เชฟปีเตอร์

เชฟปีเตอร์ – พงศ์พศิน มุณีกานนท์ กับ ชีวิตที่มีความผิดพลาดเป็นครู

เชฟปีเตอร์ – พงศ์พศิน มุณีกานนท์ กับ ชีวิตที่มีความผิดพลาดเป็นครู

คุณพงศ์พศิน มุณีกานนท์ หรือ เชฟปีเตอร์ เป็นผู้หนึ่งที่เคยเป็นหนี้กว่า 80 ล้านบาทจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แม้ทุกวันนี้เขาจะเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่ากว่า 300 ล้านบาทแต่ยังคงจดจำเรื่องราวต่างๆ ในอดีตได้ดี โดยเฉพาะช่วงเวลาวิกฤตินั้น

ธุรกิจที่คุณปีเตอร์ดูแลอยู่ตอนนี้มีอะไรบ้างคะ

ที่กรุงเทพฯมีร้านอาหารคือทัสคานีไทยคูซีน ที่เขาใหญ่มีโรงแรมเบลลาทัสคานีและทาวน์โฮม เราทำธุรกิจที่เรียกว่าโปรเจ็กต์อินเวสต์เมนต์ เพื่อตอบสนองลูกค้าที่ซื้อบ้านจากเราไปแล้วมาพักได้แค่ช่วงวันศุกร์ เสาร์อาทิตย์ แต่ไม่ต้องการปล่อยบ้านให้เป็นบ้านตากแดดในวันธรรมดา เราจัดการดูแลให้โดยจัดหาลูกค้ามาเช่า เช่น ให้ราชการเช่าเพื่อเป็นสถานที่จัดประชุมของ อบต. ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก นอกจากนี้ที่เขาใหญ่ก็ยังมีร้านอาหารซิซิเลียนสเต๊ก และโครงการล่าสุดที่กำลังดำเนินการอยู่ตอนนี้คือทัสคานีฟาร์มซึ่งเป็นฟาร์มออร์แกนิกเนื้อที่ 52 ไร่

กว่าจะมาถึงวันนี้ ชีวิตคุณปีเตอร์ล้มลุกคลุกคลานมาพอสมควร

ผมมาจากครอบครัวคนจน พื้นเพเดิมอยู่ปากเกร็ด ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีพี่น้อง 3 คน ผมเป็นคนโต สมัยก่อนแม่มีอาชีพรับจ้างสานเข่งปลาทู พอผมอายุได้ 3 ขวบครอบครัวก็ย้ายเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลศรีธัญญาเพราะพ่อได้งานเป็นผู้ช่วยพยาบาลดูแลตึกวิกฤติ

สิ่งที่ผมเห็นจนชินตาก็คือผู้ป่วยจิตเวชทำให้รู้ว่าผู้ป่วยจิตเวชมีหลายประเภท ผู้ป่วยจิตเวชบางคนชอบร้องเพลงไปเรื่อย ๆ บางคนก็นั่งเฉย ๆ แล้วกำหมัดมาชนกัน พ่อผมอยู่กับผู้ป่วยจิตเวชที่ทำร้ายคน พ่อเป็นคนพูดน้อยตั้งใจทำงาน ตอนหลังผู้อำนวยการโรงพยาบาลเลยให้พ่อย้ายไปเป็นพ่อบ้านประจำวิทยาลัยพยาบาล ส่วนแม่เป็นแม่ค้าขายไก่ย่าง จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ พอเลิกเรียนก็ต้องมาช่วยแม่ทำงานหรือวันไหนที่สนามศุภชลาศัยมีงาน ผมก็จะไปร้องขายเป๊ปซี่กับฮ็อตด็อก ได้เงินมา 500 บาทก็ให้แม่หมด แม้จะเรียนและช่วยแม่ขายของไปด้วย ผมก็รู้สึกสนุก ไม่เคยน้อยใจในชะตาชีวิตของตัวเอง แต่ก็คิดอยู่ตลอดเหมือนกันว่าเมื่อไหร่เราจะรวย

