความเป็นนักกิจกรรมพาให้ฉันไปรู้จักนักเรียนนายร้อยตำรวจคนหนึ่งเข้า และคนนี้เองคือผู้ชายคนแรกที่ทำให้ฉันรู้ว่าความรักเป็นอย่างไร
เขาคนนี้ดูแลฉันอย่างดี ทุกอย่างระหว่างเราดูเพอร์เฟ็กต์ไปหมดจนใคร ๆ อิจฉา ทว่าหลังจากคบกันได้เกือบ 4 ปี พอเขาเริ่มติดยศร้อยตำรวจโท ทุกอย่างระหว่างเราก็เริ่มเปลี่ยนไป…เมื่อฉันจับได้ว่าเขาแอบมีคนอื่น แถมนี่ยังไม่ใช่ครั้งแรกที่นอกใจเพราะตั้งแต่คบหากันมา เขาก็แอบคบคนอื่นไปพร้อม ๆ กับฉันด้วย
ความรู้สึกช็อก เสียใจ และผิดหวังประดังขึ้นมาพร้อม ๆ กัน แม้ว่าเขาจะพยายามขอโอกาส แต่ฉันก็ปฏิเสธกลับไปเพราะมั่นใจว่าผู้หญิงเก่งอย่างฉันต้องไปได้ไกลกว่านี้แน่นอน
ฉันตัดสินใจหั่นผมยาวสลวยที่ฟูมฟักมานานปีทิ้งทันที ราวกับว่า “นี่เป็นสัญญาณการเริ่มต้นชีวิตใหม่” และจากนี้ไปอะไรก็ตามที่ผู้ชายคนนั้นเคยขอร้องไม่ให้ทำเพราะไม่ชอบ แต่ขอให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้จนฉันไม่เป็นตัวของตัวเอง ฉันก็ทำมันหมดทุกอย่าง ทั้งกินเหล้า สูบบุหรี่ แต่งตัวแรง ๆเที่ยวกลางคืน ฯลฯ เพราะไม่ต้องแคร์อะไรหรือใครอีกต่อไป…ชีวิตนี้เป็นของเรา อยากทำอะไรก็ทำ
คนรอบข้างต่างตกใจในความเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือของฉัน แต่ไม่มีใครกล้าพูดหรือถามอะไร ยิ่งคนที่บ้านด้วยแล้วยิ่งไม่มี แต่ฉันเองก็พอจะรู้ว่า แม่และพี่ ๆ พลอยทุกข์ใจไปกับฉันมากแค่ไหน
หลังจากว่างเว้นจากความรักไปพักใหญ่ในที่สุดฉันก็พบรักใหม่ที่ต่างจากการเป็น“ว่าที่คุณนายตำรวจแบบสุดขั้ว” เพราะเขาคนนี้ได้ชื่อว่าเป็น “มาเฟียใหญ่ที่พัทยา” เราคบกันได้สักพักถึงได้รู้ว่าเขามีภรรยาอยู่แล้วฉันจึงตัดสินใจเดินออกมาจากชีวิตของเขาทันที เพราะไม่อยากทำร้ายครอบครัวใคร
แล้วชีวิตของฉันก็เดินทางต่อไป วันหนึ่งความเป็นนักเที่ยวกลางคืนก็พาฉันมาพบความรักอีกครั้ง ทว่าผู้ชายคนนี้ก็มีภรรยาอยู่แล้ว (อีกแล้ว!) แต่กำลังจะเลิกกับภรรยา น่าแปลกว่าคราวนี้ฉันกลับตัดสินใจให้โอกาสเขา ทั้งที่บรรดาเพื่อนสนิทต่างไม่เห็นชอบด้วยเลย แม้แต่เจ้านายที่รักฉันที่สุดก็ยังออกปากเตือนว่า
“คนเราไม่จำเป็นต้องผิดศีลห้านะพลอย เพราะโปรไฟล์ชีวิตมันจะเสีย แล้วมันก็บาปด้วย”
ถึงจะสะอึกกับคำพูดนี้ แต่ฉันก็ยังให้โอกาสผู้ชายคนนี้ ในที่สุดแม้จะรอมานานเกือบสามปีแล้ว เขาก็ยังไม่เลิกรากับภรรยาฉันจึงตัดสินใจบอกลา…จบสิ้นกันทีการรอคอยที่ไร้ความหวัง
