คนกรุงเทพฯ เสี่ยง สมองล้า ไม่รู้ตัว
มีการจัดอันดับยืนยันแล้วว่า คนกรุงเทพฯ ทำงานหนัก ติดอันดับ 3 ของโลก ซึ่งไม่เพียงทำให้เหนื่อยกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลด้านสุขภาพอื่นๆ อีกเพียบ จนคุณหมอต้องออกมาเตือนว่า ระวังนะ สมองล้า ไม่รู้ตัว เพราะหากปล่อยไว้นานๆ ก็อาจส่งผลเสียอื่นๆ ต่อสมองได้
ทุกวันนี้หลายคนรู้สึกทำงานหนักเหลือเกิน แต่นั่นไม่ใช่แค่ความรู้สึกอีกต่อไป เพราะมีสถิติมายืนยันการทำงานของหนัก และความเครียดของคนไทย โดยมีเป็นผลการสำรวจ Cities with the Overworked เมื่อปี 2565 โดย KISI พบว่า กรุงเทพฯ ติดอันดับที่ 5 ของเมือง ที่คนทำงานหนักที่สุดในโลก
โดย นพ.กฤตวิทย์ รุ่งแจ้ง อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการด้านสมองและระบบประสาท ศูนย์สมองและระบบประสาท รพ.วิมุต แสดงความกังวลกับตัวเลขดังกล่าว เพราะนับได้ว่าเป็นหนึ่งในสถิติที่น่ากังวล เนื่องจากการทำงานที่ยาวนาน และสะสมความเครียด นานวันเข้าจะเริ่มคิดงานได้ไม่ทันใจหรือไม่มีสมาธิเหมือนเดิม อาจเป็นสัญญาณของภาวะ สมองล้า
สมองล้า คืออะไร
ภาวะสมองล้า (Brain Fog Syndrome) ไม่ใช่โรค แต่เป็นภาวะที่สมองทำงานหนักเกินไป จนทำให้สารสื่อประสาทไม่สมดุล ทำให้เซลล์ประสาทเชื่อมต่อกันได้ช้ากว่าปกติ ในบางวิจัยบอกว่า เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของการไหลเวียนของเลือดในสมอง ทำให้สมองประมวลช้า เปรียบได้เหมือนการมีหมอกมาปกคลุม จนสมองทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้ขาดสมาธิ ตัดสินใจได้ช้าลง ความจำระยะสั้นแย่ลง หรือปวดศีรษะ เป็นต้น
อาการแบบไหน เสี่ยง! “ภาวะสมองล้า”
ภาวะสมองล้าเกิดได้จากหลายสาเหตุ และสามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย ส่วนมากเกิดจากการ
- ทำงานหนัก
- พักผ่อนน้อย
- เครียดสะสม ขาดการออกกำลังกาย
จุดสังเกตของผู้ที่มีภาวะสมองล้าคือ การจดจ่อกับอะไรนาน ๆ ไม่ได้ หรือ ทำงานอะไรก็ผิดพลาดเล็กน้อยอยู่บ่อยครั้ง แม้จะเป็นงานที่ทำอยู่ทุกวัน ในบางคนอาจมีปัญหาในเรื่องความจำระยะสั้น ทำให้เกิดอาการหลงลืมชั่วคราว
“แม้ว่าอาการของภาวะสมองล้าอาจไม่รุนแรงถึงชีวิต แต่หากไม่รักษาและปล่อยไว้เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดอาการหรือโรคอื่น ๆ ตามมา เช่น อาการปวดศีรษะ การนอนไม่หลับที่นำไปสู่โรคความดันโลหิตสูงและโรคเส้นเลือดในสมองแตก เพราะฉะนั้นหากเริ่มมีอาการเหล่านี้ แนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวการรักษาที่ถูกต้อง”
นพ.กฤตวิทย์ รุ่งแจ้ง อธิบาย
รักษาภาวะสมองล้า ไม่ยากแค่ปรับพฤติกรรม
การป้องกันและรักษาภาวะสมองล้า ส่วนมากจะเป็นการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี คือ
- จัดการความเครียด หากิจกรรมผ่อนคลายที่เราชอบ เช่น ทำสมาธิ ดูหนัง เล่นเกมส์
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที 3 – 5 วัน ต่อสัปดาห์ เพื่อให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นการลดความเสี่ยงการสมองล้า
- พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7 – 8 ชั่วโมง ต่อวัน ไม่เข้านอนดึกเกินไป เพื่อรักษาสมดุลของสมองให้เป็นปกติ
- เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมอง เช่น กรดโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันดี เช่นปลาทะเล รวมถึงเลือกกินอาหารอย่าง ผักหลากสี ธัญพืช ที่มีกรดอะมิโนที่เป็นสารสื่อประสาท รวมถึงอาหารที่มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ
- งดการดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่
“ภาวะสมองล้าอาจไม่ได้เป็นการเจ็บป่วยร้ายแรง แต่ถ้าปล่อยไว้เราก็จะทำอะไรได้ไม่เต็มที่ ทั้งยังอาจเสี่ยงต่อโรคอีกมากมาย ดังนั้นใครที่มีอาการเข้าข่ายภาวะสมองล้าก็ควรรีบหาวิธีรักษา ด้วยการปรับการใช้ชีวิต กินให้ดี นอนให้พอ หันมาจัดการความเหนื่อยล้าเพื่อไม่ให้เครียดสะสม เหนื่อยก็พัก ไม่ไหวก็พอ และบอกตัวเองเสมอว่า สุขภาพของเราสำคัญที่สุด” นพ.กฤตวิทย์ รุ่งแจ้ง กล่าวทิ้งท้าย
ผู้ที่สนใจปรึกษาแพทย์โรงพยาบาลวิมุต สามารถติดต่อได้ที่ ชั้น 6 ศูนย์สมองและระบบประสาท หรือโทรนัดหมาย
02-079-0068 เวลา 09.00-20.00 น. หรือใช้บริการ Telemedicine ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ผ่าน ViMUT App คลิก https://bit.ly/372qexX
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ
10 แหล่งโอเมก้า-3 บำรุงสมอง หัวใจ ป้องกันซึมเศร้า
น้ำเต้าหู้ ของดีใกล้ตัว บำรุงสมอง ดูแลหัวใจ
อะเฟเซีย ภาวะสมองเสื่อม เสียการสื่อความ ของ บรูซ วิลลิส
ผักชี ประโยชน์สูงกว่าตัว คุมน้ำตาล ป้องกันสมองเสื่อม
ติดตามชีวจิตได้ที่