แล้วเรื่องการเรียนล่ะคะ เป็นอย่างไรบ้าง

ผมเรียนโรงเรียนโยธินบูรณะ เพื่อนผมทุกคนไปเรียนต่อนายร้อยจนทุกวันนี้ได้ดีกันหมด แต่ผมไปไม่ถึงฝั่งฝัน คือร่างกายไปได้ แต่สมองไปไม่ถึง ผมสอบข้อเขียนไม่ผ่าน พอจบ ม.6 ผมก็ไปเรียนต่อที่มหา-วิทยาลัยรามคำแหง คณะบริหารธุรกิจ ซึ่งผมไม่ค่อยได้ไปเรียน เพราะเอาเวลาส่วนใหญ่มาช่วยแม่ขายของ ตอนนั้นรู้ตัวเองว่าเรียนแบบนี้ไม่รอดแน่ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะลงเรียน 8 วิชา สอบตก 5 วิชา ผ่านแค่ 3 วิชา

พอเรียนรามฯไม่รอดก็เคว้ง แต่โชคดีว่าได้มาเจอกับลูกค้าที่เป็นอาจารย์ช่วยฝากให้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พอเข้าได้ผมเกเรตั้งแต่เข้าปี 1 ตอนนั้นไก่ย่างร้านเราขายดีมาก ได้เงินเยอะมาก ก็เลยจิ๊กเงินในลิ้นชักแม่ไปกินเหล้ากับเพื่อน ตอนเช้าก็ไม่ไปเรียนหนังสือ แต่ปีนรั้วมหาวิทยาลัยไปนั่งกินเหล้า เรียกว่าไม่เมาไม่ใช่ปีเตอร์ตอนนั้นเราเฮี้ยวที่สุดแล้วในหอการค้า ชอบนั่งอยู่ใต้ตึก เวลาคนเดินผ่านก็จะแซวทุกคนไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ผมเกเรมากจนในที่สุดจึงถูกรีไทร์ตอนปี 3

คิดได้ตอนไหนคะ

คิดได้ตอนสายไปแล้ว ถ้าตั้งใจเรียนเราก็จบแน่นอน แต่ไม่เรียน เพราะคิดว่าตัวเองแน่มาก เจ๋งมาก ขนาดตอนสอบยังเมาไปสอบ ตอนนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาก็พยายามให้กำลังใจ บอกให้เราฮึดสู้ ให้ดูแกเป็นตัวอย่างที่ขาเป็นโปลิโอ แกใช้เวลาตั้ง 7 - 8 ปีถึงเรียนจบ ตอนฟังอาจารย์พูดก็เกิดแรงฮึดนะ แต่พอว่างเว้นหลังจากถูกรีไทร์ไปสัก 3 - 4เดือน จากคนดี ๆ ก็ยิ่งเหลวไหลไปกันใหญ่คือออกจากบ้านไปอยู่พัฒน์พงศ์ เป็นเด็กเชียร์แขกเข้าบาร์เลยครับ

ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะคะ อย่างนี้ชีวิตไม่ยิ่งดิ่งลงเหวเลยเหรอ

เพราะไปเข้ากลุ่มเพื่อนไม่ดีครับ จำได้ว่ามีวันหนึ่งเหลือเงินติดตัวอยู่ 20 บาท วันนั้นผมหิวมาก เลยเอาเงิน 20 บาทไปซื้อก๋วยเตี๋ยวกิน บอกให้เขาใส่ผักบุ้งเยอะ ๆ โชคดีที่จังหวะนั้นไปเจอรุ่นน้องที่เคยรู้จักกัน เขาเข้ามาทักว่าพี่มาทำอะไร พอรู้ว่าผมทำงานที่นี่เขาก็ให้ผมพาเที่ยว วันนั้นได้เงินมา 200 บาทก็เอาไปแบ่งเพื่อนซื้อข้าวกิน เงินเลยหมด