แต่ถึงอย่างนั้นมิตรภาพของเราสองคนก็ยังคงอยู่ เขายังคงไว้ใจและมอบหมายให้ฉันช่วยเป็นผู้จัดการร้านเหล้าให้เหมือนเดิม (ตอนกลางวันฉันทำงานออฟฟิศ) ที่ร้านแห่งนี้เองที่ฉันได้พบกับ “ติ๊ก” ผู้ชายคนที่สองซึ่งยอมเปิดเผยตัวว่า “ไม่มีแฟน” ผู้ชายที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า ตัวเองโชคดีสักทีที่ได้เจอคนไม่มีเจ้าของ
หลังจากฉันกับติ๊กคบหาเป็นแฟนกันได้ไม่นาน อยู่ ๆ ติ๊กก็ถูกไล่ออกจากงานความที่ไม่เคยเก็บเงินไว้ เมื่อไม่มีงานติ๊กจึงแทบไม่ต่างจากคนตัวเปล่า ไปไหนมาไหนฉันก็ต้องเป็นคนจ่าย เท่านั้นยังไม่พอ ติ๊กยังอยากได้โน่นนี่อยู่เรื่อย ๆ และแน่นอนว่าเป็นฉันที่ต้องคอยรับหน้าที่ “ผ่อนชำระ” ให้
พักหลัง ๆ ฉันเริ่มปฏิเสธ เราจึงทะเลาะกันบ่อยขึ้น จนในที่สุดติ๊กก็หายไป 4 วันพอย่างเข้าวันที่ห้าติ๊กโทร.มาบอกฉันสั้น ๆ ว่า “พลอย เราคงไปกันไม่ได้แล้ว ผมจะกลับไปหาครีม (แฟนเก่า) นะ”
นาทีนั้นแม้ความผิดหวัง เสียใจโกรธ แค้นจะผสมกันยุ่งไปหมด แต่ฉันก็ตัดสินใจแล้วว่า “คนไม่ดีอย่างนี้เลิกดีกว่าอย่าเสียเวลาอีกเลย เพราะแค่สี่เดือนที่คบกันมายังถือว่ามากไปด้วยซ้ำ”
ทว่าเรื่องร้าย ๆ กลับไม่จบลงง่าย ๆ เพราะจากนั้นไม่ถึงเดือน ประจำเดือนของฉันก็เริ่ม “ขาด” ฉันกังวลไปสารพัด กลัวจะท้องเป็นที่สุด และแล้วสิ่งที่ฉันกลัวก็เป็นจริง เมื่อคุณหมอแจ้งว่า
“ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ คุณตั้งครรภ์ได้ 12 สัปดาห์แล้ว ต้องทานโฟเลตเสริมนะคะ”
นาทีนั้นหูของฉันอื้อไปหมด ตาสองข้างพร่ามัวทันทีเพราะน้ำตาที่เอ่อล้นด้วยความเสียใจ ขณะที่ในหัวก็คิดไปสารพัด“จะทำอย่างไรดี” จะบอกคนที่บ้านให้รู้ก็ไม่ได้ เพราะไม่อยากให้ใครมาเสียใจด้วยฉันตัดสินใจโทร.หาเพื่อนสนิท ก่อนจะได้รับคำแนะนำว่า “เธอต้องบอกพ่อแม่ผู้ชายให้รับรู้เรื่องนี้ ห้ามปล่อยผ่าน”
แม้สิ่งที่ตามมาหลังจากที่ฉันบอกพ่อแม่ของเขาคือ ติ๊กกลับมาขอโทษ มาบอกรักแต่ตอนนั้นหัวใจของฉันตายด้านไปแล้วนอกจากจะไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร ฉันยังหมดรักเขาไปแล้วด้วย คิดอยู่อย่างเดียวว่า “ฉันต้องแต่งงานให้เร็วที่สุด” ก่อนที่ท้องจะโตไปกว่านี้ เพราะไม่อยากให้แม่กับพี่ ๆ ต้องอับอายคนอื่น
จากนั้นวิญญาณเวดดิ้งแพลนเนอร์(จำเป็น) ก็เข้าสิงทันที ฉันจัดแจงให้พ่อแม่ฝ่ายชายมาสู่ขอ ทั้ง ๆ ที่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนด้วยซ้ำ แล้วฉันก็ออกแบบการ์ดแต่งงาน สั่งพิมพ์ ไปหาซื้อของชำร่วย หาสถานที่จัดงาน ไม่ใช่“ลงแรง” เท่านั้น แต่ยังต้อง “ลงทุน”ด้วยเงินเก็บทั้งหมดที่มี ส่วนฝ่ายชายมีหน้าที่แค่พาตัวมาร่วมงานให้ได้เท่านั้น
