ไขมันสูง

3 Step จัดการ ไขมันสูง ให้อยู่หมัด ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย

ไขมันสูง จัดการยังไงดี ?

การมี ไขมันสูง หมายถึงภาวะที่มีความผิดปกติของการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ทำให้ร่างกายมีระดับไขมันในเลือดสูงกว่าเกณฑ์ที่เหมาะสม เป็นผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง และทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดตามมา นอกจากนี้ยังอาจทำให้ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน

สาเหตุของภาวะ ไขมันสูง

ได้แก่ กรรมพันธุ์ การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงโดยเฉพาะไขมันจากสัตว์ โรคของต่อมไร้ท่อบางชนิด เช่น เบาหวาน ไทรอยด์ โรคของต่อมหมวกไตบางอย่าง โรคตับ โรคไตบางชนิด  การรับประทานยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์  ฮอร์โมนเพศ(ยาคุมกำเนิด)  การตั้งครรภ์ การดื่มแอลกอฮอล์ และขาดการออกกำลังกาย

ครูแพทย์แผนไทยพิพัฒน์ แนะนำว่า

“ต้องเอาไขมันออกก่อนถ้าไม่เอาออกไม่หาย จะกลับไปเป็นซ้ำอีก เพราะร่างกายถูกยาคุมไว้เฉย ๆ  หยุดยาเมื่อไหร่น้ำตาลก็พุ่งขึ้นเหมือนเดิมเพราะไขมันไม่ได้ถูกเอาออกมา ลำไส้ยังสกปรก ในหลอดเลือดก็ยังสกปรกเหมือนเดิมไม่หาย ต้องล้างลำไส้ให้สะอาด ระบบน้ำเหลืองก็จะดี ไขมันจะไม่ไปพอกตับพอกม้าม”

สำหรับแนวทางการรักษาภาวะไขมันในเลือดสูง และน้ำตาลสูงด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องกินยาตลอดชีวิตมี  3 ขั้นตอน ดังนี้

Step 1 ชำระคราบไขมันในลำไส้

การกำจัดไขมันในเส้นเลือด หรือในลำไส้ ทำได้หลายวิธี ทั้งการกินอาหารเป็นยา การใช้สมุนไพรตำรับเผาผลาญไขมันในร่างกาย ล้างคราบไขมันในลำไส้  ซึ่งมีหลายตำรับ เช่น ยาพรหมภักตร์  ยามหาพรหมภักตร์  ยามหิทธิมหาพรหมภักตร์ รวมถึงการสวนล้างลำไส้ หรือดีท็อก ตามการวินิจฉัยของแพทย์แผนไทย

Step 2 บำรุงร่างกาย

หลังจากวางยาตำรับชำระคราบไขมันในลำไส้เป็นที่เรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปคือ การวางยาบำรุงร่างกาย เพื่อฟื้นฟูระบบการทำงานในร่างกายให้สมดุลเป็นปกติ

Step 3 ปรับพฤติกรรม

เพื่อป้องกันไม่ให้กลับไปเป็นซ้ำอีก ผู้ป่วยต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เช่น งดสูบบุหรี่ ลดอาหารไขมัน และของหวาน ออกกำลังกายเป็นประจำ

ครูแพทย์แผนไทยพิพัฒน์ เล่าว่า

“ผมอยู่ในวงการแพทย์แผนปัจจุบันที่หันมาศึกษาศาสตร์การแพทย์แผนไทย เพราะถึงทางตันกับการรักษาโรคเบาหวาน ความดันและไขมันที่การรักษาแบบแผนปัจจุบันรักษาไม่หายขาด  ทุกวันนี้มีผู้ป่วยเบาหวานมารักษาด้วยการแพทย์แผนไทยมากขึ้น โดยรักษาด้วยการวางยาถ่ายเพื่อขับไขมันออกก่อนเป็นลำดับแรก  ตามด้วยการวางยาบำรุงอย่างเหมาะสมให้คนไข้ พร้อมกับแนะนำให้ปรับพฤติกรรมว่าควรกินอย่างไร แต่ไม่ค่อยห้ามคนไข้เรื่องการกิน เช่น ทุเรียน การแพทย์แผนไทยบอกว่ามีรสหวานร้อน คนไข้ที่มารักษาสามารถกินทุเรียนได้ แต่แนะนำให้กินสมุนไพรที่มีรสขมตามเข้าไป น้ำตาลก็จะไม่ขึ้น และหมั่นออกกำลังกาย จึงทำให้การรักษาได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

“นอกจากนี้จากประสบการณ์ ถ้าเป็นเคสผู้ป่วยไขมันในเลือดสูงที่ยังไม่เคยเข้าสู่กระบวนการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบัน จะใช้เวลารักษาประมาณ 3-6 เดือน ตามวงจรของเม็ดเลือดในร่างกายที่มีอายุประมาณ 120 วัน หรือ 4 เดือน อาการก็จะหายหรือดีขึ้น 

สำหรับผู้ป่วยที่เคยได้รับยาแผนปัจจุบันมาก่อนอาจต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานขึ้น เนื่องจากร่างกายคุ้นเคยกับยาแผนปัจจุบัน

ข้อดีของการรักษาอาการไขมันในเลือดสูง หรือ อาการเสมหะคั่ง ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยคือเป็นทางเลือกให้ผู้ป่วยช่วยให้ไม่ต้องกินยาลดไขมันไปตลอดชีวิต และเมื่อรักษาหายแล้วสามารถหยุดกินยาได้”

สมุนไพรไทย ลดอ้วน ช่วยอิ่มท้อง

สมุนไพรลดออ้วน ของไทย ที่สามารถช่วยอิ่มท้อง และลดอ้วนได้ คือสมุนไพรที่มีกากใย หรือไฟเบอร์ ที่เราเรียกกันคุ้นชิน

โดยปกติแล้วใยอาหารหรือ ไฟเบอร์ จะประกอบด้วย 2 ชนิด คือ ใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ แต่จะพองตัวดูดซับน้ำเปรียบเหสทอนฟองน้ำทำให้รู้สึกอิ่ม แถมช่วยเพิ่มขนาดอุจจาระให้ไหลลื่นขึ้น สามารถขับถ่ายได้สะดวก

สำหรับใยอาหารอีกชนิดคือ ใยอาหารที่ละลายน้ำ จะคอยดูดซับน้ำไว้กับตัวเองทำให้ มีลักษณะคล้าเจลหรือวุ้น ช่วยชะลอการดูดซับของสารต่างๆ และทำให้การเคลื่อนตัวของอุจจาระได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ลดปัญหาการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี

เมล็ดแมงลัก

นำมาเมล็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชา มาแช่ในน้ำจนพองตัวเต็มที่ แล้วดื่มก่อนอาหาร หรือกินกับโยเกิร์ตก็อร่อยได้เหมือนกัน

เทียนเกล็ดหอย

ต้องนำมาแช่ในน้ำให้พองตัวเหมือนเมล็ดแมงลัก ครั้งละ 1-2 ช้อนชา ดื่มหรือกินก่อนอาหาร

หัวบุก

ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์จากหัวบุกมากมาย ทั้งผงชง ผลิตภัณฑ์แบบเส้น แบบก้อน แล้วแต่เลือกกิน ถ้าเป็นแบบผงให้นำมาชงดื่มกับน้ำต้มสุก ครั้งละ 1-2 ช้อนชา หรือถ้าเป็นแบบก้อนหรือเส้นให้ต้มสุกก่อนกินทุกครั้ง

ลูกสำรอง

สมุนไพรขึ้นชื่อของจังหวัดจันทบุรี วิธีทำ นำทั้งผล 5-10 ลูกมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วแช่ในน้ำ ทิ้งไว้ 3-5 ชั่วโมง จนกว่าวุ้นในลูกสำรองพองตัวออกมา แล้วกรองเอาแต่วุ้น ชงดื่ม เติมน้ำตาลทรายแดงเล็กน้อย