ส่วนที่พักผมขอเรียกว่าบ้านโจรก็แล้วกันวันหนึ่งทุกคนไม่มีเงิน แล้วเพื่อนผมคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “เฮ้ย เดี๋ยวเย็นนี้มีกิจกรรม” ผมก็นึกว่าจะพากันไปบาร์อื่น ผมเห็นเพื่อนถือเป้ไปด้วย ก็ถามว่านั่นมึงเอาอะไรไปด้วย พอขอดูก็เห็นว่าเป็นปืน เพื่อนบอกว่า “เย็นนี้มีกิจกรรมปล้นแท็กซี่” พอได้ยินอย่างนั้นเท่านั้นละ ผมก็สะท้อนใจตัวเองเลยว่า นี่เราหมดศักดิ์ศรี หมดทุกอย่างแล้วหรือ ถ้าอยู่ที่นี่ต่อไป ชีวิตคงมีแต่เลวลง จากคนดีของพ่อแม่ นี่เราจะกลายเป็นคนเลวไปแล้วหรือตอนนั้นเพื่อนบอกว่า “คืนนี้จะปล้นตอนสี่ทุ่ม” พอสามทุ่มครึ่งผมก็ตัดสินใจนั่งรถเมล์กลับบ้านทันที ก็นั่งคิดมาตลอดทางว่า ชีวิตเรายังมีอะไรอีกเยอะ เราไม่ได้เป็นคนเลวขนาดนั้น

ชีวิตต่อจากนั้นเป็นอย่างไรคะ

หลังจากกลับไปอยู่บ้าน แม่ก็ให้กลับไปเรียนต่อ คราวนี้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยธุรกิจ-บัณฑิตย์ครับ กลับมาครั้งนี้ผมตั้งใจเรียนมากเรียนอย่างเดียว ใช้เวลา 3 ปีก็จบสาขาการตลาดแล้วเรียนต่อปริญญาโทสาขาการเงินอีก 2 ปีตอนนั้นผมได้รู้จักกับคุณพิชญ์สินี และได้แต่งงานกัน โดยระหว่างเรียนปริญญาโทก็ไปทำงานที่ธนาคารกสิกรไทย ต่อมาลาออกไปอยู่บริษัทพรีเมียร์ กรุ๊ป จำกัด ทำหน้าที่ดูแลบริหารการเงินทั้งหมดให้บริษัทลูกทั้ง 24บริษัท วงเงินประมาณ 2 หมื่นกว่าล้าน

ตอนนั้นชีวิตดีมาก ได้เงินเดือนสูง มีรถประจำตำแหน่ง ทำงานบริหารแค่ครึ่งวันเช้าช่วงบ่ายเราก็มีเวลาไปซน เพื่อนเห็นมีเงินจึงชวนลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ผมคิดว่าจากที่หาเงินได้ปีละ 6 แสนบาท ถ้าหากหาได้ปีละ6 ล้านบาทจะไม่ดีกว่าหรือ พอคิดได้อย่างนั้นจึงหาช่องทางลงทุน ทั้งนำเงินเก็บมาใช้ ทั้งนำที่ดินไปจำนอง สรุปลงทุนไปประมาณ 12ล้านบาทในการจัดสรรที่ดินแบ่งขายเป็นสวนเกษตร โครงการแรกก็สำเร็จไปด้วยดี

ทุกอย่างดูน่าจะราบรื่นดีนะคะ

เหมือนจะเป็นอย่างนั้นครับ ทำให้ตัดสินใจลงทุนทำต่อในโครงการที่สอง แต่ปรากฏว่าเกิดปัญหาหัวหน้าเซลส์พาลูกน้องยกโขยงลาออกไปทำที่อื่น ทำให้ที่เราขายไม่ออก หุ้นส่วนก็เริ่มแตกคอกัน สุดท้ายก็เหลือแต่ผมกับเพื่อนที่แบกภาระอยู่ ในที่สุดโครงการก็เจ๊ง แต่ผมเห็นว่าเรายังมีบ้านอยู่จึงตัดสินใจเอาบ้านนี่แหละเข้าแบงก์ แล้วก็นำเงินไปลงทุนทำธุรกิจอื่นอีก เช่น ทำปุ๋ยเพราะคิดว่าจะขายเกษตรกรได้ แต่ปรากฏว่าขายได้ แต่ก็เก็บเงินไม่ได้ จากนั้นก็ไปศึกษาการทำผ้าฝ้าย ผ้าไหม แต่พอทำ ๆ ไปปรากฏว่าเราไม่เก่งเรื่องทำการตลาด ทั้ง ๆ ที่เราคิดว่าเราเก่ง เรารู้ แต่ความเป็นจริงโลกข้างนอกมันมีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะ สุดท้ายก็ไปตั้งสำนักทนายความ กะว่าจะให้ทนายความมาช่วยเรา ก็กลายเป็นทนายมาโกงเราอีกเป็นช่วงชีวิตบัดซบจริง ๆ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง เงินทุกบาททุกสตางค์ที่นำมาลงทุนเป็นเงินกู้ทั้งหมด ทั้งในระบบและนอกระบบตอนนั้นผมไม่มีรายได้เข้ามาเลย ถึงสิ้นเดือนผมก็ไม่มีเงินจ่าย ดอกเบี้ยก็เริ่มขึ้นทบต้นรวมแล้วผมมีหนี้ทั้งหมด 80 กว่าล้าน

