เรื่อง อุษาวดี สินธุเสน, ธันยาภัทร์ รัตนกุล ภาพ วรวุฒิ วิชาธร,
https://www.facebook.com/v.vajiramedhi/info สไตลิสต์ สุธีร์ รติวัฒน์บุญญา
Secret of Life ฉบับนี้ เราจะพาคุณเดินทางไปยังไร่เชิญตะวัน จังหวัดเชียงรายเพื่อพบกับแขกคนพิเศษสองท่าน นั่นคือ ท่าน ว.วชิรเมธีและพ่ออุ้ย หรือโยมพ่อทิพย์ บุญถึง วัย 84 ปี การสัมภาษณ์ครั้งนี้เราได้รับความเมตตาจากพระอาจารย์ให้มีโอกาสพูดคุยกับทั้งสองท่านอย่างใกล้ชิดและเป็นกันเองสุด ๆ รับรองว่าเรื่องราวน่ารัก ๆ ระหว่างโยมพ่อกับพระลูกชายที่คุณกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ ทุกเรื่องยังไม่เคยมีการเผยแพร่ที่ไหนมาก่อน
ณ ไร่เชิญตะวัน
“อ้าว ทีมงานมากันแล้ว”
เสียงท่าน ว.ดังขึ้นเมื่อพวกเรายกทีมไปถึง ไม่นานนักพ่ออุ้ยก็เดินตามออกไปนั่งรอคณะของเราที่เก้าอี้ด้านนอก ภายใต้ร่มไม้ที่มีแสงแดดรำไร สีหน้าของพ่ออุ้ยดูสดชื่นแจ่มใส ท่านเดินเหินอย่างคล่องแคล่วว่องไว ไม่เหมือนคนอายุแปดสิบกว่าเลยแม้แต่น้อย
เราเริ่มด้วยการมอบของฝาก ซึ่งทราบมาว่าเป็นของโปรดของพ่ออุ้ย นั่นก็คือ กล้วยหอมและซุปไก่สกัด ซึ่งพ่ออุ้ยเรียกว่า“ยากำลัง” เพราะพอดื่มแล้วท่านบอกว่า “วิ่งขึ้นเขาลงเขาได้สบาย ๆจนคนหนุ่มอายก็แล้วกัน!”
ท่าน ว.พูดเสริมขึ้นว่า “เวลาไปเมืองนอกจะมีคนฝากของมาให้โยมพ่อตลอด…เห็นอย่างเนี้ย พ่อก็มีแฟนคลับของพ่อด้วยนะ”
พ่ออุ้ยฟังออกไหมคะว่าแฟนคลับหมายถึงอะไร
ท่าน ว. : ไม่รู้หรอก ถ้าจะพูดกับพ่อต้องอู้คำเมืองอย่างเดียว พระอาจารย์เลยต้องพูดเสียงในฟิล์ม (หัวเราะ) แฟนคลับภาษาคำเมืองเรียกว่า “คนฮักคนหุม” เวลาไปไหนคนจะรู้จักโยมพ่อหมด เพราะเวลาไปเทศน์ พระอาจารย์มักจะพาโยมพ่อไปด้วย
แล้วเวลาไปต่างประเทศ พระอาจารย์พาพ่ออุ้ยไปด้วยไหมคะ
ท่าน ว. : ยังไม่เคยพาไป เพราะเป็นห่วง แต่เดี๋ยวนี้เวลาไปเทศน์เมืองนอก พระอาจารย์ใช้วิธีถ่ายทอดสดผ่านโปรแกรม Skype โยมพ่อก็จะรู้สึกว่าลูกคนนี้ไม่ได้ไปไหนไกล ท่านจะมีความสุขที่ได้เห็นเราอยู่เสมอ อย่างตอนไปยุโรปสามเดือน มีเทศน์ทุกอาทิตย์โยมพ่อก็จะดูพระอาจารย์อยู่ที่บ้าน กลับมาโยมพ่อบอกไม่คิดถึงเลยเพราะ “เจอกันตุ๊กติ๊ด” หมายถึง “เจอกันทุกอาทิตย์”
คุณพ่อมีลูกทั้งหมดกี่คนคะ
พ่ออุ้ย : “หกคน ผู้ชายสอง ผู้หญิงสี่”
ท่าน ว. เป็นลูกคนที่เท่าไหร่คะ
พ่ออุ้ย : “คนหล้า”
พอเห็นทีมงานทำตาใส ๆ ท่าน ว.เลยช่วยแปลให้ว่า “พระอาจารย์เป็นลูกคนสุดท้อง เมืองเหนือเรียกว่าลูกหล้า”
ตอนเด็ก ๆ ท่าน ว.ดื้อไหมคะ
ท่าน ว. : “ป้อ ตอนเด็ก ๆ ตุ๊ด้านก่อ โยมใคร่ฮู้ว่าป้อเลี้ยงตุ๊มาอย่างใด๋เลี้ยงยากก่อสมัยเป็นละอ่อน” ท่าน ว.ช่วยถามพ่ออุ้ยให้ จากนั้นท่านก็แปลคำตอบให้ฟังว่า ตอนเด็ก ๆ พระอาจารย์เลี้ยงไม่ยากพ่อรักมาก ไม่ดื้อ แล้วก็เป็นคนดี พ่อบอกว่า พ่อไม่อยากไปไหนทั้งสิ้นเพราะห่วงลูก อยากจะดูแลลูกทุก ๆ คน ในอดีตพ่ออุ้ยเป็นพ่อค้า เคยไปค้าขายถึงเมืองพม่า และเคยขนของมาขายจากเชียงของเชียงราย พ่อไปบ่อยจนจำต้นไม้ที่อยู่สองข้างทางได้ทุกต้น ตอนหลังพอมีเรา พ่อบอกไม่ไปแล้ว…อยากอยู่ใกล้ ๆ ลูก
แล้วหน้าตาท่าน ว.เหมือนใครคะ พ่อหรือแม่
ท่าน ว. : (หันไปถามพ่ออุ้ยพร้อมชี้หน้าตัวเอง) “ป้อ หน้าตุ๊กะอีป้ออีแม่นี่เหมือนไผ”
พ่ออุ้ย : “เหมือนป้อละก๋า” (พ่ออุ้ยตอบพลางยิ้มและมองหน้าพระอาจารย์ด้วยความเอ็นดู)
นิสัยใจคอท่าน ว.ล่ะคะเหมือนใคร
ท่าน ว. : นิสัยความช่างโอภาปราศรัยได้มาจากแม่ แต่ความช่างเล่าได้มาจากพ่อ ถ้ามาสัมภาษณ์พ่อแล้วเกิดจุดติดนะ ห้าโมงเย็นท่านก็ไม่เลิก ท่านจะเล่าทุกสิ่ง เก็บทุกเม็ด ซึ่งความช่างจดจำช่างจินตนาการเนี่ย พระอาจารย์ได้มาจากพ่อนี่เอง
ตอนเด็ก ๆ ท่าน ว.เรียนเก่งไหมคะ