ว่านหางจระเข้

นำว่านห่างจระเข้ล้างน้ำไหลให้สะอาด โดยพยายามล้างยางสีเหลืองออกให้หมด แล้วนำมาปอกเปลือก ล้างน้ำไหลผ่านอีกครั้งจนสะอาด แล้วนำมากินใส่ในเครื่องดื่ม หรือโรยเป็นท็อปปิ้ง กินกับโยเกิร์ตก็อร่อยได้เหมือนกัน

วิ่งอย่างไรจึงผอม เพื่อเร่งเบิร์นไขมันในเลือด

อย่ารีบหยิบรองเท้าผ้าใบคู่ใจลงลู่วิ่งนะคะ หากยังไม่รู้เทคนิคของการวิ่งลดน้ำหนัก หลายคนวิ่งเท่าไรก็ไม่ผอมเสียที นั่นเพราะคุณกําลังวิ่งผิดวิธี การวิ่งเพื่อลดน้ำหนักคือ การวิ่งที่ทําให้อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในช่วงโมดีเรต หรือชีพจรเต้นอยู่ที่ร้อยละ 75-85

นักวิ่งจะรู้สึกเหนื่อยระดับปานกลาง หายใจแรง มีเหงื่อออกพอชุ่ม แต่ยังพูดเป็นประโยคได้ การวิ่งให้อัตราการเต้นหัวใจอยู่ในระดับนี้ จะช่วยให้ ร่างกายเผาผลาญไขมันออกมาใช้ได้ถึงร้อยละ 60 และเป็นช่วงที่ร่างกายดึงไขมันออกมาใช้มากที่สุดเมื่อเทียบกับอัตราการเต้นของหัวใจในระดับอื่น จึงเหมาะแก่การออกกําลังกายเพื่อลดน้ำหนัก

โมดีเรตสิจ๊ะ ถึงผอม

รู้ได้อย่างไรว่า อัตราการเต้นของ หัวใจในช่วงโมดีเรต (ชีพจรเต้นร้อยละ75-85) คือเท่าไร เรามีสูตรในการคํานวณดังนี้

อัตราการเต้นของหัวใจช่วงโมดีเรต = (220- อายุ) × อัตราการเต้นของหัวใจช่วงโมดีเรต (ช่วง 75/100-85/100)

ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงอายุ 20 ปี จะหาค่าอัตราการเต้นของหัวใจช่วงโมดีเรต (ใช้ร้อยละ 75 ซึ่งเป็นตัวเลขช่วงต่ำสุดเป็นเกณฑ์) = (220-20)×0.75 = 150 ครั้งต่อนาที

หากใช้ตัวเลขค่าบนของอัตราการเต้นของหัวใจช่วงโมดีเรตคือ ร้อยละ 85 ของสาวๆ อายุ 20 ปี คํานวณจะได้การเต้นของชีพจร 170 ครั้งต่อนาที

อัตราการเต้นของหัวใจช่วงโมดีเรตของกลุ่มสาวๆ ในช่วงอายุต่างๆ ยกตัวอย่าง เช่น

  • 20 ปี อัตราการเต้นของหัวใจคือ 150-170 ต่อนาที
  • 30 ปี อัตราการเต้นของหัวใจคือ 143-161ต่อนาที
  • 40 ปี  อัตราการเต้นของหัวใจคือ 135-153 ต่อนาที

ทำตามนี้ ไขมันโดนเบิร์นออกจากร่างกายแน่นอน

บทความอื่นที่น่าสนใจ

ออกกำลังกายแก้ปวดหลัง ปวดเอว ด้วยรำกระบอง ท่าแหงนดูดาว

รำกระบองช่วยรักษาโรคและอาการไหล่ติดได้

วิ่งลดน้ำหนัก ใน 12 สัปดาห์ ทำตามแล้วจะรู้ว่า ผอม!

การวิ่ง ไม่ทำให้เข่าเสื่อม!! พร้อมเทคนิควิ่งเสริมข้อแข็งแรง

แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา

ติดตามชีวจิตได้ที่

Instagram Cheewajitmedia
Facebook นิตยสารชีวจิต

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.