ช่วงนั้นคงเครียดมาก หาทางออกอย่างไรคะ

มันตึงไปหมด เพราะโดนทวงหนักมากโดยเฉพาะหนี้นอกระบบ เวลามาทวง ผมต้องยกมือไหว้ขอร้องเขา บางทีก็มายึดทรัพย์ ลากรถเราไป ทุกอย่างมันมืดไปหมด วันหนึ่งผมเครียดมาก พอดีผมทำประกันชีวิตไว้ ก็คิดว่าถ้าผมตาย เงินประกันก็จะช่วยครอบครัวได้บ้าง ผมตัดสินใจหยิบปืนแล้วออกไปยืนที่ระเบียง เอาปืนจ่อที่หัวแล้ว แต่ก่อนจะเหนี่ยวไก ตาเหลือบไปเห็นหมาพิการที่ผมเลี้ยงไว้ หมาตัวนั้นทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าหมามันยังรู้จักเอาชีวิตรอด แล้วเราเป็นคนทำไมไม่สู้ (เช็ดน้ำตา) ผมจึงเก็บปืนแล้วกลับมาตั้งสติอีกครั้ง เคลียร์โต๊ะทำงานออกหมด แล้วเอากระดาษ A3 มานั่งลิสต์รายชื่อเจ้าหนี้ที่มีทั้งหมด ผมตัดสินใจว่าจะเผชิญหน้าเจรจากับเจ้าหนี้ทุกราย โดยเฉพาะเจ้าหนี้รายใหญ่สุด คือ ธนาคารกสิกรไทยซึ่งผมเป็นหนี้อยู่ 58 ล้านบาท

จากนั้นผมโทร.ไปขอลดหนี้ แต่ธนาคารบอกว่า เงินต้นลดไม่ได้ แต่ลดดอกเบี้ยได้นั่นทำให้ผมเริ่มมีความหวังอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อได้คุยกับธนาคารธนชาติที่เขาให้เรากู้เพิ่มได้เพราะเขาบอกว่า ตราบใดที่เรายังมีทรัพย์สินและสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดเวลาก็จะให้กู้เพิ่ม ตอนนั้นผมไม่มีทางเลือกมากนักได้แต่กัดฟันสู้ แล้วนำเงินที่กู้ก้อนใหม่มาลงทุนทำมาหากินอีกครั้ง เป็นที่มาของร้านอาหารทัสคานีไทยคูซีน

ตอนนั้นทุกอย่างคงหนักมาก ไม่ทราบว่ามีวิธีคิดและให้กำลังใจตัวเองอย่างไรคะ

ผมคิดว่าการได้เงินมาครั้งนี้คือการตั้งต้นชีวิตใหม่ คิดว่าหนี้ก็ส่วนหนี้ การทำธุรกิจก็ส่วนทำธุรกิจ และคิดอยู่เสมอว่าทุกครั้งที่เรานอนหลับและตื่นขึ้นมา มันย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าสู้เสียอย่าง ยังไงต้องรอด แต่ถ้าผมหนี ผมรอดคนเดียวแต่คนอื่นอาจต้องมาลำบากเพราะผม

แต่กว่าร้านจะประสบความสำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องง่ายใช่ไหมคะ

ถูกต้องครับ แม้แบงก์จะอนุมัติเงินแต่ก็ได้เงินมาอย่างขยักขย่อน ผมต้องลงมือเองทุกอย่าง ทั้งออกแบบเอง ซื้อวัสดุเองช่วยคนงานก่อสร้าง ฉาบปูนเอง เพราะต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายทุกด้าน ไปดูได้เลยว่าไม่มีงานก่อสร้างที่ไหนในโลกที่สร้างหลังคาขึ้นมาก่อน เพราะคิดว่าเวลาทำงานจะได้ไม่ร้อน พอสร้างหลังคาเสร็จก็ก่อผนังแล้วปูกระเบื้อง เราใช้เวลาสร้าง 2 เดือนก็เห็นร้านออกมาเป็นรูปเป็นร่าง และเปิดบริการได้ในวันที่ 25 กันยายน ปี 2552

เปิดร้านวันแรกลูกค้าเต็มร้าน เราขายอาหารไทย แต่อาหารกินไม่ได้เลย ลูกค้าตำหนิว่าเปิดมาได้ยังไง ไปไม่รอดหรอก เราก็ยอมรับคำติทุกอย่างเพราะไม่มีประสบการณ์จริง ๆ เรามีความรู้แค่เรื่องการเงินกับการตลาดไม่ใช่เชฟมาก่อน แต่ผมไม่เคยยอมแพ้ จากเดิมที่เคยเรียนรู้จากแม่มาบ้างก็มาเรียนรู้จากคนอื่น และหาประสบการณ์ด้วยตัวเอง จำได้ว่าหัดผัดกะเพรากับครูจานแรก ครูโยนทิ้งทั้งจานเลย แต่ผมเป็นคนไม่ท้อ พยายามพัฒนาหัดทำอาหารให้ดี คิดปรับปรุงสูตรอาหารอยู่ตลอดเวลา คิดประยุกต์ว่าทำอย่างไรอาหารญี่ปุ่นกับอีสานจึงจะผสานกันได้อย่างอร่อยและลงตัวที่สุด แม้กระทั่งเวลาขับรถก็คิดหาเมนูแปลกใหม่ให้ร้าน ความพยายามทำอย่างจริงจังโดยไม่ลดละ จึงได้มี “เชฟปีเตอร์”อย่างทุกวันนี้

คลิกอ่านต่อหน้า 2

การตัดสินใจเปิดร้านอาหารต้องใช้เงินลงทุนเยอะ เมื่อเทียบกับการยังมีหนี้เก่าอยู่ ทำไมไม่ทำธุรกิจเล็กๆไปก่อนคะ

ตอนนั้นผมมั่นใจว่าทำออกมาแล้วมันต้องขายได้ เพราะจุดขายของเราคือ ร้านอาหารไทยที่มีสีสันสดใสสไตล์อิตาเลียนเวลานั้นในกรุงเทพฯยังไม่มีร้านอาหารสไตล์นี้และสอง แม้การลงทุนจะสูงก็จริง แต่มันเป็น Fixed cost เมื่อเทียบกับกำไรที่จะเข้ามาถ้าเราขายได้เดือนละแสนกว่าบาท ผมว่าผมรวยแล้ว และพอทำจริง ๆ เราเคยได้รายได้สูงสุดถึงวันละ 3 แสนบาท ตกเดือนละ 3 ล้านบาท แล้วผมจะไม่ปลดหนี้ได้อย่างไร ในเมื่อผมทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตเพื่อที่นี่

ผมทำเฟซบุ๊กเอง ลงทุนเป็นเชฟเองคิดเมนูซิกเนเจอร์ของร้านเอง ทุกเย็นเราต้องมานั่งคุยกันว่าต้องปรับปรุงอะไรบ้างจะบริการลูกค้าอย่างไรเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าเราไม่มีหนี้ แต่สามารถปลดกังวลได้ เนื่องจากธุรกิจเราเดินหน้าไปได้ มีรายได้จุนเจือที่สามารถส่งแบงก์ได้อย่างสบาย ๆบ้านของเราก็ปลอดภาระหนี้ ครอบครัวกินดีอยู่ดี และทุกวันนี้ธุรกิจนี้ก็ได้ส่งต่อให้รุ่นที่สองดูแลแล้ว

