ผลของน้ำมันหอมระเหย (Aroma Therapy) ต่อการทำงานของร่างกาย
ผลของน้ำมันหอมระเหย (Aroma Therapy) ต่อการทำงานของร่างกาย ตำราวิชาการสุคนธบำบัด โดยกองการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์ แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข อธิบายการทำงานของน้ำมันหอมระเหยต่อร่างกายไว้ดังนี้
การดมกลิ่น เมื่อน้ำมันหอมระเหยเข้าสู่ร่างกายด้วยการสูดดม ผ่านเข้าทางจมูกพร้อมกับออกซิเจนที่หายใจเข้าไป และถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดทางเส้นเลือดฝอย ภายในปอด ทำให้สามารถกระจายไปทั่วร่างกายได้
การทาและการนวดผ่านผิวหนัง โมเลกุลของน้ำมันหอมละเหย จะซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่ ระบบเส้นเลือดฝอย แล้วกระจายไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ตามระบบหมุนเวียนโลหิตได้ เช่นเดียวกับการสูดดม
เมื่อน้ำมันหอมระเหยเข้าสู่ร่างกายจะส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ดังนี้
- การส่งผลต่อระบบประสาท เมื่อสูดดมเข้าไป จะมีผลต่อระบบประสาทในการสั่งงาน โดยเฉพาะระบบลิมบิก (Limbic System) ซึ่งประกอบไปด้วยทาลามัส (Thalamus) ทำหน้าที่ส่งผ่านข้อมูล จากตัวรับความรู้สึกสัมผัส ไปยังเปลือกสมองไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ควบคุมแรงกระตุ้นทางเพศ และสิ่งเร้าอื่น ๆ อะมิกดาลา ( Amygdala) ทำหน้าที่ควบคุมความกระวนกระวายใจ และความกลัว ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) มีบทบาทเกี่ยวกับ การเรียนรู้และความจำ
- การส่งผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ ต่อมไร้ท่อเป็นต่อมขนาดเล็กกระจายอยู่ตามร่างกาย ทำงานร่วมกับระบบประสาท ส่งผลให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ และสมบูรณ์ ทั้งร่างกายและจิตใจ ระบบประสาทจะทำงานผ่านกล้ามเนื้อ และต่อมต่าง ๆ โดยส่งกระแสไฟฟ้า และสารเคมีไปตามเส้นประสาท ด้วยความเร็วสูง
ขณะเดียวกัน ต่อมไร้ท่อจะหลั่งฮอร์โมนไปตามกระเเสเลือด กระจายไปสู่เซลล์เป้าหมายที่อยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยฮอร์โมนจะทำหน้าที่ควบคุม และรักษาสภาวะสมดุลภายในร่างกาย เช่น รักษาระดับเกลือเเร่ และน้ำ ภายในร่างกาย ระดับน้ำตาลในเลือด ส่งผลต่อฮอร์โมนอินซูลิน ช่วยควบคุมไขมันในร่างกาย และอารมณ์ต่าง ๆ เช่น ความกลัว ความโกรธ ความสุข และความเศร้า
เมื่อ “น้ำมันหอมระเหย” ถูกส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายแล้ว จะถูกขับออกภายใน 48 ชั่วโมง
สุดท้าย เพื่อคงคุณภาพของน้ำมันหอมระเหย ควรเก็บในขวดทึบแสง เพื่อชะลอการละลายตัว ที่ทำให้ฤทธิ์ของน้ำมันหอมระเหยลดลง และเกิดการสลายตัวทางเคมี อีกทั้ง อาจส่งผลกระทบต่อร่างกาย ตัวอย่าง เช่น น้ำมันหอมระเหยจากเปลือกต้นสนที่สลายตัว แล้วก่อให้เกิดผื่นแพ้ที่ผิวหนังเพิ่มขึ้น
จากเหตุบังเอิญสู่การศึกษาน้ำมันหอมระเหย
คำว่า “อโรมาเทอราปี” บัญญัติขึ้น โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ Rene – Maurice Gattafosse ในปี 1910 เขาเกิดแผลไฟที่ลวกที่มืออย่างรุนแรง เพราะมีการระเบิดในห้องทดลอง ในห้องทดลองของตัวเอง จึงใช้น้ำมันหอมระเหย จากดอกลาเวนเอดร์ ทามือ ปรากฏว่าอาการปวดลดลง แผลไม่เน่า และสมานตัวกัน โดยไม่เกิดแผลเป็น เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เขาหันมาศึกษาประโยชน์จากน้ำมันหอมระเหยอย่างจริงจังต่อเนื่องตลอดชีวิต และนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้รักษาผู้ป่วย ในโรงพยาบาลทหารยุคสงครามโลก ครั้งที่ 1 องค์ความรู้ที่ได้จากทั้งการค้นคว้า และใช้จริงกับผู้ป่วย ทำให้เขาสามาถรวบรวมข้อมูล และตีพิมพ์เป็นตำราการใช้น้ำมันหอมระเหย เพื่อรักษาสุขภาพ ในปี 1937
ต่อมา ในช่วงสงครามอินโดจีน ปี 1948 – 1959 Dr. Jean Valnet ผู้ช่วยแพทย์ทหาร ด้านการผ่าตัดชาวฝรั่งเศส ใช้น้ำมันหอมระเหย เพื่อรักษาบาดแผล และแผลเนื้อตาย เพื่อทดแทนยาที่ใช้ในการแพทย์แผนปัจจุบัน หลังสงครามสงบ เขาได้ศึกษาผลของการใช้น้ำมันหอมระเหยเพิ่มเติม และนำไปใช้ดูแลผูป่วยที่มีอาการผิดปกติทางจิตได้ผลดี นำมาสู่การรวบรวมองค์ความรู้ มาตีพิมพ์เป็นหนังสือ The Practice of Aromatherapy ที่ต่อมาได้รับการแปลและตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ ในปี 1980
เรื่อง ศิริกร โพธิจักร ภาพจาก Pixabay
ชีวจิต 533 – ฉบับพิเศษ 100 วิธี กิน อยู่ หยุดอ้วนถาวร
นิตยาสารรายปักษ์ ปีที่ 23 : 16 ธันวาคม 2563
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
บทความน่าสนใจอื่นๆ
CHECK กันก่อน เพราะ IF อาจไม่เหมาะสมกับทุกคน