ท่าน ว. : “ป้อ เปิ้นถามว่า ตอนตุ๊เป็นละอ่อน ตุ๊เฮียนเก่งก่อ หัวดีก่อ”
พ่ออุ้ยตอบว่า “จ๊าดเก่ง…”
ท่าน ว. : หมายถึงเก่งมาก ตอนเด็ก ๆ พ่อจะคอยแอบฟังตอนพระอาจารย์อ่านหนังสือ สมัยก่อนเราอ่านออกเสียง พ่อบอกว่าฟังดูก็รู้ว่าเราอ่านเก่ง พ่อเคยตามไปดูที่โรงเรียน ก็เห็นว่าเราอ่านเก่งกว่าทุกคนในห้อง พ่อบอกว่าพระอาจารย์เป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซน จะอ่านหนังสืออย่างเดียว”
แล้วคุณพ่อภูมิใจอะไรในตัวท่าน ว.คะ
ท่าน ว. : “ป้อดีใจก่อที่มีตุ๊เป็นลูก”
พ่ออุ้ย : “ดีใจก๋า…” (ลากเสียงยาวแล้วพูดต่อเป็นภาษาคำเมืองอีกหลายประโยค)
ท่าน ว. : พ่อบอกว่าพ่อดีใจมากที่มีลูกคนนี้ นี่หูของพ่อได้ยินข้างเดียวนะ ถ้าได้ยินสองข้างสัมภาษณ์วันนี้มันแน่ (ท่าน ว.หัวเราะชอบใจ) ที่หูพ่อสูญเสียการได้ยินไปข้างหนึ่ง เพราะตอนเป็นหนุ่มพ่อชอบดำน้ำหาปูหาปลา พ่อดำน้ำเก่ง ดำได้ครั้งละนาน ๆ ครั้งหนึ่งพ่อเคยดำน้ำหายไปเป็นสิบนาที จนพระอาจารย์กับพี่สาวยืนร้องไห้อยู่ริมตลิ่ง นึกว่าพ่อเป็นอะไรไปแล้ว ที่ไหนได้ พอโผล่ขึ้นมา สองมือพ่อเต็มไปด้วยหอย ในข้องก็เต็มไปด้วยหอย ปากก็คาบหอย” (หัวเราะขำ)
ท่าน ว.หันไปถามพ่อ “ป้อ ทำเยี่ยงใดถึงดำได้เมิน” (ทำยังไงถึงดำน้ำได้นาน)
พ่ออุ้ย : “มีคาถา” เป็นคำตอบที่เรียกเสียงฮือฮาจากทีมงาน แล้วพ่ออุ้ยก็เสริมขึ้นว่า “ดำน้ำเหมือนหินตกน้ำ ตกน้ำเมิน ๆ น่ะ”
ท่าน ว. : พ่อบอกว่าดำน้ำเหมือนโยนหินลงน้ำนั่นแหละ นานแค่ไหนลองคิดดู ส่วนพระอาจารย์เองกลับว่ายน้ำไม่เป็น เวลาไปไหนที่มีน้ำมีหนองจะกลัว พระอาจารย์เคยโกรธมากว่าหมาที่เลี้ยงคือเจ้าซุปเปอร์ มันกระโดดลงน้ำว่ายน้ำได้ แต่ทำไมเราเป็นคนถึงว่ายน้ำไม่เป็น คิดแล้วพระอาจารย์ก็เลยโดดน้ำตามหมาไป โยมพ่อยืนดูอยู่หน้ากุฏิ คงหงุดหงิดที่เห็นพระอาจารย์ฝึกว่ายน้ำแล้วดูน่ารำคาญ ท่านเลยลงไปว่ายให้ดูแล้วไปหยุดอยู่กลางน้ำ นี่ขนาดพ่อแปดสิบแล้วนะ ยังทรงตัวในน้ำได้ พระอาจารย์เลยได้กำลังใจ ฝึกว่ายน้ำเย็นนั้น แล้วก็ว่ายเป็นเย็นนั้นเลย แต่กว่าจะเป็น สำลักน้ำไม่รู้กี่รอบ
ท่าน ว.ฟื้นความหลังแล้วหันไปถามพ่ออุ้ย
ท่าน ว. : “ป้อ จำได้ก่อที่เฮาลอยน้ำกับซุปเปอร์น่ะ” (พ่ออุ้ยพยักหน้าตอบว่า “จำได้”)
พระอาจารย์เรียกช่วงเวลานี้ว่า Lazy Day หรือ สัปปายะเดย์คือในหนึ่งสัปดาห์จะมีหนึ่งวันที่ไม่รับแขก พระอาจารย์พูดเสมอว่าเราทำให้คนทั้งโลกมีความสุข สมหวัง แต่เราก็ต้องไม่ลืมคนใกล้ตัววันนั้นทั้งวันพระอาจารย์จะใช้เวลาอยู่กับพ่อ ถ้าไม่ไปหาพ่อที่เชียงของก็จะให้พ่อมาหาที่นี่ พ่อผูกพันกับสายน้ำมาตั้งแต่หนุ่ม ๆฉะนั้นเวลาอาบน้ำ พ่อจะไม่อาบในห้องน้ำ แต่ลงไปอาบที่ท่าน้ำเป็นอย่างนี้ทุกครั้งเวลาอยู่ที่นี่ และเวลาพ่อลงน้ำ เจ้าซุปเปอร์ก็จะโดดตามลงไปด้วย”
คุณพ่อแข็งแรงและอายุยืนมาก ขอถามเคล็ดลับที่ทำให้อายุยืนหน่อยค่ะ
ท่าน ว. : “ป้อ กินอะหยังถึงอายุยืนแปดสิบสี่ กินอะหยังที่ทำฮื้อป้อแข็งแฮง” (กินอะไรถึงอายุยืน 84 ปี กินอะไรที่ทำให้พ่อแข็งแรง)
พ่ออุ้ย : “กินยากำลัง แล้วก็กินมะม่วงสุก กินกล้วย มีกล้วยไข่กล้วยหอม กล้วยข้าว (กล้วยน้ำว้า) แล้วก็กล้วยป้ำ…”
ท่าน ว. : “กล้วยป้ำนี่มันกล้วยอะหยัง” (กล้วยป้ำนี่คือกล้วยอะไร)
ท่าน ว.หัวเราะขำเพราะท่านเองก็ไม่รู้จัก
พ่อบอกว่าถ้าแข้งขาดี พ่ออยากปีนเขาไปหาไข่ตัวแลน (ตะกวด) “มันลำมาก” คืออร่อยมาก จนเวลากินเผลอกัดนิ้วตัวเองเลย(ขณะพระอาจารย์กำลังแปล พ่ออุ้ยก็เล่าความหลังต่อด้วยแววตาเป็นประกาย)
ท่าน ว. : “ป้อ เดี๋ยวนี้ยังมีอยู่ก่อ ไข่แลนน่ะ” (พ่อ เดี๋ยวนี้ไข่แลนยังมีอยู่ไหม)
พ่ออุ้ย : “มี บนดอยหลวง”
ท่าน ว. : พ่อบอกว่าของป่าพวกนี้แหละที่ทำให้พ่อมีกำลังวังชา นอกจากนั้นก็มีไข่ตัวต่อ โยมรู้จักไหมน้ำพริกต่อ (ท่าน ว.หันมาถามพวกเรา) มีโยมคนหนึ่งที่รู้ใจโยมพ่อ เวลามาหาจะเอาน้ำพริกตัวต่อมาฝากทุกครั้ง
พ่ออุ้ย : “รังมันอุ้มลุ่ม…”
ท่าน ว. ; อุ้มลุ่มคือกลม (ท่าน ว.แปลแล้วหัวเราะชอบใจ) คำพวกนี้รุ่นพระอาจารย์แทบจะไม่รู้จักแล้ว ถึงบอกว่าถ้าใครมาสัมภาษณ์แล้วไม่มีคนแปลคงฟังไม่รู้เรื่องแน่ พ่อบอกว่าสมัยก่อนป่าอุดมสมบูรณ์ แล้วรังต่อใหญ่มาก เวลาจะเอารังต้องใช้กระดาษฉีกเป็นฝอยเล็ก ๆ แล้วล่อด้วยน้ำปลาร้า พอตัวต่อได้กลิ่น มันจะมาตอมกระดาษก็จะติดตัวมันไปเห็นเป็นสีขาว ๆ ทำให้เราเจอรังมันได้ง่าย ๆ พอเจอก็รมควันให้มันเมา ถึงจะขึ้นไปเอารังต่อลงมาได้
สมัยก่อนบ้านเราอยู่ตรงตีนเขา เวลาลงมาเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนจะเจอละมั่ง ละอง กวาง นี่คือโลกอันอุดมของพ่ออาหารของท่านคืออาหารธรรมชาติหรืออาหารออร์แกนิกทุกวันนี้นี่เองมีครั้งหนึ่งพระอาจารย์เคยพาพ่อกับแม่ไปในเมือง แล้วสั่งให้ลูกศิษย์จัดอาหารโรงแรมมาให้ คัดเอาแต่ของดี ๆ มาให้ท่านกิน พอนั่งโต๊ะพ่อหันมาถามว่า “มีน้ำพริกไหม” (หัวเราะ) ตั้งแต่นั้นเลยรู้ว่าอร่อยสำหรับเรา ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นอร่อยสำหรับท่าน
เคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้พ่อมีสุขภาพแข็งแรงและสุขภาพจิตดีคือ พ่อจะต้องอาบน้ำทุกวัน ไม่เกี่ยงว่าหน้าร้อนหน้าหนาวแล้วท่านเป็นคนที่ไม่เคยอยู่เฉย ต้องทำโน่นทำนี่ตลอดเวลา ทุกวันนี้พ่อก็ยังชอบเข้าครัว โดยเฉพาะเวลาพระอาจารย์กลับบ้าน พ่อจะต้องเข้าครัวเอง ไปตลาดเอง (พูดจบท่าน ว.ก็หันไปถามพ่ออุ้ย)
ท่าน ว. : “ป้อ ชอบยะอะหยังกิน เปิ้นใคร่ฮู้” (พ่อชอบทำอะไรกินเขาอยากรู้)
พ่ออุ้ย : “ลาบหมู ลาบปลาดุก แกงอ่อมปลาค้าว”
แย่งหน้าที่โยมแม่หรือเปล่าคะ เราถามพลางอดอมยิ้มไม่ได้
ท่าน ว. : โอ๊ย โยมแม่นี่สบายมาก รับแขกอย่างเดียว เพราะท่านเป็นคนช่างพูดช่างจา ถ้าแม่อยู่บ้านจะเหมือนเปิดวิทยุทิ้งไว้ทั้งวันคนมาหาแม่เยอะเหมือนคนมาหาพระอาจารย์ทุกวันนี้ เรียกได้ว่าแม่คบคนทั่วหล้า ส่วนพ่อก็หาปูหาปลามาเลี้ยงลูก บทบาทของพ่อคือหาอยู่หากิน เป็นการแบ่งหน้าที่กันกลาย ๆ
แล้วของโปรดของท่าน ว.คืออะไรคะคุณพ่อ
ท่าน ว. : “ป้อ เปิ้นถามว่าตุ๊มักอะหยัง” (พ่อ เขาถามว่าพระชอบกินอะไร)
พ่ออุ้ย : “หัวเผือก มันแกว ปลาแห้ง ปลานึ่ง…”
ท่าน ว. : อาหารโปรดของพระอาจารย์คือมันแกวหัวแดง หัวเผือกเวลามีคนถามว่า ทำไมพระอาจารย์ถึงหัวดี ขอตอบว่า เพราะพ่อแม่ให้กินของพื้นบ้าน อย่างปลา พ่อจะเอามาหั่นเป็นท่อน ๆ ผสมเกลือตากให้แห้ง ตอนนึ่งข้าวก็จะเอาไปไว้ข้างบนสุด ให้ไอร้อนจากข้าวทำให้ปลาสุก พอสุกแล้วก็กินกับข้าวอุ่น ๆ รสจะออกเค็มปะแล่ม ๆ แล้วมีกลิ่นข้าวใหม่ด้วย หอมมาก เมนูนี้เรียกว่าปลาเกลือ วันไหนได้กินนะ เห็นสวรรค์เลย
ทุกวันนี้พ่ออุ้ยห่วงอะไรท่าน ว.บ้างคะ
ท่าน ว. : “ป้อ ตี้ตุ๊ใหญ่มาอย่างทุกวันนี้ มีอะหยังตี้ป้อห่วงตุ๊”
พ่ออุ้ย : “ห่วงตี้ซุดเลย” (จากนั้นพ่ออุ้ยก็ค่อย ๆ รำลึกความหลังแล้วพูดออกมาเป็นภาษาล้านนายาวเหยียด)
ท่าน ว. : พ่ออยากมาอยู่ใกล้ ๆ พระอาจารย์ ท่านเป็นห่วง เพราะมีคนมาหาเราเยอะ ท่านอยากให้เราอยู่ใกล้หูใกล้ตา สิ่งที่พ่อห่วงอีกอย่างคือเรื่องเงินทอง เพราะเป็นของอันตรายสำหรับชีวิตนักบวชพ่อเป็นคนเห็นคุณค่าของเงินมาก เพราะตอนหนุ่ม ๆ พ่อลำบากต้องเอายาเส้นไปขายที่เชียงแสน แม่สาย เพื่อเลี้ยงลูกหกคนบางทีก็หาปูหาปลา หาของป่า รับจ้างขึ้นต้นหมาก พระอาจารย์จำได้ว่าเคยยืนร้องไห้อยู่ใต้ต้นหมาก เพราะพ่อไม่ยอมลงมา พ่อจะกระโดดจากต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่ง เป็นยี่สิบต้น โดดอยู่ครึ่งวันไม่ลงเลย และนั่นแหละคือค่าเทอมของพระอาจารย์ บางทีพ่อก็ไปรับจ้างตัดหญ้าที่โรงบ่มใบยา ต้องนั่งเรือข้ามโขงไปเช้าเย็นกลับเพื่อขายแรงงานที่ประเทศลาว บางทีก็ไปรับจ้าง “ไพคา” คือเอาหญ้าคามาเย็บกันเป็นตับสำหรับใช้มุงหลังคาในไร่ในสวน ได้ค่าแรงร้อยละ 6 บาท…
…เรื่องพวกนี้พระอาจารย์ก็เพิ่งได้ฟังพร้อม ๆ กับโยมนะเนี่ยเป็นเรื่องเก่ามาก
แล้วคุณพ่อได้สอนวิชาทำมาหากินให้ลูกคนไหนบ้างคะ
ท่าน ว. : พี่ชายได้วิชาไปเต็ม ๆ ส่วนพระอาจารย์พ่อให้เรียนหนังสืออย่างเดียว ครั้งหนึ่งพ่อเคยต้อนพระอาจารย์ไปเข้าโรงเรียน แต่เราไม่ยอมไป วิ่งหนีไปตามเรือกตามสวนอยู่ครึ่งวัน จนไปหลบอยู่ใต้ถุนบ้าน พ่อต้องก้มหัวลงมาถามว่า “อยากง่าวเหมือนพ่อก๋า” หมายความว่า “อยากโง่เหมือนพ่อเหรอ” คำนี้คำเดียวทำให้พระอาจารย์เดินออกมาแล้วยอมไปโรงเรียน และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมพระอาจารย์ถึงต้องเรียนขนาดนี้ นักธรรมมีถึงเอกก็เรียนจนจบเอก เปรียญธรรมมีถึงเก้าก็เรียนจนจบเก้า พูดง่าย ๆ ว่ามีอะไรให้เรียน ฉันเรียนหมด เพราะรุ่นพ่อรุ่นแม่เราไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือสูง ๆ เราจึงเรียนแทนท่าน ปริญญาตรีให้พ่อ เปรียญธรรมเก้าประโยคให้แม่ ปริญญาโทให้พี่สาวทุกคน ตอนนี้ได้ดุษฎีบัณฑิตมาอีกสี่ใบก็แจกกันไป (หัวเราะ)
อยากทราบเคล็ดลับการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีค่ะ คุณพ่อมีวิธีอย่างไรคะ
ท่าน ว. : “ป้อ เอาอะหยังมาสอน ลูกหกคนถึงได้ดิบได้ดีหมด”(พ่อเอาอะไรมาสอนลูก ลูกหกคนถึงได้ดีหมด)
พอท่าน ว.ถามจบ พ่ออุ้ยก็ตอบเป็นภาษาล้านนาด้วยแววตาที่เปี่ยมสุข…
พ่อบอกว่า โตแล้วต้องไปโรงเรียน พ่อจะสอนพวกเราตอนล้อมวงกินข้าวด้วยกัน ท่านจะไม่เคยตี ไม่เคยใช้ความรุนแรง แต่จะสอนด้วยการดุว่ากลางวงข้าว ถ้าคนไหนทำอะไรที่ไม่ดีมา พ่อจะซัดพร้อมกันหมดเลยหกคนพี่น้อง บ่อยครั้งที่พวกเราพี่น้องต้องกินข้าวกับน้ำตา พ่อกับแม่จะเทศน์นอกธรรมาสน์เสมอ เรียกว่าพออยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว องค์จะลงประทับ เป็นผลให้เราหกคนพี่น้องไม่เคยริษยาหรือทะเลาะกันเลย
นอกจากนี้พ่อจะมีนิทานที่ท่านแต่งเองเอาไว้สอนพวกเราให้รักกัน และท่านเล่าเรื่องเดียวกันนี้ทุกครั้ง แล้วก็สรุปว่า ร้อยพ่อเลี้ยงก็ไม่เท่าพ่อจริง ร้อยแม่เลี้ยงก็ไม่เท่าแม่จริง…“ให้ฮักป้อฮักแม่เน้อ…”
ท่าน ว.หันไปมองพ่ออุ้ยด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพรักแล้วพูดเสริมว่า “เวลาเล่าเรื่องความหลัง ท่านจะมีความสุขมาก ดูตาท่านสิเป็นประกายเลย ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะตอนนี้พ่ออุ้ยดูเหมือนจะ “จุดติด” แล้ว แถมตอนนี้ยังนึกสนุกถาม “ปริศนาอะไรเอ่ย” กับท่าน ว.และพวกเรา ซึ่งท่าน ว.บอกว่านี่คือวิธีสอนลูกของโยมพ่อนั่นคือสอนด้วยปัญหาเชาว์
พ่ออุ้ย : “อุ้มลุ่มเท่าฮังต่อ ผ่อบ่หัน ตุ๊ทายได้ก่อ”
ท่าน ว. : กลม ๆ เท่ารังต่อ มองไม่เห็น คืออะไร ทายถูกไหม
พ่ออุ้ยไม่รอคำตอบ ถามแทรกขึ้นมาอย่างสนุก “โจ๊ะโละเท่าคอม้า ไปก้าบ่หันฮอย”
ท่าน ว. : อะไรเอ่ยสูง ๆ เท่าคอม้า ไปค้าไม่เห็นรอย
ระหว่างที่พวกเรานั่งนึกคำตอบกัน พ่ออุ้ยก็ทายปัญหาต่อไปอีก “แต๊บแป๊บเท่าลิ้นช้าง ม้างแผ่นดินเมือง”
ท่าน ว. : อะไรเอ่ย บาง ๆ เหมือนลิ้นช้าง แต่สามารถขุดแผ่นดินขึ้นมาได้ทั้งเมือง
พ่ออุ้ยนึกคำถามได้อีก คราวนี้ทายออกมาเป็นชุด ๆ คล้องจองทำให้พวกเราได้เฮกันทั่วหน้า “ตุ๊บ ๆ กลางนา…พญากลางดง…โต๊งโก๊งกลางดอย…คาบฝอยล่องห้วย”
ท่าน ว. : คราวนี้รู้หรือยังว่าพระอาจารย์เป็นกวีเหมือนใคร (ท่าน ว.หัวเราะชอบใจใหญ่)
พ่ออุ้ย : “แก้ได้ก่อ ๆ” (ทายถูกไหม ๆ) พ่ออุ้ยเร่งให้พวกเราทายกันไว ๆ ก่อนจะเฉลยให้ฟัง…(โปรดดูเฉลยท้ายบทสัมภาษณ์)
หลังจบการเล่นปริศนาคำทายตามด้วยเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงแล้ว พ่ออุ้ยมีทีท่าว่าเริ่มจะเหนื่อย เราจึงให้ท่านพักและหันมาสัมภาษณ์ท่าน ว.แทน โดยมีพ่ออุ้ยนั่งฟังอยู่ข้างๆ
ตอนนี้เหลือโยมพ่อคนเดียวแล้ว อยากทราบว่าพระอาจารย์ดูแลปรนนิบัติโยมพ่ออย่างไรบ้างคะ
ท่าน ว. : พอพ่อเริ่มอายุเจ็ดสิบ พระอาจารย์ก็บอกให้พี่ทุกคนกลับมาอยู่ใกล้ ๆ พ่อ เพราะก่อนหน้านี้ทุกคนไปค้าขายต่างจังหวัดกันหมดตอนนี้พ่อจะเป็นศูนย์รวมจิตใจของพวกเราทุกคน ส่วนพระอาจารย์เองก็หักดิบออกจากกรุงเทพฯตอนอายุ 35 ตอนที่กลับมา เพื่อนบอกว่าพระอาจารย์โง่มาก เพราะกำลังมีชื่อเสียง แม้แต่พระผู้ใหญ่บางท่านก็ไม่เห็นด้วย บอกว่าเราหนีกลับมาอยู่เชียงรายแบบนี้จะไม่มีอนาคต แต่พระอาจารย์มีความเห็นว่า ตอนที่แม่ยังอยู่ เราก็ไม่ทันได้ดูแลท่านอย่างเต็มที่ เพราะพอพระอาจารย์เรียนถึงแค่เปรียญธรรมเจ็ดประโยค แม่ก็จากไป
ฉะนั้นเมื่อพ่อยังอยู่ เราควรต้องกลับมาอยู่กับท่าน เรียกว่าเป็นยุทธศาสตร์ถอยไปข้างหน้า จะได้ดูแลพ่ออย่างใกล้ชิด ให้พ่อแข็งแรงขึ้นทั้งกายและใจ ได้กินอิ่มนอนอุ่น สุขภาพดี อยากมาหาพระลูกชายเมื่อไหร่ก็มาได้ทันที เพราะที่นี่ห่างจากเชียงของ (บ้านพ่ออุ้ย) เพียงชั่วโมงครึ่ง แล้วที่กุฏิของพระอาจารย์ก็จะมีเตียงสแตนด์บายไว้ให้พ่อตลอด เผื่อพ่อมาวันไหนแล้วอยากจะนอนก็นอนได้เลย พระอาจารย์คิดว่า ถ้าอยากให้พ่อแม่อายุยืน เราต้องอยู่ใกล้ ๆ ท่าน เพื่อให้ท่านรู้สึกว่าท่านยังมีคุณค่าในสายตาของลูกหลาน
นอกจากนั้นพระอาจารย์ก็พาพ่อเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมด้วยวันพระวันสำคัญต่าง ๆ ก็ให้พ่อได้ตักบาตรทำบุญ ให้ได้อยู่ในบรรยากาศของบุญกุศลตลอด และทุกปีก็จะให้พ่อเป็นประธานกฐินซึ่งตรงตามที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า การตอบแทนพระคุณพ่อพระคุณแม่ที่ประเสริฐที่สุดคือการพาพ่อแม่เข้าสู่เส้นทางธรรม ซึ่งเราทำอยู่เสมอ และถ้ามีเวลาว่าง พระอาจารย์ก็จะพาพ่อนั่งรถเที่ยวข้ามไปฝั่งแม่สาย พาพ่อไปดูเสื้อผ้าอาภรณ์ แถวฝั่งพม่า ท่าขี้เหล็กเขารู้จักพ่อกันหมด แค่พ่อเดินผ่าน เขาก็เอาของมาให้แล้วไม่ว่าพระอาจารย์จะไปด้วยหรือไม่ พ่อก็ได้ของกลับมาเต็มคันรถเหมือนกัน
บางครั้งก็พาพ่อไปเที่ยววัดร่องขุ่น เที่ยวน้ำตก แล้วก็พาพ่อนั่งเครื่องบินไปกรุงเทพฯ ไปวัดพระแก้ว ไหว้หลวงพ่อโสธร และพาไปสยามพารากอนด้วย ซึ่งพ่อชอบมาก ไม่ได้ชอบสินค้านะ แต่ชอบขึ้นบันไดเลื่อน พ่อเรียกว่า “คันไดไหล”
พูดจบท่าน ว.ก็หันไปถามพ่ออุ้ยว่า “ตี้ลูกพาป้อขึ้นเครื่องบินม่วนก่อ”
พ่ออุ้ยยิ้ม “ม่วนกา”
ท่าน ว. : แรก ๆ พาพ่อขึ้นเครื่องบิน พ่อมีแค่ย่ามใบเดียว แต่พอเห็นคนโน้นคนนี้มีกระเป๋าลาก ลงจากเครื่อง พ่อบอกซื้อกระเป๋าลากให้พ่อหน่อย พ่อจะเอาไว้ขึ้นเครื่องบิน ทุกวันนี้พ่อเลยมีกระเป๋าลากเป็นของตัวเอง (ท่าน ว.ยิ้มชอบใจ)
มีธรรมะข้อไหนที่ท่าน ว.มอบให้คุณพ่อเป็นพิเศษไหมคะ
ท่าน ว. : ธรรมะสำหรับตระกูลเรา หนึ่งคือ ความกตัญญู สองคือไม่ประมาท เราจะถือว่าเวลาที่เราอยู่ด้วยกันคือชั่วโมงทองคำ ซึ่งหมายถึง เราไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันทุกวัน แต่ทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกันจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เมื่อหลับตาลง ให้รู้สึกภูมิใจว่าเราได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรติดค้างระหว่างเราพ่อแม่ลูก
พระอาจารย์คิดว่าเราควรทำทุกวันให้เป็นวันพ่อวันแม่ และเป็นวันที่พิเศษเสมอสำหรับท่าน บ้านเราจะมีลูก ๆ ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่กับพ่ออย่างนี้ตลอด วันดีคืนดีพระอาจารย์ก็จะให้ช่างซอที่พ่อชอบมาซอให้พ่อฟัง บางทีก็เอารถไปรับพ่อไปกินอาหารในเวียง(ตัวเมืองเชียงของ) ลูก ๆ ทุกคนจะซื้อเสื้อผ้าให้พ่อให้แม่เสมอ และทุกสิ้นปี พระอาจารย์จะต้องซื้อฟูก ซื้อที่นอน ซื้อผ้าห่มใหม่หมอนใหม่ และเปลี่ยนผ้าปูเตียงให้พ่อ เพราะเป็นสิ่งที่ท่านใช้ประจำพระอาจารย์ทำทุกปีจนเป็นธรรมเนียมไปแล้ว
ท่านว.ได้หลักการดำเนินชีวิตจากคุณพ่อคุณแม่เรื่องอะไรบ้างคะ
ท่าน ว. : แม่เป็นคนที่ให้เรื่องใฝ่เรียนใฝ่รู้ ทำอะไรทำจริง แม่จะบอกว่า“จำไว้นะลูก ขึ้นห้วยต้องขึ้นให้สุดขุน” ซึ่งหมายความว่า ทำอะไรก็ตามต้องทำให้เต็มที่ ทำให้ถึงที่สุด ถ้าไม่ถึงที่สุด อย่าเลิก ซึ่งตรงกับคำสอนของลินคอล์นว่า ไม่มีใครล้มเหลวถ้าหากเขาไม่ล้มเลิก
ส่วนพ่อ ท่านให้เรื่องความเมตตาสูงมาก มีหลายครั้งที่โยมแม่ไม่อยู่ พระอาจารย์อยู่กับพ่อ แอบเห็นพ่อตักข้าวจากยุ้งของเราไปให้เพื่อนบ้าน พ่อจะเห็นคนอื่นเป็นคนที่น่าช่วยเหลือเสมอ ทุกวันนี้เวลาไปซื้อของ พ่อจะไม่เคยต่อราคาแม่ค้าเลย พ่อบอกเอ็นดูเขาเราเคยจนมาก่อน นอกจากนั้นการที่พ่อเป็นนักเล่า ผลก็ติดมาถึงพระอาจารย์ เวลาไปเทศน์ที่ไหนก็จะมีเรื่องเล่าให้โยมฟังเสมอในเรื่องเล่าก็จะมีเรื่องราว นี่คือได้มาจากพ่อ พ่อมีความเป็นศิลปินเป็นกวีชาวบ้าน ท่านสามารถขับกาพย์กลอนโคลงฉันท์เป็นภาษาล้านนาได้ อย่างวันนี้พวกเราก็ได้ไปตั้งหลายบทแล้ว (หัวเราะ)
คุณพ่อเคยคิดจะบวชบ้างไหมคะ
ท่าน ว. : ไม่คิดเลย แต่ถึงแม้พ่อจะไม่ได้บวช ก็เหมือนบวชไปแล้วครึ่งตัว เพราะว่าพระอาจารย์บวช พยายามทำให้พ่อได้อยู่ในวงล้อมของบุญกุศลตลอดเวลา คือหลับตาพ่อก็เห็นแต่ผ้าเหลือง พระอาจารย์คิดว่า ชีวิตของพ่อทุกวันนี้มีความสุขดี เหมือนพระราชาของลูก ๆ เลยนะ ตอนหนุ่ม ๆ พ่อลำบากเพื่อพวกเรามามาก ตอนนี้ลูก ๆ ทุกคนก็กลับมาดูแลพ่อ ให้พ่อเป็นพระราชาของเรา และถึงเวลาแล้วที่พระราชาองค์นี้จะมีความสุข เราไม่ต้องพยายามที่จะกตัญญูต่อท่าน เพราะสิ่งที่ท่านให้มานั้น ทำให้เราอิ่ม ทำให้เราเต็มจนเรารู้สึกว่าถ้าท่านไม่ให้ เราคงไปไม่รอด ฉะนั้นเราทุกคนจึงเต็มใจให้ท่านกลับคืน โดยที่ท่านไม่ต้องร้องขอ
อีกอย่างพ่อจะเบิกบานเวลามีแขกมาหา มีคนมาเยี่ยม มีความสุขกับการได้แจกข้าวของให้คนโน้นคนนี้ เวลาพาไปแจกผ้าห่มแจกทุนการศึกษา ตาของพ่อจะทอประกายด้วยความสุข พระอาจารย์ก็เลยคิดว่า พ่อไม่จำเป็นต้องบวชก็ได้ แค่นี้ก็พอแล้ว
จากการที่ท่านบวชมา ท่านมีความเห็นว่าคำสอนของคุณพ่อแตกต่างจากคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างไรคะ
ท่าน ว. : ไม่แตกต่างนะ พ่อเรียนไม่สูง ไม่เคยได้รับการศึกษาในระบบโรงเรียน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อไม่มีการศึกษา พ่อมีปัญญาพอที่จะสอนลูกทั้งหกคนให้รักกัน ให้กตัญญูและเห็นคุณค่าของโรงเรียน ถึงขนาดถามพระอาจารย์ว่า “ไม่ไปโรงเรียน อยากโง่เหมือนพ่อเหรอ” ซึ่งประโยคนี้ทำให้พระอาจารย์ยอมกลับเข้าโรงเรียนได้ทันที นี่คือปัญญาของพ่อ
คำสอนของพ่อจึงสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้าคือหนึ่ง ให้ลูก ๆ เห็นคุณค่าของการศึกษา สอง ให้ลูก ๆ ทุกคนรักกันสาม เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก ๆ เห็นว่าคนเราต้องมีธรรมะ สี่ เป็นบุคคลตัวอย่างแห่งการให้ และ ห้า เป็นตัวอย่างของการทำหน้าที่พ่อที่ดี คือไม่ว่าลูกจะมีชื่อเสียงยังไงก็ตาม พ่อก็ยังมองเราว่าเป็นลูกหล้าหรือเป็นไอ้ตัวเล็กของพ่อเสมอ ปฏิปทาของพ่อเหล่านี้ไม่มีอะไรขัดแย้งกับพระพุทธองค์เลย
การที่พระอาจารย์ดูแลป้อนข้าว ป้อนน้ำ ล้างเท้าให้พ่อแต่กลับมีคนตำหนิ พระอาจารย์มีความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไรคะ
ท่าน ว. : คนเราทุกวันนี้ถูกสอนให้มีทักษะในการทำมาหากิน แต่ไม่มีทักษะในการใช้ชีวิต เรารู้สารพัด แต่เราไม่รู้พระคุณพ่อแม่ เราแคร์คนอื่นจนกล่าวว่าลูกค้าคือพระเจ้า โดยไม่รู้ว่าพระเจ้าที่แท้จริงคือพ่อกับแม่ของเราเอง เราบ้าเห่อวิ่งไปหาพระอรหันต์ เอาเงินเอาทองไปประเคนให้ แล้วก็ปล่อยให้พ่อแม่อดอยากปากหมองอยู่ที่บ้าน เรามุ่งเรียนภาษาต่างประเทศเพื่อเข้าสู่เออีซี เข้าสู่เวทีโลก แต่เราไม่เรียนภาษาธรรมเลย ดังนั้นเราจึงไม่สนใจที่จะตอบแทนพระคุณพ่อแม่เราถือว่ามนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน เลยไม่ต้องตอบแทนพระคุณพ่อแม่ก็ได้ เห็นไหมว่าเราทอดทิ้งการศึกษาด้านจริยธรรมซึ่งสำคัญที่สุด
พระพุทธเจ้าสอนให้ลูกทุกคนกตัญญูกับพ่อแม่ แม้คนคนนั้นจะเป็นพระสงฆ์ และพระพุทธองค์ไม่ได้สอนเท่านั้น แต่ทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย สมเด็จพ่อของท่านนิพพานคาอ้อมกอดท่าน ส่วนสมเด็จแม่ พระองค์ก็เสด็จไปโปรดถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านเป็นพระอรหันต์ ตัดกิเลสได้แล้วก็จริง แต่ท่านไม่เคยตัดความสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูก ฉะนั้นสิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่เราควรทำอย่างยิ่ง
พระอาจารย์คิดว่าการปรนนิบัติดูแลคุณพ่อคุณแม่จะนำไปสู่การบรรลุมรรคผลนิพพานได้ไหมคะ
ท่าน ว. : การเลี้ยงดูพ่อแม่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการประพฤติปฏิบัติธรรมเพราะแท้ที่จริงแล้วการดูแลพ่อแม่ก็คือการประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่แล้วในตัว มันคือสิ่งที่เรียกว่า มาตาปิตุอุปฏฺานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การบำรุงบิดามารดาเป็นมงคลอันสูงสุด ฉะนั้นไม่ต้องเรียกหาการปฏิบัติธรรมอย่างอื่นอีก ที่สำคัญ นี่คือธรรมขั้นสูงด้วย เพราะเป็นการปล่อยวางตัวตนอัตตา ปล่อยวางตัวกูของกูและอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพ่อแม่ของเรา ในทางสังคมเขาถือว่าพระคือสมณเพศเป็นอุดมเพศ คือเพศที่สูงที่สุด แต่ถ้าวันหนึ่งคุณละอัตตาอีโก้ (ตัวกูของกู) ลง แล้วล้างเท้าให้พ่อให้แม่ได้ นั่นคือคุณกำลังปฏิบัติขั้นปรมัตถธรรม เพราะต้องละทิ้งสมมุติบัญญัติทั้งปวง
มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีพระรูปหนึ่งบวชมาสิบสองปี ท่านน้อยใจและรู้สึกผิดที่ทิ้งพ่อแม่มา หวังจะได้มรรคผลนิพพาน ท่านจึงคิดลาสิกขา ก่อนจะสึกก็คิดว่าเรามาบวชก็เพราะพระพุทธเจ้าครั้นจะสึกก็น่าจะไปลาพระพุทธเจ้าเสียก่อน แต่เมื่อไปถึงพระพุทธเจ้าทรงถามว่าเธอจะไปไหน ภิกษุนั้นตอบว่า หม่อมฉันจะทูลลาเพื่อไปเลี้ยงโยมพ่อโยมแม่ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า เธอไม่ต้องลาสิกขาก็สามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ ภิกษุรูปนั้นดีใจมาก วันรุ่งขึ้นจึงออกบิณฑบาต แล้วนำข้าวที่ได้ไปเลี้ยงพ่อแม่ คนที่เห็นนำความไปฟ้องพระพุทธเจ้า แต่พระองค์ตรัสว่า อาหารบิณฑบาตยกให้ใครไม่ได้ยกเว้นพ่อกับแม่ เราไม่ปรับเป็นอาบัติ เพราะสองคนนั้นคือบุคคลผู้มีพระคุณสูงสุดต่อลูก
ความรู้ดี ๆ อย่างนี้ ระยะหลังการศึกษาไทยถอดออกจากบทเรียนหมด แล้วหันไปมุ่งเรียนวิทย์ คณิต อังกฤษ แต่วิชาศีลธรรมวิชาหน้าที่พลเมืองที่สอนให้คนมีความรู้คู่กับความดีกลับถอดทิ้งผลคือคนของเรามีจริยธรรมที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน สังคมของเรามีปัญหาเพราะเราถอดวิชาจริยธรรมซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดทิ้ง คนของเรายิ่งเก่งจึงยิ่งโกง เราไปรับอารยธรรมตะวันตกมาทั้งดุ้น แล้วหลงลืมส่วนที่ดีที่สุดของเราไป กลับมองว่าคนที่ดูแลพ่อแม่เป็นพวกดราม่าพากันตำหนิคนเหล่านี้ว่าโคตรไทยเลย โลกเขาไปถึงไหนกันแล้วอยากถามว่าแล้ว คุณไม่รู้หรือว่าทุกวันนี้โลกตะวันตกเขาโหยหาความเป็นครอบครัวกันมาก ผู้ชายนอร์เวย์ต้องการแต่งงานกับหญิงไทย เพราะต้องการให้ไปดูแลพ่อแม่ของเขา ฉะนั้นถ้าเราจะตามฝรั่ง เราต้องตามอย่างรู้ทัน อย่าไปตามกระพี้ฝรั่งแล้วมาถุยน้ำลายใส่ของดีที่มีอยู่ในเมืองไทย
เรื่องความกตัญญูและการตอบแทนพระคุณพ่อแม่เป็นเรื่องที่สำคัญและยิ่งใหญ่มาก ยอดคนของโลกนั้นไม่เคยทิ้งความกตัญญู-กตเวทีเลย คนที่มีปัญญาที่แท้จริงจะกลับมาดูแลพ่อแม่ทั้งนั้นตัวอย่างเช่น สมเด็จพระสังฆราช ท่านก็สร้างกุฏิให้แม่อยู่ติดกับกุฏิของท่าน นอกจากนั้นท่านยังเอาอาสนะที่แม่เย็บถวายมาซ้อนในอาสนะของในหลวง แล้ววางตรงหน้าพระ กราบทุกเช้าค่ำ หลวงพ่อชาสุภัทโท ก็ให้แม่มาบวชเป็นชี ท่านพุทธทาสก็ดูแลแม่อย่างดีที่สุดฯลฯ
ตามหลักพุทธศาสนานั้น การตอบแทนพระคุณพ่อพระคุณแม่ที่ประเสริฐที่สุดคือ การพาพ่อแม่เข้าสู่เส้นทางธรรม และความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี คนเราถ้ามีความกตัญญูแล้วจะไม่ทำร้ายพ่อแม่ หรือแม้แต่ประเทศชาติบ้านเมืองของตัวเอง คุณธรรมเหล่านี้เราควรจะรื้อฟื้นขึ้นมาและปฏิบัติให้เป็นมรรคเป็นผลให้ได้
การพูดคุยกับแขกพิเศษทั้งสองท่านในวันนี้จบลงอย่างงดงามท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง แม้แสงแดดอันอบอุ่นจะลาลับไปแล้วแต่ความอบอุ่นในหัวใจของทุกคนยังคงอยู่จวบจนวันนี้ และ Secretเชื่อเหลือเกินว่า นอกจากเรื่องราวที่เราพูดคุยกันจะสร้างความสุขให้กับท่าน ว.วชิรเมธีและโยมพ่อแล้ว ผู้อ่านก็คงได้รับแง่คิดดี ๆพร้อมกับความประทับใจ และอิ่มเอมไปกับบรรยากาศที่เปี่ยมด้วยความรักแท้อันบริสุทธิ์ระหว่างพ่อลูกเช่นกัน
อานิสงส์แห่งความกตัญญู
ท่าน ว. : ก่อนหน้าที่เราจะได้เห็นพ่ออุ้ยสดชื่นและมีสุขภาพแข็งแรงเช่นวันนี้ น้อยคนนักที่จะรู้ว่าปีที่แล้วท่านป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดขั้นรุนแรง และวันที่แพทย์ตรวจพบนั้น เชื้อมะเร็งได้แพร่กระจายจนเต็มปอดแล้ว แพทย์ลงความเห็นว่าพ่ออุ้ยต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน แต่ด้วยความที่ท่านอายุมากแล้ว การผ่าตัดจึงมีโอกาสเสี่ยงสูง ท่าน ว.เล่าว่า คืนที่ทราบข่าว ท่านถึงกับนอนไม่หลับ เพราะอีกไม่นานที่ไร่ก็จะจัดงานทอดกฐินครั้งใหญ่ และท่านตั้งใจไว้ว่าจะให้พ่ออุ้ยได้เป็นประธานกฐินสักครั้งในชีวิต คิดแล้วท่านจึงตั้งจิตอธิษฐานขออุทิศบุญกุศลและคุณงามความดีทั้งหมดที่ท่านได้เคยบำเพ็ญมาให้กับพ่ออุ้ย ขอให้พ่ออุ้ยมีโอกาสสร้างบุญใหญ่เสียก่อน
หลังเสร็จสิ้นงานบุญ ก่อนถึงกำหนดวันผ่าตัด ท่าน ว.เกิดเอะใจขึ้นมา จึงให้ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญชุดเดิมตรวจเช็กร่างกายพ่ออุ้ยอีกครั้ง ปรากฏว่า ก้อนมะเร็งขนาดใหญ่ได้ลดขนาดลงเหลือเพียง 2 เซนติเมตร และต่อมาเมื่อตรวจดูอีกครั้งก็กลับอันตรธานหายไปจนหมดสิ้น สร้างความประหลาดใจให้กับทีมแพทย์ ท่าน ว. และตัวพ่ออุ้ยเองอย่างมาก ทุกคนต่างลงความเห็นว่า ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นนี้คืออานิสงส์ของความรักความกตัญญูที่ท่าน ว.มีต่อพ่ออุ้ยโดยแท้
คำเฉลยเกมปัญหาเชาว์ของพ่ออุ้ย
1. อุ้มลุ่มเท่าฮังต่อ ผ่อบ่หัน = หัวคน
2. โจ๊ะโละเท่าคอม้า ไปก้าบ่หันฮอย = เรือ
3. แต๊บแป๊บเท่าลิ้นช้าง ม้างแผ่นดินเมือง = คันไถ
4. ตุ๊บๆ กลางนา…พญากลางดง…โต๊งโก๊งกลางดอย…คาบฝอยล่องห้วย = คนตีข้าว…เสือ…เถาวัลย์…กุ้ง
Secret BOX
การเลี้ยงลูกต้องทำให้ดู อยู่ให้เห็น
เย็นให้สัมผัส ปฏิบัติให้เป็นแรงบันดาลใจ
ว.วชิรเมธี