การเป็นหนี้ก้อนใหญ่ครั้งนั้นให้บทเรียนอย่างไรบ้างคะ

ผมสอนลูกว่า การกู้เงิน โดยเฉพาะเงินนอกระบบ ไม่จำเป็นอย่ากู้เด็ดขาด ให้อยู่แบบคนจน ๆ เหมือนที่แม่ผมอยู่น่ะดีที่สุดแล้วและอย่านำเงินนอกระบบมาต่อเงินในระบบเด็ดขาด เพราะเงินในระบบเรายังมีโอกาสเจรจา แต่นอกระบบนี่มีแต่จะ “อุ้ม” เราไปอย่างเดียว แล้ววิธีทวงหนี้นอกระบบโหดร้ายกว่าในระบบมาก

ผมจำได้ติดใจเลยว่า มีครั้งหนึ่งที่เจ้าหนี้นอกระบบมาทวง ตอนนั้นเราไม่มีเงิน เขาก็เรียกผมไปคุย แล้วก็ให้คนมาประกบและถามว่า สิ่งที่รักมากที่สุดคืออะไร ผมก็ตอบว่าครอบครัว เขาก็บอกว่า ถ้ามึงรักลูกรักเมียมึงก็เคลียร์เสีย เราก็ต้องเจรจาขอผัดผ่อนไปเพราะ 15 วัน เดือนหนึ่ง มันยังหมุนไม่ทันต้องขอเป็นสามเดือนถึงจะมีทางขยับขยายเงินต้นไม่ต้องพูดถึง เพราะหามาได้เท่าไหร่ก็เป็นดอกเบี้ยหมด เหตุการณ์ครั้งนั้นผมจำจนวันตาย

เชฟปีเตอร์

ปีนี้คุณปีเตอร์อายุเท่าไหร่คะ ยังดูแอ๊คทีฟมีพลังอยู่มาก

ผมเกิดปี 2501 ปีนี้อายุ 59 ปี คนส่วนใหญ่บอกว่าเกษียณอายุตอน 60 แต่สำหรับผม อายุ 60 คือเพิ่งเริ่มต้น ผมไม่รู้จะเกษียณไปเพื่ออะไร เปลืองอากาศหายใจผมคิดว่า เราหายใจไปครั้งหนึ่งก็น่าจะทำประโยชน์อะไรได้มากกว่าการหยุดอยู่เฉย ๆผมชอบทำงาน ชอบฝันกลางวัน ผมยังมีฝันที่อยากทำให้สำเร็จ อย่างการทำทัสคานีฟาร์มซึ่งเป็นฟาร์มออร์แกนิกสำหรับให้ลูก ๆ พาพ่อแม่มาเที่ยว ผมได้แนวความคิดนี้มาจากการไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น ประกอบกับผมเห็นคนแก่แล้วสงสารท่าน ผมว่าคนแก่มีเสน่ห์ ท่านเหล่านี้ผ่านโลกมามากมาย เป็นคนมีความรู้

ถ้าได้คุยกับคนแก่ เราจะได้ความรู้เยอะมาก ผมจึงอยากให้ท่านอยู่อย่างมีความสุขจึงทำทัสคานีฟาร์มให้เป็นสถานที่ที่คนแก่ได้ไปพักผ่อน ปลูกต้นไม้ ตัดผลไม้ ทำอาหารทำสลัดกินตอนเช้า ได้นั่งคุย กินกาแฟกันบางท่านก็อาจเล่นเปตอง ตีปิงปอง พักผ่อนอิริยาบถเต็มที่ ได้สูดอากาศดี ๆ ที่นี่จะมีพยาบาล มีหมอคอยดูแล และยังมีรถพยาบาลของโรงพยาบาลวิภาวดีคอยรับส่งเวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน นอกจากนี้เรายังมีที่สำหรับจอดเฮลิคอปเตอร์ด้วย ผมคิดไว้หมดคิดแล้วก็มีความสุข แต่ไม่รู้ว่าโครงการนี้จะเป็นโครงการสุดท้ายของชีวิตหรือเปล่า

