ในโลกนี้มีสถานที่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ที่ผู้คนพากันยกย่องให้เป็นแดนสวรรค์ของเหล่ามวลมนุษย์อย่างมัลดีฟส์ แชงกรีลา ทิเบต เทือกเขาหิมาลัย
ทว่าในจังหวัดเล็กๆ อย่างนครสวรรค์กลับมีสถานที่ที่ชาวบ้านเนินน้ำเย็นเรียกว่า “สวรรค์” ซุกซ่อนอยู่…ทุกคนเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า “1 ไร่แก้จน สวรรค์บ้านนา”
ผู้ใหญ่ธีรพันธุ์ บุญบาง ผู้ปลุกปั้น “สวรรค์บ้านนา” มาแต่อ้อนแต่ออก เล่าเท้าความถึงที่มาของสถานที่แห่งนี้ให้ฟัง…
“ผมอยู่วัดมาตั้งแต่เด็ก โตด้วยข้าวก้นบาตร ตอนเรียนหนังสือก็ขอพ่อแม่ไปอยู่วัด ไม่ชอบอยู่บ้าน ตอนนั้นเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง ขี้โมโห อารมณ์ร้อนมาก…มีคนเคยพูดกับพ่อผมว่า ลูกกำนันคนเล็กต้องระวัง ถ้าไปผิดทาง เข้าป่าเป็นมหาโจรแน่ แต่ถ้าดีจะเข้าวัด โชคดีบุญเก่าช่วยส่ง เลยชอบเข้าวัด…พอโตมาผมทำงานเป็นตำรวจ ก่อนออกมาทำงานธนาคารกรุงเทพ…”
ช่วงเวลานั้นผู้ใหญ่ธีรพันธุ์ตั้งคำถามเวียนวนในใจเสมอว่า “มนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร…เพื่อเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซ้ำซากเท่านั้นหรือ” เมื่อหาคำตอบไม่ได้ จึงตัดสินใจลาออกจากงานไปตามหาสัจธรรมชีวิต ด้วยการออกเดินธุดงค์และปฏิบัติธรรม
“ผมลาออกจากการเป็นตำรวจ ลาออกจากธนาคาร ทั้งที่ตอนนั้นชีวิตมีทุกอย่างหมด เงินเดือนก็มาก แต่ทั้งหมดนี้ไม่ช่วยตอบคำถามให้เราได้ เลยขายทุกอย่างทิ้ง ออกเดินธุดงค์เหมือนคนบ้า ประสาทกลับ”
“ทำไมมึงทำแบบนี้” “บ้าหรือเปล่า” “มีแต่เขาอยากทำงานดีๆ แต่นี่ดันจะออกไปทำอะไรไร้สาระ” ทุกคำถามจากเพื่อนผอง ญาติมิตร และเจ้านายต่างมุ่งเป้ามาที่ “คนบ้า”ทว่าคุณธีรพันธุ์ยังคงยืนหยัดในเจตนารมณ์ของตัวเอง แล้วออกเดินตามหาความหมายของการเกิดต่อไป…
“การออกเดินธุดงค์ให้คำตอบกับผมว่า ‘เราเกิดมาเพื่อทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น’ …เลยตัดสินใจกลับบ้านเกิดเพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน”
เมื่อได้กลับไปบ้านเกิด ผู้ใหญ่พบว่าผู้คนในหมู่บ้านต่างลำบากจากการมีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์และเป็นหนี้เป็นสินเขาจึงตัดสินใจเอาตัวเองเข้าทดลอง ทั้งล้มลุก ทั้งคลุกคลานทำเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของในหลวง
“ตอนนั้นลองผิดลองถูก ทำเองหมดเลย เพราะถ้าเราไม่ทำเองจะไม่รู้เรื่อง ตอบคำถามชาวบ้านไม่ได้…ผมทำนา50 - 60 ไร่ ยิ่งทำยิ่งจน เพราะเราไม่มีองค์ความรู้ที่แท้จริงเหมือนกับคนตาบอด เดินไปแล้วชนต้นไม้”
ทว่าเมื่อยิ่งทำยิ่งได้ศึกษาจนเข้าใจกระบวนการทำเศรษฐกิจพอเพียงอย่างถ่องแท้ ราวกับมีผู้ช่วยเปิดผ้าออกจากตา ผู้ใหญ่เริ่มเข้าใจแล้วว่า “พอประมาณ” อย่างเดียวไม่พอ ต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะทำอย่างลึกซึ้งด้วยถึง “ไปรอด”
จากพื้นที่ 1 ไร่ที่ปลูกต้นไม้สะเปะสะปะ จึงเริ่มผสมผสานไปด้วยหมู่มวลอาหารมากมาย ผู้ใหญ่แบ่งพื้นที่ 1 ไร่ออกเป็น 4 ส่วน โดยพื้นที่ส่วนแรกผู้ใหญ่จัดทำคอกสัตว์ให้เจ้าหมูตัวอ้วน และเจ้าไก่เสียงเพราะอยู่บนพื้นที่สูง เพื่อให้มูลสัตว์ไหลลงสู่สระบัวที่เต็มไปด้วยปลาดุก