งานแต่งในวันนั้นดูเหมือนจะราบรื่นดี ทว่า “ซองเงินช่วย” จากฝ่ายชายกลับหายไปเกินครึ่ง! แถมยังทิ้งซองเปล่าไว้ให้ดูต่างหน้าในถังขยะหลังร้านอีกด้วย
เรื่องที่เกิดคงเป็นฝีมือใครไปไม่ได้นอกจากสามีตัวแสบ นอกจากจะไม่ช่วยงานไม่ช่วยเงินแล้ว มันยังกล้ามาเอาเงินก้อนนี้ไปอีก สรุปลงทุนไปสามแสน แต่ได้เงินช่วยกลับมาแค่เก้าหมื่น ขาดทุนย่อยยับ!อย่างที่บอก ฉันไม่ต้องการให้ใครมาเดือดร้อนไปด้วย ในเมื่อเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ด้วยตัวเอง ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำตอนนี้ก็คือ เร่งหาเงินไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการคลอดเจ้าตัวน้อยในอีก 4 เดือนข้างหน้า
วันหนึ่งโชคชะตาดูจะเข้าข้าง เมื่อฉันได้งานพิเศษที่มีค่าเหนื่อยสูงถึง 70,000 บาทพอเหมาะพอดีกับที่ฝันไว้เป๊ะ แต่แล้วทุกอย่างก็พังไม่เป็นท่า เพราะเมื่อถึงวันรับเงินจริง ๆ ผู้จ้างกลับอ้างว่าเขาสามารถจ่ายได้เต็มที่เพียง 15,000 บาทเท่านั้น โดยที่ฉันไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องอะไรได้เลย เพราะไม่ได้เซ็นสัญญากันเอาไว้
ส่วนติ๊กก็ยังประพฤติตัวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แม้จะย้ายเข้ามาอยู่ร่วมกับครอบครัวฉัน ติ๊กก็ยังเป็นชาวเกาะเหมือนเดิม กลางวันเล่นเกม กลางคืนไปกินเหล้าแถมยังมีเรื่องผู้หญิงมากวนใจเป็นระยะ ๆ จนถึงวันกำหนดคลอด ติ๊กก็ยังแอบออกจากโรงพยาบาลไปกินเหล้า…กลับมาอีกทีก็ตอนฉันคลอดลูกแล้ว
หลังคลอดลูกฉันพยายามประหยัดเงินทุกวิถีทาง แต่สถานการณ์การเงินของฉันก็ยังย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะต้องเลี้ยงทั้งลูกและสามีไปพร้อม ๆ กัน สุดท้ายก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เมื่ออยู่ ๆ “ทอง” ของแม่ที่เก็บมาทั้งชีวิตก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย กรณีนี้ไม่มีใครน่าสงสัยเท่าสามีตัวแสบของฉันอีกแล้ว
ฉันพยายามจะทวงถามหาความจริงจากติ๊กให้ได้ แต่พี่ ๆ ทุกคนก็บอกว่า “ติ๊กไม่ได้เอาไป ไม่ใช่ติ๊ก ๆ” ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ แต่เพราะไม่อยากให้ฉันทะเลาะกับสามีนั่นเอง ส่วนแม่นั้นใครจะรู้ว่าภายใต้สีหน้าที่เรียบเฉย ท่านซ่อนความเครียดไว้มากแค่ไหน จนกระทั่งแม่ล้มป่วยด้วยโรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท
แม้จะโกรธแสนโกรธ แต่ฉันก็ไม่กล้าทำร้ายเขาหรือบอกเลิก อย่างดีก็แค่ไล่ออกจากบ้าน เพราะคิดว่าสักวันเขาจะ “เปลี่ยน” ตัวเองได้ แต่วันนั้นก็ยังมาไม่ถึง กลับมีแต่เรื่องร้าย ๆ ตามมาไม่หยุดหย่อน ที่ร้ายที่สุดก็คือ ติ๊กเมาแล้วขับรถไปชนจนพังยับถึงขั้นต้องขายซากทิ้ง ซึ่งฉันก็ต้องเป็นธุระจัดการคดีและเป็นหนี้อีกหลายแสน
คราวนี้เมื่อรถไม่มีใช้ก็ต้องนั่งแท็กซี่ไปทำงานแทน ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้น ฉันจึงตัดสินใจเอาทองที่แม่ซื้อให้ไปขาย แล้วก็ต้องอึ้ง เมื่อทางร้านบอกว่าฉันเอาทองปลอมมาขาย! เคราะห์ดีที่เคลียร์กันรู้เรื่อง ฉันจึงรอดมาได้หวุดหวิด ความสังหรณ์ใจทำให้ฉันรีบย้อนกลับไปที่บ้านแล้วก็ต้องช็อก เพราะแหวนแต่งงานของฉันก็หายไปด้วย
ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ อีกแล้ว เรื่องทั้งหมดนี้ต้องเป็นฝีมือติ๊กแน่ ๆ ฉันเอาโจรเข้ามาอยู่ในบ้านชัด ๆ
สถานการณ์ระหว่างฉันกับติ๊กเลวร้ายลงทุกที เมื่ออยู่ ๆ ติ๊กก็ขอย้ายออกไปอยู่หอ เพราะอ้างว่าใกล้ที่ทำงานใหม่มากกว่า ตอนนั้นฉันอดใจหายไม่ได้ว่าครอบครัวเราแตกแล้วจริง ๆ ใช่ไหม แต่ก็แอบคิดว่า บางทีความห่างอาจทำให้ทุกอย่างดีขึ้นก็ได้ แต่แล้วมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเพราะเขาไม่กลับมาอีกเลย
ฉันร้องไห้กับความล่มสลายของชีวิตรักครั้งนี้อยู่ถึง 3 วัน เสียใจที่คิดว่าตัวเองเก่งแน่ และเจ๋ง ที่สามารถจัดการทุกอย่างได้เสียใจที่คิดน้อยเกินไป ไม่มีสติ จนทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อนและพลอยทุกข์ไปด้วย
ทว่าหลังจากที่เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ แม้แต่เจ้านายรู้ว่าฉันเลิกกับติ๊กอย่างเด็ดขาดเชื่อไหม “ทุกคนยินดีกับฉันหมดเลย” พร้อมกับอ้าแขนให้กำลังใจ ให้ความช่วยเหลืออย่างดี ยิ่งครอบครัวของฉันแล้วทุกคนมีแต่ความชื่นมื่นโล่งอก พร้อมกับเปิดใจว่า ที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยสมัครใจให้ติ๊กมาอยู่ที่บ้าน ยิ่งพอทองของแม่หายไป ก็ยิ่งอยากจะไล่ติ๊กออกไปให้พ้น ๆ แต่ก็จำใจเพราะคิดว่าเป็นคนที่น้องรัก ไม่อยากทำลายความรู้สึก แม่เองก็เหมือนกัน แม่ไม่อยากให้ฉันต้องทุกข์ใจถึงได้เครียดจนป่วย
ยิ่งได้ฟังอย่างนี้ฉันก็ยิ่งรู้สึกผิด ฉันเอาทั้ง “ไฟ” ทั้ง “โจร” มาอยู่ในบ้าน แถมมันยังทำให้ชีวิตของฉันเหมือนตกนรกทั้งเป็นอยู่นานถึง 4 ปี แต่วันนี้ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนรอบข้างที่รักฉันมากที่สุด รักฉันอย่างไม่เงื่อนไข
ฉันตัดสินใจเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เลิกเที่ยวกลางคืน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้ฉันพบเจอแต่ความไม่ดี ทั้งที่ฉันอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะหน้าที่การงานครอบครัว หรือเพื่อนฝูง ฉันตั้งใจว่าจะเป็นแม่ที่ดีของลูก และขณะเดียวกันก็จะเป็นลูกที่ดีของแม่ด้วย ฉันหันมาให้เวลากับแม่พยายามดูแลแม่ให้ดีที่สุด ปิดท้ายด้วยการเป็นน้องที่ดีของพี่ ๆ ทั้งสี่ ส่วนเรื่องงาน ฉันต้องเป็นทั้งหัวหน้าที่ดีและเป็นลูกน้องที่ดีให้ได้
ไม่นานนักฉันก็ได้รับข่าวดีจากคุณหมอว่า อาการป่วยของแม่ดีวันดีคืนและมีโอกาสหายเป็นปกติได้ ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไรแต่หากเกิดจากความเปลี่ยนแปลงของฉันฉันก็ดีใจที่สุด
ฉันไม่เคยโกรธทุกสิ่งที่ผ่านมาในอดีตเพราะมันทำให้ชีวิตได้รับบทเรียน สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ เราต้องอยู่กับปัจจุบันและทำมันให้ดีที่สุด
อะไรที่ร้าย ๆ ก็ลืมมันไป เหลือไว้แต่สิ่งดี ๆ เท่านั้น
คำแนะนำจากพระ ดร.พระมหาบวรวิทย์ รตนโชโต
โบราณกล่าวว่า ชีวิตคือละครฉากใหญ่ แต่ละคนมีบทที่ต้องเล่นไปตามบทที่ผู้จัดได้จัดวางไว้ สิ่งที่ได้คือรางวัลและเสียงปรบมือชื่นชม แล้วแยกย้ายกันไปโดยไม่มีข้อผูกพันใด ๆ
แต่บทละครแห่งชีวิตนั้นแต่ละคนล้วนกำหนดฉากและบทบาทด้วยตัวเอง คนอื่นและสิ่งอื่นเป็นเพียงแค่ฉากประกอบเท่านั้นเอง เมื่อแต่ละคนล้วนต้องกำหนดบทบาททางเดินของชีวิตด้วยตนเองแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบว่า ทางไหนควรเดิน ทางไหนควรเลี่ยง บางเส้นทางเต็มไปด้วยขวากหนาม หากฝืนเดินก็ต้องทุกข์ทรมานถูกหนามเกาะเกี่ยวทิ่มตำ บางเส้นทางเป็นหลุมเป็นบ่ออาจทำให้เท้าแพลงได้
มนุษย์เราได้ชื่อว่ามีความคิดเลิศ สามารถเรียนรู้ได้ทั้งสิ่งที่มีโทษและเป็นคุณ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกลือกกลั้ว มิเช่นนั้นจะกลายเป็นการเสพคุ้นสลัดไม่ออก พระพุทธองค์จึงทรงให้เหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายได้ปฏิบัติตามหลักแห่งมงคล 38 ประการ ชีวิตก็จะไม่ตกต่ำ มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง อย่างไรก็ตาม ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคโดยเร็ววัน ไม่มีคำว่าสายเกินแก้สำหรับคนที่มีใจฮึกเหิมกล้าแกร่ง
เรียบเรียง ปาปิรัส