คลิกอ่านต่อหน้า 3

ตอนนี้เหมือนชีวิตคุณปีเตอร์ลงตัวแล้ว

ครับ เพราะมันผ่านจุดรันทดที่สุดในชีวิตมาแล้ว และคิดว่าคงไม่มีอีกแล้ว เพราะมันเคยลงต่ำที่สุดแล้วไง วันนี้ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเข้ามา ผมมองว่ามันเป็นเรื่องปกติ มีหลาย ๆ คนที่มีปัญหาชีวิตโทร.มาปรึกษา ผมก็แนะนำว่า คุณต้องมีสติก่อน ถ้าคุณไม่มีสติคุณจะคิดหาทางออกไม่ได้ ความคิดคุณจะวนอยู่ในอ่าง คิดยังไงก็คิดไม่ออกหรอก แต่ถ้าเราพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ลองดูสิว่าเราเก่งเรื่องอะไร เรามีความสามารถด้านไหนนี่แหละเป็นเวลาที่คุณจะงัดมันออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ทุกอย่างไม่ว่าจะทำอะไร คุณต้องมีใจก่อน ถ้าใจคุณคิดดี ทุกอย่างก็จะออกมาดีหมด ถ้าใจคุณคิดเอาเปรียบ ผลจะออกมาไม่ดี บอกได้เลยว่าทุกวันนี้ผมอยู่ได้เพราะใจผมคิดดี

คิดอย่างไรกับคำว่า ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน และกลัวว่าจะล้มเหลวอีกหรือไม่

ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต นี่คือเรื่องจริงถ้าคุณคิดว่ามันแน่นอน มันไม่แน่หรอกเพราะฉะนั้นอย่าไปคาดหวังกับอะไร เพียงแต่ชีวิตคุณต้องมีเป้าหมายและทำวันนี้ให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง

ส่วนความล้มเหลว หากมันจะกลับมาผมก็ไม่กลัว เพราะผมมีอุทาหรณ์คอยเตือนสติอยู่เสมอ ประสบการณ์สอนเราให้รอบคอบขึ้น รู้จักค่าของเงินมากขึ้น มันทำให้เรารู้จักคำว่าเพื่อน รู้จักความหมายของคำว่าพอ และความหมายของครอบครัว

ทราบว่าคุณปีเตอร์เป็นคนรักครอบครัวมาก ตอนที่มีปัญหาครอบครัวว่าอย่างไรบ้าง

ครอบครัวผมไม่รู้เรื่องเลยครับ ผมไม่บอกให้ภรรยารู้ เก็บเรื่องนี้ไว้คนเดียวตอนนั้นลูก ๆ ก็เริ่มโตแล้ว ลูกชายกำลังเรียนเอแบค ส่วนลูกสาวกำลังเรียนหอการค้าไทยทุกคนกำลังใช้เงิน ผมเลยไม่อยากบอกให้เขาต้องมาเป็นกังวลด้วย

สำหรับผม ครอบครัวเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุดในโลก ถ้าผมไม่มีครอบครัววันนี้ผมคงอยู่ไม่ได้ ภรรยากับลูกคือดวงใจเขาคือตัวเรา ผมจึงยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้พวกเขามีความสุข

แต่ทางพุทธศาสนาไม่ให้เรายึดติดคุณปีเตอร์มีความเห็นอย่างไร

ผมกลัวการอยู่คนเดียวมากที่สุด แต่วันหนึ่งหากต้องอยู่คนเดียวจริง ๆ ก็ The show must go on ผมไม่อยากคิดถึงวันที่เราจะไม่เหลือใคร เพราะมันบั่นทอนความรู้สึก ผมเคยศึกษานะ อนิจจัง ทุกขังอนัตตา ให้พูดอาจพูดได้ แต่ใจมันไม่ยอมรับ ถ้าหากผมบอกว่าผมทำได้ ก็เท่ากับผมโกหกตัวเอง โกหกคุณ เป็นบาป เพราะผมยังอยากเห็นลูก ๆ แข็งแรงขึ้น เข้มแข็งขึ้นอยากเห็นหลานโตขึ้นโดยมีเราคอยประคับ-ประคองอยู่ด้านหลัง เราจะแอบดูเขาอยู่ห่าง ๆ

คุณปีเตอร์มีที่พึ่งทางใจบ้างไหมคะ

ผมชอบสวดมนต์ไหว้พระ สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในใจผมเสมอ ผมมีพระที่นับถือ คือหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ วันที่วิกฤติหันหน้าไปพึ่งใครไม่ได้ผมมักจะอธิษฐานขอบารมีให้ท่านช่วย ชีวิตผมก็ดีขึ้น แคล้วคลาดมาได้ทุกครั้ง

อีกอย่างผมเป็นคนชอบทำทาน เพราะมองว่ายังมีคนด้อยโอกาสอีกมาก ผมชอบไปทำทานกับคนพิการซ้ำซ้อน และทำทานกับคนที่กำลังเดือดร้อน บางทีผมก็ไม่ได้ให้เป็นเงิน ผมไม่ใช่คนที่ป้อนขนมปังใส่ปากคุณแต่ผมจะบอกวิธีทำมาหากินให้คุณ เพราะมองว่านั่นคือสิ่งที่ยั่งยืนกว่า

อะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของคุณปีเตอร์คะ

ความตั้งใจครับ ผมเป็นสุนัขบ้าที่กัดไม่ปล่อย คนเรามี 2 ประเภท คือ คิดแล้วไม่ทำ และทำแบบไม่คิด เมื่อก่อนผมเป็นคนแบบหลัง เช่น ตอนลงทุนทำธุรกิจขายปุ๋ยเพราะคิดแบบไม่ตกผลึก แต่วันนี้ผมตกผลึกแล้ว โครงการทุกอย่างต้องผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์ มีการคิดแบบต่อยอด คิดแบบรอบด้าน ผมมองว่าการลงทุน 200 ล้านบาทกับการลงทุน 200 บาท มันก็คือการลงทุนเหมือนกัน เราต้องมองให้ออกว่าจุดคุ้มทุนของมันอยู่ตรงไหน ซึ่งต้องเดินอยู่บนความไม่ประมาท ถ้าคิดได้อย่างนี้ ธุรกิจในวันนี้ก็จะเติบโตมั่นคงขึ้น และสามารถส่งต่อไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานให้พวกเขาได้ดูแลต่อไป

ทุกวันนี้เจอความสุขที่แท้จริงแล้วหรือยังคะ

ช่วงชีวิตตอนนี้ผมว่าสุขที่สุดแล้ว ไม่ต้องการแสวงหาอะไรอีกแล้ว ทุกวันนี้เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิต ผมทำทุกอย่างเพื่อความสุข ทำเพื่อครอบครัว เพื่อลูกหลานส่วนตัวเองจะอยู่อย่างไรก็ได้ ทุกวันนี้ผมไม่มีเงินติดกระเป๋า เพราะเงินให้ภรรยาหมด

วันนี้ผมไม่ได้อยากรวย เพราะพื้นฐานเรามาจากคนจน การมีบ้านหลังใหญ่ ๆ รถหรู ๆ คันละ 30 ล้าน แต่ไม่มีความสุข เพราะสามีไปมีเมียน้อย ลูกติดยา นั่นไม่ใช่ความสุขแล้ว เพราะใจคุณไม่อิ่มเอิบ สู้อยู่แบบพอมีพอกิน แต่ครอบครัวยังรักกัน ตกเย็นมีเวลานั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ผมว่าการใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องโตเร็วนัก ชีวิตแบบนี้แฮ็ปปี้กว่า

ขอเพียงเรามีสติ โอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่ก็มีอยู่ทุกเมื่อ 

capture-024-rt


Secret BOX

ผมมีความล้มเหลวเป็นครู”

พงศ์พศิน มุณีกานนท์


เรื่อง ธันยาภัทร์รัตนกุลภาพสรยุทธพุ่มภักดีผู้ช่วยช่างภาพธนทัชหิรัญวรกุลสไตลิสต์ณัฏฐิตาเกษตระชนม์สถานที่ Tuscany Thai Cuisine

Posted in MIND
BACK
TO TOP
cheewajitmedia
Writer

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.