ในส่วนที่สอง ผู้ใหญ่จัดการทำนา ปลูกข้าวแปลงใหญ่โดยเลี้ยงปลาดุกตัวเป้งๆ และปล่อยให้เจ้ากบอ๊บๆ มาอยู่ในนาเป็นเพื่อนต้นข้าวสีเขียวชอุ่ม ข้างๆ กันคือส่วนที่สาม ผู้ใหญ่สร้างแหล่งอาหารขนาดบิ๊ก ปลูกพืชผักสวนครัวไว้กินไว้ใช้โดยไม่ต้องหาซื้อ ทั้งขิง ข่า ตะไคร้ โหระพา ชะอม ฯลฯ
“ส่วนสุดท้ายเอาไว้อยู่อาศัยและปฏิบัติธรรม เราปลูกทุกอย่างที่กินและกินทุกอย่างที่ปลูก แต่ถ้าเราพูดเฉยๆชาวบ้านไม่เข้าใจนะ ต้องมีต้นแบบเป็นโมเดลให้เขาดูก่อนชี้นิ้วอย่างเดียวเขาไม่ศรัทธาหรอก”
นอกจากจะเป็นต้นแบบเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงแล้วผู้ใหญ่หัวใจธรรมะยังตั้งจิตตั้งใจในการสร้างคนให้เป็นมนุษย์สร้างมนุษย์ให้เป็นพระ สร้างพระให้เป็นเทวดาไปพร้อมๆ กัน “ที่ผมภูมิใจที่สุดคือได้สร้างมนุษย์…เพราะทุกวันนี้คนเยอะ แต่มนุษย์ไม่ค่อยมี แต่ก่อนที่ผมจะทำอย่างนั้นได้ก็ต้องทำตัวเองให้เป็นต้นแบบก่อน คือ ถือศีลห้าให้บริสุทธิ์”
ภาพผู้ใหญ่นุ่งขาวห่มขาว เดินตามรอยพระพุทธองค์ ฟังธรรมรักษาศีลทุกวันพระ จึงเป็นภาพที่ทุกคนชินตา…สวรรค์บ้านนาแห่งนี้จึงไม่ใช่ที่ที่ให้ลูกบ้านปรึกษาหารือหรือศึกษาเรียนรู้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นวิมานของใครหลายคนที่กำลังเดือดร้อนทางใจอีกด้วย
“ผมเอาธรรมะมาใช้ในการบำบัดยาเสพติด บางครั้งก็จัดอบรมพวกเด็กหัวโจก คนคุก ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้ผล เพราะมนุษย์ส่วนมากไม่ได้ชั่วโดยสันดาน ทุกคนเกิดมาด้วยบุญเก่ากับกรรมเก่ากันทั้งนั้น…
“การที่จะทำให้คนดีได้ ต้องเริ่มจากจิตใต้สำนึก ถ้าจิตใต้สำนึกเข้มแข็งก็เท่ากับมีความคิด มีปัญญาในการคิดทำสิ่งที่ดี
“ผมช่วยคนคุก สอนเด็กหัวโจก สอนทุกคนด้วยการให้ใจ…ไม่ว่าลูกจ้าง ไม่ว่าคนใช้ ถ้าเราให้ใจเขา ก็ไม่มีใครทำร้ายเรา…มาอยู่กับผม บาทหนึ่งก็ไม่ต้องเสีย มีแต่ให้อย่างเดียว” ด้วยเหตุนี้บ้านเนินน้ำเย็นจึงกลายเป็นเขตปลอดอาชญากรรมและยาเสพติดไปโดยปริยาย
“ไอ้นี่มันบ้าๆ บอๆ” “เอาลูกคนอื่นมาเลี้ยง เอาเมี่ยงคนอื่นมาอม” ราวกับคำว่ากล่าวเมื่อครั้งที่ผู้ใหญ่ธีรพันธุ์ลาออกจากงานย้อนกลับมาอีกครั้ง ทว่าแม้มีเสียงคนอื่นแว่วเข้าหูเพียงใด ผู้ใหญ่ก็ยังมั่นคงในสิ่งที่ตนเชื่อดังเดิม
“ผมเข้าใจนะ บัวยังมีสี่เหล่า จะให้ทุกคนคิดอย่างเราคงยาก เหมือนที่ในหลวงทรงบอกว่า คนดีจะให้คิดชั่ว…ทำไม่ได้หรอก คนชั่วจะให้คิดดีก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
“เพราะฉะนั้น ถ้าเขาด่าเรา ก็เรื่องของเขา เราห้ามคนพูดคนด่าไม่ได้หรอก มาดูตัวเองแทนดีกว่า ว่าที่โดนด่ามาถูกของเขาไหม ถ้าไม่ถูกก็ไม่ต้องสนใจ วางไว้ก็ไม่ทุกข์”
ทุกวันนี้ผู้ใหญ่เปิด “สวรรค์” ให้ทุกผู้คนสามารถเดินทางมาดูงานได้ตลอดเวลา และยังคงจัดอบรมเหล่าเยาวชนและคนคุกที่เดินทางผิดอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงฝึกสอนอาชีพให้ทุกคนเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ พร้อมๆ กับเปิดวิมานให้ผู้ที่มีทุกข์ทั้งหลายได้มาพักใจไม่เคยหยุด
การที่บ้านเนินน้ำเย็นแห่งนี้กลายเป็น “สวรรค์บ้านนา”ก็คงเป็นเพราะกายที่ทุ่มเทและใจที่พร้อมจะ “ให้” ของผู้ใหญ่ชายหน้าดุ ผู้มีหัวใจธรรมะคนนี้นี่เอง…
เรื่อง ณัฐนภ ตระกลธนภาส www.facebook.com/nutthanop.tr
ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี