บิล เกตส์ สอนลูกอย่างไร? บทความน่าคิดจาก ท่าน ว.วชิรเมธี
เมื่อหลายปีก่อน นิตยสาร ไทม์ ซึ่งเป็นนิตยสารที่ทรงอิทธิพลของโลกยกย่องให้ บิล เกตส์ พร้อมด้วยภรรยาของเขา และนักร้องร็อคสตาร์โบโน่เป็น “บุคคลแห่งปี” ทั้งนี้ทางกองบรรณาธิการให้เหตุผลว่า ที่บิล เกตส์และภรรยาของเขา (รวมทั้งโบโน่) ได้รับคัดเลือกนั้นไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาคือ “อภิมหาเศรษฐีของโลก” หากแต่เป็นเพราะพวกเขาคือ “ผู้ให้รายใหญ่ที่สุดของโลก” ต่างหาก
หลังประสบความสำเร็จในฐานะนวัตกรผู้คิดค้นนวัตกรรมตระกูลไมโครซอฟท์และในฐานะมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกต่อเนื่องกันมาหลายปี จนเขาไม่ตื่นเต้นกับทรัพย์สินของตัวเองอีกต่อไปแล้ว บิล เกตส์ตัดสินใจก่อตั้งมูลนิธิในชื่อของเขาและภรรยาเพื่อร่วมกันทำงานการกุศล โดยมุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือประชากรในโลกที่สาม ที่ยังอัตคัดขัดสน และส่งเสริมการปฏิรูปการศึกษาของอเมริกา เขามีความฝันว่า ด้วยศักยภาพแห่งมูลนิธิของเขา น่าจะช่วยทำให้โรคโปลิโอหายไปจากโลกนี้ได้ภายใน 6 ปีเหมือนกับที่ครั้งหนึ่งโรคไข้ทรพิษเคยถูกมนุษย์พิชิตสำเร็จมาแล้ว
นอกจากนั้น ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขากับเพื่อนต่างวัยที่ใคร ๆ ก็รู้จักคือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังร่วมกันก่อตั้งโครงการ The Giving Pledge อันเป็นโครงการที่ชวนมหาเศรษฐีจากทั่วโลกมาร่วมกันทำงานการกุศลภายใต้แคมเปญ “สัญญาว่าจะให้” หมายถึง การมอบทรัพย์สินครึ่งหนึ่งที่ตัวเองมีอยู่ เพื่อการกุศลก่อนหรือหลังการล่วงลับของตนเองก็ได้ ในการทำโครงการนี้ให้เป็นโครงการระดับโลก เขาลงทุนเดินทางไปชักชวนเพื่อนเศรษฐีจากทั่วโลกให้มาร่วมกัน “ทำโลกนี้ให้ดีกว่าเดิม” ปรากฏว่า โครงการนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
นับแต่หันมาทำงานการกุศล ชื่อเสียงของบิล เกตส์ ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ผิดจากยุคแรกที่มีแต่คนก่นด่าและไม่ชอบหน้า ถึงขนาดที่เขาเคยถูกประชาคมเศรษฐกิจยุโรปและกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกาเอง เป็นโจทก์ฟ้องร้องตัวเขาและบริษัทในฐานะที่เป็นนักธุรกิจที่ทำธุรกิจแบบผูกขาด
ว่ากันว่า นอกจากจะเป็นเพราะเขารวยจนหมดความท้าทาย บวกกับการตกผลึกจากประสบการณ์ตรงว่า ความรวยที่มีความเห็นแก่ตัวเป็นตัวขับเคลื่อนอย่างแรงกล้า มีแต่จะทำให้เขาถูกเกลียดมากกว่าถูกรักแล้ว เหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาหันมาสนใจงานการกุศลก็คือ คำเตือนจากแม่ของเขาเองที่บอกว่า “ใครก็ตามที่ได้รับอะไรไปจากโลกมาก ๆ โลกก็คาดหวังว่าเขาควรจะให้คืนในอัตราที่ไม่มากไม่น้อยไปกว่ากัน”
ในมุมกลับกัน เราอาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า
ใครที่ได้รับไปจากโลกมาก แต่ไม่เคยคืนอะไรดี ๆ ให้กับโลกเลย โลกก็มีวิธีทวงคืนที่สาสมเหมือนกัน แต่จะสาสมแบบใด วิญญูชนย่อมรู้ได้เองอยู่แล้ว
อนึ่ง คนที่ฉลาดระดับอัจฉริยะอย่างบิล เกตส์ ย่อมรู้ดีว่าทรัพย์สินเป็นเพียงมายา ประโยชน์ที่รังสรรค์ฝากไว้แก่เพื่อนมนุษย์ต่างหากคือความจริงที่ควรค่าแก่การจดจำ ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาในบั้นปลายของชีวิต (ซึ่งยังไม่แก่เท่าไร) เพื่อประโยชน์สุขของมนุษยชาติมากกว่าการทุ่มเทให้ธุรกิจเพียงอย่างเดียวเหมือนตอนวัยหนุ่ม
คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป>>>