พุทธศาสนาไม่เชื่อเรื่องของพรหมลิขิต ไม่เชื่อว่าชีวิตของเราจะเป็นไปตามความบังเอิญ แต่เกิดจากอำนาจของกรรมที่เราทำไว้เอง
การประสบพบคู่รักก็เช่นกัน ไม่ใช่เรื่องของความบังเอิญและไม่ใช่เรื่องของพรหมลิขิต ทันตแพทย์สม สุจีรา เรียกว่าเป็น “จิตลิขิต” ซึ่งสะท้อนออกมาเป็นบุพเพสันนิวาส
เมื่อเกิดความผิดพลาดในการตัดสินใจเช่น แต่งงานกับคนที่เรามารู้ตอนหลังว่าเขาไม่ใช่ หรือรู้ทั้งรู้ว่าเขามีข้อเสียที่เข้ากับเราไม่ได้ก็ยังดื้อดึงที่จะแต่งงานด้วย เรามักจะคิดย้อนกลับว่า “ตอนนั้นเราน่าจะตัดสินใจอีกแบบ” แต่ในความเป็นจริงทำไม่ได้ เพราะการตัดสินใจเป็นเรื่องของความรู้สึก จิตวิญญาณ และพลังแห่งกรรมที่ทำให้เกิดการตัดสินใจแบบนั้น ไม่ว่าจะย้อนอดีตไปสักกี่ครั้ง ถ้ากรรมเก่ายังไม่หมด เราก็จะตัดสินใจแบบเดิม
ตอนที่ตัดสินใจแต่งงานกับพ่อของลูกด้วยความที่เป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองมาก แม้ว่าใครจะบอกจะเตือนอย่างไร ปู (ปริศนา กล่ำพินิจ) ก็ไม่เชื่อเพราะคิดเสมอว่า “ฉันเชื่อตัวเองและต้องลองด้วยตัวเอง” แล้วสิ่งที่เจอคือบทเรียนที่ว่า อย่าไปคิดว่าเราจะเปลี่ยนใครได้ เพราะแม้แต่ตัวเราเองก็ยังเปลี่ยนไม่ได้เลย
ชีวิตคู่ที่เลือกเอง
ปูเป็นคนติดเพื่อนมาก ชอบเที่ยวเฮฮากับเพื่อนและรุ่นน้องในมหาวิทยาลัย ปัจจุบันนี้หลายคนได้ดิบได้ดีเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่โต แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ ไม่สนใจว่าใครเป็นใคร ทำงานอะไร แค่เป็นเพื่อนกันเย็นลงก็เที่ยวด้วยกัน หัวหกก้นขวิดสังสรรค์เฮฮากันยันเช้า
ด้วยความที่ชีวิตวัยรุ่นสนุกสนานมากปูเคยตั้งใจไว้ว่าจะไม่แต่งงานและไม่มีลูกเด็ดขาด อยากจะใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนเพราะรักเพื่อน ติดเพื่อนมาก ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยก็จะมีกุ๊กกิ๊กบ้าง แต่ไม่ได้จริงจังอะไร เรียนจบต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำงาน
หลังจากนั้นมีคนเข้ามาแจกขนมจีบหลายคนนะ โสดก็มี ไม่โสดก็มาก แต่เราก็ไม่ได้สนใจใคร จนกระทั่งเมื่อมาทำงานที่สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และทำงานเป็นพี่เลี้ยงกองประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ เฮเลน - ปทุมรัตน์ วรมาลี นางงามปีนั้นได้แนะนำให้รู้จักกับอดีตสามี
ตอนนั้นเขาเพิ่งกลับจากเมืองนอกยังไม่มีงานทำ เราก็มองว่าไม่ใช่ปัญหา แม้ว่าจะมีหลายคนทักท้วงอย่างไร เราก็ไม่เชื่อ เพราะเป็นหญิงมั่นไง มองเห็นแต่ข้อดีของเขามากเกินไป จนเรียกได้ว่าคิดอะไรง่าย ๆ มิหนำซ้ำอะไรหลาย ๆ อย่างของเขาเราก็คิดว่าเมื่อแต่งงานกันแล้วจะเปลี่ยนเขาได้ แต่ความจริงเขาก็ยังเป็นเหมือนเดิม เชื่อแล้วค่ะ กับประโยคที่ว่า “สันดอนขุดได้ แต่สันดานขุดไม่ได้จริง ๆ”
หลังจากคบกันได้เกือบปี วันหนึ่งเขามารับไปทานข้าว แล้วก็พาไปจดทะเบียนสมรสแบบไม่ทันตั้งตัว ด้วยความที่เป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ ก็ยังคิดไปว่าเขาจริงใจบริสุทธิ์ใจกับเรา เราก็ไม่ได้ปรึกษาที่บ้านเลยคิดแค่ว่าคนสองคนรักกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็จะกัดก้อนเกลือกิน สร้างครอบครัวไปด้วยกัน
เราอยู่ด้วยกันปีหนึ่ง หลังจากนั้นเมื่อเขาพร้อมเราก็จัดงานแต่งงาน หนึ่งปีให้หลังปูก็มีลูก และคิดว่าชีวิตครอบครัวจะดีขึ้น แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างนั้นมีแต่จะเลวร้ายลง จนเมื่อลูกอายุได้ 3 ขวบปูก็ตัดสินใจเลิกกับเขา
ตอนนั้นชีวิตแย่มาก จากที่ไม่เคยคิดจะแต่งงาน ไม่อยากมีครอบครัว แล้ววันหนึ่งมาเจอเขาที่ทำให้เราคิดว่า “ลองดูน่า”แต่พอมันไม่ใช่อย่างที่คิด เรารู้สึกผิดหวังเคว้งคว้าง ปูคิดว่า เราคงทำกรรมกันมา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในเรื่องร้าย ๆ ก็ยังมีมุมดี ๆให้เห็น แม้ว่าเราจะไม่สามารถมีชีวิตคู่ร่วมกันได้ แต่เขาก็เป็นพ่อที่รักลูกมาก ตอนนี้ลูกสาวอายุ 20 ปี กำลังเรียนมหาวิทยาลัยปี 3 แม้ว่าตอนเด็ก ๆ เขาจะเป็นเด็กสองบ้านแต่ก็ไม่ได้เป็นปมด้อยกับเขาเลย เขากลับตั้งใจเรียน ไปติวไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยเอง
เราก็ได้แต่พร่ำสอนให้เขาเลือกคบเพื่อนดี ๆพากันเรียนหนังสือ พากันไปทำแต่สิ่งดี ๆเป็นห่วงเขามาก ไม่อยากให้เขามีชีวิตเหมือนเรา ถ้าขอพรได้ อยากขอให้เขามีความสุขมีงานดี มีชีวิตดี มีครอบครัวที่อบอุ่น
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองในแง่พุทธศาสนาการตัดสินใจของปูก็เป็นไปตามกฎแห่งกรรม การที่คนเราได้แต่งงานกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเป็นเรื่องของพลังแห่งกรรมที่ทั้งคู่ได้ทำร่วมกันมา ก่อให้เกิดความรักใคร่ชอบพอ ฉะนั้น ไม่ว่าจะถูกขัดขวางอย่างไร เราก็ต้องแต่งงานกัน
แต่เมื่อชีวิตคู่ไม่ได้เป็นอย่างหวัง เราก็ต้องมีสติและดำเนินชีวิตต่อไปเพื่อคนที่เรารัก อดีตที่ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป แล้วตั้งต้นใหม่ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ปูมีประโยคเด็ดประจำตัวคือ “ไม่ได้เป็นคนที่ดีที่สุดแต่ก็เลือกที่จะทำดีให้ได้มากที่สุด” ยืมไปใช้กันได้นะคะ
ขอเป็นสะพานบุญชวนคนทำดี
นอกจากจะโชคไม่ดีเรื่องชีวิตคู่แล้วปูก็ยังเจอโจรขึ้นบ้านถึง 4 ครั้ง และโดนทุบรถ ใครรู้ก็ถามว่าทำใจได้อย่างไร ทำไมถึงยังยิ้มได้ เป็นเขานะ คงเสียใจตายไปแล้วแต่สำหรับปูคิดว่า ชาติที่แล้วเราคงไปเอาของเขามา ชาตินี้ก็ต้องใช้คืนเขาไป สบายใจ
ครั้งที่หนักที่สุด วันนั้นออกไปทำงานแต่เช้ามืด โจรงัดบ้านเข้ามารื้อตู้ที่เก็บของมีค่าตู้เดียวเลย ไม่รื้อไม่ค้นอะไร คิดว่าคนในแน่ ๆ น่าจะเป็นแม่บ้านที่เข้า ๆ ออก ๆเอาทรัพย์สินมีค่าไปกว่า 3 ล้านบาท ครั้งอื่น ๆก็เป็นข้าวของเล็ก ๆ น้อย ๆ ส่วนที่โดนทุบรถก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะโดนกับตัวเอง วันนั้นกลางวันแสก ๆ จอดรถลงไปซื้อของแถวซอยอารีย์แป๊บเดียว กลับมาก็ เอ๊ะ! ทำไมกระจกรถมันยุบ อ้าว รถโดนทุบกระจกเพราะเราประมาท เอาซองใส่โน้ตบุ๊กมาใส่เอกสารแล้ววางล่อตาล่อใจไว้บนเบาะที่นั่งข้างคนขับ เขาก็ได้ของเล็ก ๆ น้อย ๆไปหลายอย่าง ฟาดเคราะห์ซ่อมรถกันไป
แม้จะเจอวิบากกรรมอย่างไร ปูก็คิดว่าเรื่องของกรรมบางอย่าง ต่อให้เราระวังแค่ไหนก็ต้องเจอ แต่เรื่องของการทำบุญทำกุศล เราต้องหมั่นทำอย่างสม่ำเสมอ
การทำงานที่สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ทำให้ปูมีโอกาสช่วยเหลือสังคมทำบุญ และบอกบุญกับคนอื่น ๆ อย่างการจัดตลาดนัดดารานี่ เราก็ตั้งใจที่จะช่วยส่งเสริมอาชีพเสริมดารา ทำให้พวกเขามีงานต่อเนื่อง แถมยังมีเงินกองกลางที่ได้ไปทำบุญร่วมกันอีก หลายคนถามว่า ทำไมปูไม่ทำอะไรให้ตัวเองบ้าง ก็งง ๆ นะ ถามเขากลับไปว่า ต้องทำอะไรล่ะ บุญเราก็ทำตลอด เขาก็บอกว่าใช่ คุณทำบุญ แต่คุณทำให้วัดทำให้โน่นให้นี่ แต่การทำให้ตัวเองคือการสวดมนต์ปฏิบัติธรรม นี่ละที่ตัวเราจะได้เต็ม ๆ ความจริงปูก็ทำนะ แต่ชอบทำกิจกรรมอย่างอื่นมากกว่า ไม่ว่าจะงานบุญงานกุศล งานสังคม ชอบช่วยเหลือคนชอบทำทาน ชอบเห็นคนอื่นมีความสุขปูเป็นคนตรง ๆ ตรงมาก คนรักก็เยอะคนเกลียดก็แยะ มองภายนอกปูอาจเป็นคนปากร้ายปากไว แต่ในใจไม่มีอะไรเลยจริง ๆตั้งใจไว้แล้วว่า ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้จะช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และช่วยเหลือสังคมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ปูไม่ได้มีเงินเยอะแยะ แต่ปูยังมีแรงกาย แรงใจ มีศรัทธาที่จะบอกบุญเป็นสะพานบุญให้คนมาช่วยกันทำบุญ
ชีวิตปูอาจไม่ได้สมบูรณ์แบบ มีบางช่วงที่หลงเดินผิดทาง แต่เมื่อรู้สึกตัวก็อยากกลับมาเริ่มต้นใหม่ ทำสิ่งดี ๆ ให้ตัวเองและสังคม กรรมไม่ดีเราก็ชดใช้ไป กรรมใหม่เราก็ทำแต่สิ่งดี ๆ ปูคิดว่า อย่างน้อยเราก็โชคดีมากที่ได้เกิดมาเป็นปริศนา กล่ำพินิจมีคุณพ่อคุณแม่ที่ดี มีคุณปู่ที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ชีวิต มีน้องดี ไม่เคยนำความเดือดร้อนมาให้ มีลูกสาวที่น่ารัก ตั้งใจเรียน ทำให้แม่ได้ภาคภูมิใจ
(เรื่อง ปริศนา กล่ำพินิจ เรียบเรียง เสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี)