4 เทคนิคการนอน ช่วยระบบย่อยอาหาร
ใครอยากรู้เรื่อง เทคนิค การนอน อย่างมีคุณภาพช่วยให้ห่างไกลโรคมาทางนี้ค่ะ! หากคุณเคยรู้สึกว่าตื่นมาแล้วท้องป่อง เหมือนอาหารไม่ย่อย จนเอวหนาไขมันพอกพูน สุดท้ายโรคอ้วนจะตามตา นั่นเป็นเพราะระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควรในช่วงเวลากลางคืน ซึ่ง การนอนหลับ อย่างมีประสิทธิภาพ จะส่งผลระบบย่อยอาหารทำงานได้เต็มที่ ทำให้ไม่เกิดโรคอ้วนและยังส่งผลให้รู้สึกดีในช่วงเวลาตอนเช้าอีกด้วย ว่าแล้วก็ลองมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนหลับ เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นกันดีกว่าค่ะ
การปฏิบัติตัวที่ดีจะทำให้ “ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก” ที่มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของลำไส้ ช่วยให้ย่อยอาหารได้ดีขึ้นในระหว่างที่เรากำลังนอนหลับอยู่ แต่สิ่งที่ต้องทำคือ ทำให้นอนหลับได้อย่างมีความสุข ซึ่งมีเทคนิคนอนหลับช่วยระบบย่อยอาหารดังนี้
1.แช่น้ำอุ่น
การแช่น้ำอุ่นช่วยในการนอนหลับได้ ช่วงเวลาก่อนนอนเราควรแช่น้ำอุ่นที่อุณหภูมิพอเหมาะคือประมาณ 40 องศาเซลเซียล โดยใช้เวลาแช่ประมาณ 15 นาที เมื่อเลือดไหลเวียนดีแล้ว เราจะผ่อนคลาย ร่างกายเข้าสู่โหมดพักผ่อน ทำให้หลับสนิท ระหว่างที่หลับลำไส้จะทำงานเต็มที่ ในขณะที่น้ำร้อนจัดจะยิ่งไปกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติก จึงไม่ควรทำในช่วงเวลากลางคืน ถ้าที่บ้านไม่มีอ่างอาบน้ำที่บ้าน ก็สามารถเปลี่ยนป็นฝักบัวแทนแต่อุณหภูมิต้อง 40 องศาเซลเซียล โดยอาจใช้เวลานานขึ้นจากการอาบน้ำปกติค่ะ
2.กำหนดลมหายใจ
พักผ่อนด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออก 4 : 8 ด้วยการสูดหายใจเข้าทางจมูก นับ 1-4 ในใจ แล้วหายใจออกทางปาก นับในใจเพิ่มอีก 1 เท่า เป็น 1-8 หลักการของวิธีนี้คือ ควรปล่อยลมหายใจออกอย่างช้าๆ และยาวๆ ทำวิธีนี้ซ้ำ 10 ครั้ง เพื่อให้การทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติกมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้เราได้พักผ่อนทั้งกายและใจอย่างเต็มที่ ส่งผลให้กล้ามเนื้อทางเดินอาหารหดและยืดตัวได้ดีขึ้น
3.งดโซเชียลก่อนนอน
ก่อนเข้านอนประมาณ 30นาที ไม่ควรดูโทรทัศน์ เล่นคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน เพราะแสงจากเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้จะเข้าตา ทำให้ระบบประสาทซิมพาเทติกทำงานขึ้นมากะทันหัน แล้วถ้าเกิดนอนหลับไปเฉยๆ ในสภาพนี้ จะส่งผลต่อระบบประสาทพาราซิมพาเทติกทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร ลำไส้ทำงานได้เฉื่อยลง
4.เวลาเข้านอน
เวลาทองของลำไส้คือ 24:00 น. หรือเวลาเที่ยงคืน คือเวลาที่ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกทำงานเต็มประสิทธิภาพสูงสุด เป็นช่วงเวลาที่ลำไส้ทำงานได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงควรนอนหลับให้สนิทในช่วงเวลา 24:00 น. เพื่อให้ลำไส้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นคนที่ชอบนอนดึกๆ อาจต้องปรับพฤติกรรมมาตื่นนอนตอนเช้า เพื่อที่จะได้เข้านอนเร็วในวันรุ่งขึ้นแทนนะคะ
นี่คือประโยชน์ของการนอนหลับที่มีผลต่อความอ้วนหรือโรคอ้วน ใครที่ยังมองข้ามเรื่องเหล่านี้ ลองเปิดใจหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนหลับกันดูเถอะค่ะ เพราะทุกพฤติกรรมล้วนส่งผลต่อสุขภาพของคุณ
แจกเทคนิคที่ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น
- ออกกำลังกายช่วงเย็นอย่างน้อย 30 นาที หรือ 4-6 ชั่วโมงก่อนนอน
- กินกล้วยหอม เพราะผิวของกล้วยหอมมีฤทธิ์เหมือนยานอนหลับ และมีอะมิโนแอซิดที่เรียกว่า ทริปโตฟาน ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสารเซโรโทนิน เมื่อกินแล้วจะช่วยคลายเครียด คลายกังวล ทำให้หลับสบาย
- หลีกเลี่ยงอาหารมื้อหนัก อาหารที่มีรสเผ็ด รสจัด หรืออาหารหวานมาก ก่อนเข้านอน 4 ชั่วโมง เพราะร่างกายต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงในการย่อยอาหาร
- หลีกเลี่ยงกาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มที่กระตุ้นประสาททุกชนิด 4-6 ชั่วโมงก่อนเวลาเข้านอน
- ผ่อนคลายร่างกาย และจิตใจก่อนนอนด้วยการอาบน้ำอุ่น เดินเบาๆ ไปมา หรือการนั่งสมาธิ และไม่ควรทำกิจกรรมที่กระตุ้นร่างกายและสมองไปจนถึงเวลาเข้านอน
- จัดระเบียบห้องนอนและกำจัดสิ่งรบกวนด้วยการปิดไฟและอุปกรณ์ เช่น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ รวมถึงอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ ก่อนนอน แต่บางรายอาจจำเป็นต้องเปิดเพลงเบาๆ เพื่อสร้างบรรยากาศทำให้หลับสบายขึ้น
- เลี่ยงการสูบบุหรี่เพราะจะทำให้หลับยาก ตื่นบ่อย และฝันร้าย เนื่องจากผลของสารนิโคติน
- เข้านอนให้เป็นเวลา ไม่ควรนอนดึกมาก ควรเข้านอนเวลาประมาณ 21.00 – 23.00 น. และปฏิบัติให้เป็นประจำ รวมถึงตื่นนอนให้เป็นเวลาทุกวัน รวมทั้งช่วงวันหยุดด้วย
- เข้านอนเมื่อร่างกายพร้อมที่จะนอน คือเมื่อรู้สึกง่วง และไม่ได้อยู่ในภาวะตึงเครียด อย่าพยายามฝืนนอน หากไม่ง่วง
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