โอม ค็อกเทล

โอม ค็อกเทล กับการเรียนรู้ในทุกจังหวะของชีวิต

ทุกจังหวะของชีวิตคือการเรียนรู้

โอม ค็อกเทล

“ชีวิตคือการเรียนรู้ไม่รู้จบ” เป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่เราได้จากการสัมภาษณ์ ปัณฑพล ประสารราชกิจ ที่หลายคนรู้จักในชื่อของ“โอม ค็อกเทล” นักร้องนำและนักแต่งเพลงมาดสุขุมของวงร็อคชื่อดัง

หลายคนเพิ่งรู้จักเขาจากการถอด “หน้ากากหอยนางรม” ในรายการ The Mask Singer ซีซัน2 ด้วยมาดกวน ๆ ต่างจากภาพที่เคยเห็น  แต่นั่นเป็นเพียงความเป็นตัวตนบางแง่มุมของเขาเท่านั้น เพราะผู้ชายวัยสามสิบต้น ๆ คนนี้ มีชีวิตที่เราคาดไม่ถึง และมีความคิด มุมมองชีวิตที่น่าสนใจ ซึ่งเขาสั่งสมจากสังเกต ค้นหา เรียนรู้ และทำความเข้าใจชีวิตอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่รู้จบ

ชีวิตวัยเด็กของคุณโอมเป็นอย่างไรคะ
ผมโตแบบเด็กทั่วไป ไม่ได้ดื้ออะไรมากมาย โตมาแบบเรียบ ๆ ในบ้านซึ่งรับราชการมาหลายชั่วอายุคน ตั้งแต่คุณทวด จนถึงคุณพ่อคุณแม่ ผมโตมาในช่วงที่คุณพ่อ (พล.ต.อ.ดร. วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ)  และคุณแม่ (รศ.ปิยานันต์ ประสารราชกิจ อดีตหัวหน้าภาควิชาออกแบบและตบแต่งภายใน คณะสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) อยู่ในช่วงสร้างตัว เราไม่ได้มีชีวิตที่หรูหรา หรือฟุ่มเฟือย  โชคดีที่คุณแม่เป็นอาร์ตทิสต์  ท่านจึงทำของเล่นให้ผมด้วยตัวเองเต็มไปหมด ผมโตมากับเครื่องเขียนและกระดาษ เลยมีทักษะทางศิลปะติดตัวมา

คิดที่จะรับราชการเหมือนกับคุณพ่อคุณแม่ไหมคะ
ไม่ค่อยได้คิดนะครับ แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ได้บังคับ  สิ่งสำคัญที่ท่านให้ผมคือความรู้รอบตัว การให้ความรู้นอกห้องเรียนสำคัญมาก  ผมและน้องสาวได้รับความรู้ในรูปแบบนี้ เวลาไปต่างประเทศพ่อแม่บางครอบครัวอาจพาลูกไปสวนสนุก แต่ท่านพาผมไปพิพิธภัณฑ์ ซึ่งได้ทั้งสนุก ได้เห็นโลกกว้างและได้รับความรู้มากมาย  เมื่อถึงจุดหนึ่งความรู้ก็เริ่มบูรณาการกันและกันเอง และเป็นประโยชน์อย่างมากจนถึงทุกวันนี้

ผมเป็นเด็กที่ถ้าชอบอะไรก็จะอยู่กับสิ่งนั้นได้นาน คุณแม่พาผมมาพบกับรามเกียรติ์ตั้งแต่อายุ 4 ขวบครึ่ง และรู้สึกว่ารามเกียรติ์เหมือนเป็นฮีโร่ เด็ก ๆ วัยเดียวกันอาจดูขบวนการเรนเจอร์  5 สี แต่เราเห็นกลับไปวนใจลิง 18 มงกุฎ 18สีในรามเกียรติ์แทน (หัวเราะ) ชีวิตวัยเด็กไม่มีอะไรมาก  แต่ที่มีปัญหาน่าจะเป็นช่วงวัยรุ่นมากกว่าครับ

ทำไมช่วงวัยรุ่นถึงมีปัญหาคะ

บอกไม่ถูกเหมือนกับครับ ผมคิดว่าพอเราเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเก่งกล้าสามารถอะไรบางอย่าง เราก็จะเริ่มกรุยทางเพื่อตัวเอง และในวินาทีนั้นฮอร์โมนคงทำงานแรง จึงรู้สึกว่าการทำตามคนบอกน่าเบื่อ และพยายามหาอะไรใหม่ให้ตัวเอง จึงทำให้เราออกนอกลู่นอกทางไปพอสมควร

ช่วงเรียนปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมไม่เข้าเรียน การเรียนตกไปเหลือเกรด 1 กว่า อาจารย์เรียกผู้ปกครองไปพบ เวลานั้นผมจึงละอายว่า คุณพ่อเราเป็นถึงนักเรียนทุน คุณแม่เรียนจบได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง แล้วลูกกลับมาเป็นแบบนี้ ตรงนี้ก็เป็นจุดหักเหที่เราได้คิด  ทำให้ผมรู้สึกว่าผมกำลังจะสร้างปัญหาให้กับคุณพ่อคุณแม่ ทั้งที่ท่านไม่ได้ทำผิดอะไร ท่านตั้งใจทำงาน  รักษาชื่อเสียงของตัวเอง แต่กลับจะมาพังเพราะลูก

ต่อมาผมก็พบกับจุดเปลี่ยนอีกอย่างก็คือ ผมดื่มเหล้าหนักจนวันหนึ่งประสบอุบัติเหตุจนชีวิตอยู่ใกล้ความตายมาก ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่ทำลงไปไม่คุ้ม ทำให้คุณพ่อเสียชื่อเสียง เพราะเวลานั้นท่านมีตำแหน่งใหญ่แล้ว   ตอนนั้นเราพยายามเดินออกมาจากวิถีของพ่อแม่เพื่อจะบอกว่าเรามีชีวิตของตัวเองได้  แต่ความเสียหายที่เราสร้างมันย้อนกลับไปดึงพ่อแม่มาเสียหายในชีวิตเราด้วย เราไม่อยากให้พ่อแม่ยุ่งกับเรา แต่กลับลากเขามายุ่งกับเราโดยที่ไม่ใช่ความผิดของเขาเลย มันไม่ถูกต้อง มันไม่ใช่ชีวิตอย่างที่เราเข้าใจแล้ว

แรก ๆ แรงขับที่ทำให้กลับมาเรียน มันไม่ใช่แรงขับที่ดีนักหรอก  เพราะเป็นแรงขับจากความคิดที่ว่าไม่ชอบให้ใครมาดูถูก หรือบอกว่าเราทำได้หรือทำไม่ได้    เราแค่อยากบอกว่า ฉันทำได้ ง่ายแค่นี้ ฉันฉลาดพอ คือเป็นการพยายามแสดงฤทธิ์เดชอีกแบบหนึ่ง เพียงแต่ว่าเมื่อบางอย่างเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ  อีกอย่างก็จะจางลงไป วันที่ผมกลับมาเรียนจริง ๆ อีโก้ก็ซีดลงไปจนกลายเป็นแพชชั่น  รู้ตัวอีกทีเราก็ตั้งใจเรียนไปแล้ว

แต่หลังจากนั้นก็ตั้งใจเรียนจนจบปริญญาตรีอีกหนึ่งใบ และต่อปริญญาโทด้วย

พอดีคุณแม่แนะนำว่า ที่จุฬาฯ เปิดหลักสูตรนิติศาสตร์ภาคบัณฑิตมาได้สองปีแล้ว ซึ่งต้องใช้เวลาเรียน 3 ปี ถ้าผมจะไปต่อปริญญาโทในมหาวิทยาลัยชั้นนำจำเป็นต้องมีเกรดเฉลี่ยที่สูงมากกว่านี้  จึงต้องเสียเวลาอีกสักสามปี ซึ่งก็ต้องพึ่งคุณพ่อคุณแม่ เพราะค่าเทอมเราจ่ายเองไม่ได้แน่นอน  ไหนยังต้องมีค่าใช้จ่ายในชีวิตอีก  ซึ่งสามปีนี้คนส่วนใหญ่จบปริญญาโทกันแล้ว แต่เรายอมกลับมาเรียนปริญญาตรีอีกใบเพื่อจะสอบชิงทุนไปเมืองนอกเองให้ได้ ซึ่งสุดท้ายก็เรียนจบด้วยเกียนตินิยมอันดับหนึ่ง

พอเรียนจบก็ไม่ได้รอทุน  เพราะผมไปเรียนได้ถูกกว่านั้นมาก คือไปเรียนนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ประเทศจีน ในขณะที่คนอื่นเรียนกฎหมายการค้า  ผมเลือกทำวิทยานิพนธ์ในเชิงทฤษฎีกฎหมาย (Theory of Law) ซึ่งไม่ค่อยมีใครเลือก ผมแน่ใจว่ากลับมาต้องมีงานแน่นอน เพราะอาจารย์ที่จบกฎหมายสังคมนิยมแทบไม่มี  ในขณะที่ประเทศจีนทวีอำนาจมากขึ้นทุกวัน เราต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบกฎหมายและสภาพบ้านเมืองของเขา  ดังนั้น ผมจึงกลายเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่นำความรู้แบบนี้กลับมา  ต่อมาก็ได้ทำงานเป็นอาจารย์ผู้ช่วยคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

ช่วงชีวิตที่เป็นอาจารย์เป็นอย่างไรบ้างคะ

ผมอยากเป็นอาจารย์ แต่ไม่ได้ตั้งใจอยากเป็นอาจารย์สอนปริญญาโท อยากเป็นอาจารย์สอนปริญญาตรีมากกว่า  การที่เข้าไปสอนที่นิด้าจึงผิดแผนไปนิดหน่อย แต่ก็ได้ประสบการณ์มาก  เพราะช่วงที่เข้าไป คณะเพิ่งตั้ง ผมแทบไม่ได้สอนเลย แต่ได้ทำงานจิปาถะเต็มไปหมด ได้เรียนรู้เรื่องนโยบาย การตั้งหลักสูตร การประชุมในวาระต่าง ๆ เรียนรู้ทุกอย่างแม้แต่เรื่องการเบิกหรือสั่งพัสดุ  ระบบการทำงานราชการ ซึ่งเป็นอีกรูปแบบหนึ่งในการทำงาน ผมได้เรียนรู้และนำมาปรับใช้ในชีวิตการทำงานต่อมาด้วย

ผมคิดว่าอาชีพอาจารย์เป็นอาชีพที่ไม่มีพิษมีภัยอะไร เป็นอาชีพที่ให้อย่างเดียว ถ้าให้ผิดถึงจะมีพิษครับ คิดว่าเราคงจะเป็นประโยชน์ได้มากที่สุดตรงนี้

ดูเหมือนเส้นทางอาชีพจะมุ่งหน้าไปทางวิชาการ แล้วชีวิตหันมาเดินเส้นทางดนตรีเต็มตัวได้อย่างไรคะ

ผมเล่นดนตรีมาตั้งแต่ ม.ปลาย ไม่เคยคิดว่าจะเล่นดนตรีเต็มตัว เพราะเล่นเป็นงานอดิเรกมาตลอด แต่สิ่งหนึ่งที่ผมโหยหาคือประสบการณ์ เมื่อมีโอกาสเข้ามา ก็รู้สึกว่าทำไมเราไม่คว้าโอกาสนั้นไว้เพื่อดูว่า ในฐานะที่เล่นดนตรีอาชีพในช่วงเวลาหนึ่ง เราได้อะไรจากมันบ้าง ก่อนไปเรียนปริญญาโทผมจึงได้เซ็นสัญญากับค่าย genie records และออกเพลงมาหนึ่งอัลบั้มและก็ยังคงทำงานนี้จนถึงทุกวันนี้ครับ

วันนี้ อาชีพนักร้องอยู่ในจุดที่ประสบความสำเร็จ โอมนึกถึงช่วงเวลาขาลงบ้างไหม

ผมไม่ได้คิดแค่เรื่องขาลงของการเป็นนักร้อง แต่คิดถึงขาลงของทุกอย่าง ถ้าเรากำหนดขอบเขตได้ว่าเราขึ้นแล้วเราจะลงตรงไหน  ระหว่างทางเราจะไม่หลงทางมาก สิ่งที่แย่ที่สุดในการดำรงชีวิตคือการหลงทาง หลงทางแม้แต่วันเดียวก็ทำให้เวลาในชีวิตสูญเปล่า  ดังนั้นผมจึงพยายามกำหนดว่า เราขึ้นมาอย่างนี้ เราจะลงตรงไหน เพราะเราอนุมานได้จากสถิติเทียบเคียงต่าง ๆ

สมมติว่าเราเงินเดือน 25,000 บาท ตำแหน่งสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้คือ 40,000 อายุงานเหลืออีก 30 ปี ค่าเฉลี่ยเงินเดือนอยู่ที่ 30,000 บาท แสดงว่าอีก 30 ปี เราจะทำเงินจากวันนี้ถึงเกษียณประมาณ 10 ล้านบาท บวกกับค่าประกันสังคม ก็อาจได้ประมาณ 12 ล้านบาท สมมติวันนี้ไม่คิดอะไร ไม่รู้ตัวเลขนี้ คิดว่าเงินเดือนขนาดนี้ ซื้อรถราคา 2 ล้านบาท ผ่อนเดือนละหมื่นสอง ก็พอไหวนะ แค่ถ้าคิดว่าทั้งชีวิตมีเงิน 12 ล้านบาท คุณจะกล้าซื้อรถราคา 2 ล้านบาทไหม

เมื่อเรามองชีวิตจากต้นไปจนปลาย เราจะรู้ว่าควรจัดการชีวิตอย่างไร สุดท้ายเรื่องนี้ก็คือ ความไม่ประมาท นั่นเอง
ในวงค็อกเทล เรามีการวางระบบดูแลครอบครัวของสมาชิกในวง เพราะผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องพื้นฐานที่นำมาซึ่งสุขภาพจิตและสุขภาพกายที่ดี  ในช่วงอาชีพที่สั้น เขาควรได้ประโยชน์จากมันเต็มที่  มีคุณภาพชีวิตที่ดีพอ  ในขณะเดียวกันเรามีการหักเงินไว้เป็นกองทุนสำรอง เพื่อความปลอดภัย

15 ปีในการทำงานของวงค็อกเทล โอมเห็นสัจธรรมอะไรบ้าง

สิ่งที่เห็นคือการเปลี่ยนแปลง  การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติ เป็นธรรมดา และดำรงอยู่ในทุก ๆ อณู ทุก ๆ ขณะ แต่เราไม่เห็นเอง เรามักคิดว่าอยู่ได้เหมือนเดิม แต่จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรเหมือนเดิม นาทีนี้กับนาทีนั้นก็ไม่เหมือนกัน ต่างกันอยู่ตลอดเวลา ยิ่งสังเกตก็ยิ่งเห็นความแตกต่าง  การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของการเป็นศิลปิน เพราะอาชีพที่เกินจากปัจจัยสี่ มันไม่จำเป็น ไม่มีไม่ตาย ถ้าปัจจัยสี่ไม่ครบถ้วน ไม่มีใครอยากฟังเพลงหรอก ถ้าไม่มีบ้านก็ไม่มีใครสนหรอกว่า ฉันจะเอาเงินมาซื้อซีดีเพลง เพราะเป็นเรื่องเกินความจำเป็น และผูกติดอยู่กับกิเลส

15 ปีของการทำเพลง ผมได้เรียนรู้อยู่ตลอด เพราะดนตรีเป็นผลสะท้อนของความคิด ความคิดผูกพันกับสิ่งแวดล้อมเสมอ ถ้าเลิกสังเกตโลก เลิกมอง ก็ไม่มีทางที่ไล่ทันความคิดได้ สุดท้ายความคิดของคุณก็จะตาย เพลงก็ไม่ทำงาน เพราะเพลงจะทำงานจะต้องแตะต้องจิตใจของคนได้  ต้องมีจุดร่วมระหว่างเราและเขา เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง โลกหมุนไปแล้ว แต่เราอยากจะเล่าแต่เรื่องของเรา หรือหยุดอยู่กับที่ ไม่มีอะไรเพิ่มเติม ก็ทำให้เพลงไม่มีพลวัต ในขณะที่โลกหมุนตลอด แต่เราพยายามหมุนกลับหลังก็ไม่ได้

เท่าที่คุยมาพูดถึงธรรมะเยอะ เป็นคนสนใจธรรมะไหมคะ

ผมว่าธรรมะคือธรรมชาติครับ สภาวะที่ทำให้คนเป็นสุขมากที่สุดคือสภาวะธรรมชาติ ผมไม่ชอบคำว่าธรรมะธรรมโมเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าเป็นคำที่ไล่แขก  พอบอกว่าเรามาคุยธรรมะกันนะ  เด็กบางคนอาจจะเดินหนีไปเลย  จริง ๆ เราทำให้ดูเป็นเรื่องปกติดีกว่า พระพุทธเจ้าฉลาดที่สุดแล้ว เพราะทุกอย่างที่เราทำแล้วสบาย  คือสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติทั้งหมด อย่างไรชีวิตก็ไม่พ้นหลักธรรมหลักธรรมชาติ ไม่ว่าเรื่องไหนก็ตาม

ที่ผ่านมาผมศึกษาจากการอ่าน และเผชิญด้วยตัวเอง ทำให้เราเข้าเริ่มมองเห็นวงจรของความคิด ส่วนประสบการณ์ทำให้เราเข้าใจมากยิ่งขึ้น  แต่สังคมปัจจุบัน เวลาพูดถึงธรรมะมักจะมีอาการของ สีลัพพตปรามาส คือ การงมงายในวัตรปฏิบัติ คือบางทีเรารู้สึกว่าเราปฏิบัติมากกว่า ถึงกว่า เข้าใจกว่า ซึ่งเป็นการทะนงตนโดยไม่รู้ตัว จริง ๆ สภาวะเหล่านี้เป็นสภาวะลอย ๆ ไม่ได้สูงไม่ได้ดีกว่า เพราะสุดท้ายแล้วเราไม่ได้เปรียบเทียบกับใคร เป็นความรู้สึกที่อยู่ในใจเท่านั้น ดังนั้นคิดว่าเรารู้เท่าไรก็ไม่พอดีที่สุดเราจะได้ไม่หยุดขวนขวายเพื่อพัฒนาครับ

ทราบว่าเคยบวชด้วย เวลานั้นได้ค้นพบและเรียนรู้อะไรบ้างคะ

ผมบวชตอนอายุ 24  ซึ่งถือตามแบบโบราณคือเข้าปีที่ 25 ชีวิตหรือเบญจเพส เวลานั้นบวชเพราะที่บ้านอยากให้บวชอยู่แล้ว และตัวผมเองก็รู้สึกว่าอยากศึกษาบางอย่างเพิ่มเติม ผมบวชที่วัดบวรนิเวศฯ แล้วย้ายไปอยู่วัดป่า และปฏิบัติอย่างเคร่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ตลอด 1 เดือนที่บวช เพราะเวลาที่มีในผ้าเหลืองของเราสั้น ก็อยากให้ได้ความรู้มากๆครับ

เมื่ออยู่กับตัวเองไปนานๆ ก็จะเริ่มมองเห็นปัญหาในตัวเองว่า จริง ๆ แล้วเรามีความหยาบแบบไหนอยู่ในใจบ้าง เพราะความลำพังนั้นทำให้เรามองเห็นอะไรในตัวเองได้ลึกซึ้ง ว่าจริง ๆ แล้วมีหลายอย่างที่เรามองข้าม เรามองข้ามแม้กระทั่งเสียงหัวใจตัวเอง  นี่พูดถึงในเชิงกายภาพนะครับ ถ้าเพ่งจริง ๆ เราสามารถได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นได้ เราสามารถรู้สึกถึงเส้นเลือดที่เดินตามแขนได้ และในเชิงนามธรรม ใจของเราก็บอกอะไรหลายอย่าง เราไม่พอใจอะไรบ้าง  กำลังเดือดดาลเรื่องอะไรมีความหยาบแบบไหน มีความเกียจคร้านแบบใด เมื่ออยู่ในความลำพัง ในความเงียบ สิ่งเหล่านี้ออกมาหมด

พอสึกออกมาเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองอย่างไรบ้าง

ไม่ได้ถึงกับเห็นนะครับ เรื่องอย่างนี้ผมไม่ตอบเองดีกว่า ต้องให้คนอื่นบอก (ยิ้ม) แต่ที่รู้ว่าเปลี่ยนแน่ ๆ คือ บางอย่างต้องเปลี่ยน เพราะความรู้ใหม่เกิดขึ้น ผมยังฝึกตัวเองต่อมาเรื่อยๆแบบอีกเป็นปี ๆ จนรู้สึกว่ามันตึง เห็นความตึงแบบไม่มีการผ่อนลง จึงรู้สึกว่าต้องผ่อนลงมาในบางเรื่อง ให้ไม่ตึงจนเกินไป

การเป็นคนสนใจธรรมะขัดกับการเป็นนักร้องไหมคะ

ไม่ขัดหรอกครับ ธรรมะสามารถนำมาปรับใช้ได้ทุกอย่างในชีวิตเสมอครับ อาชีพของเราเป็นอาชีพที่มีขึ้นมีลง มีคนเข้าหามาก หากไม่ดำรงสติไว้มากๆ ผมว่าผมก็พร้อมจะเสียคนครับ (ขำ)
ดูจากในแฟนเพจของโอมแล้วมีแฟนคลับเข้ามาพูดคุยและขอกำลังใจอยู่เรื่อย ๆ โอมให้กำลังใจแฟนคลับอย่างไรบ้างคะ

สิ่งที่ผมพยายามทำอยู่เสมอคือ ผมอยากให้คนพึ่งตัวเองให้มากที่สุด ทำอย่างไรก็ได้ที่ให้เขายืนได้ด้วยตัวเอง สิ่งที่ผมยื่นให้เขาไม่ใช่กำลังใจที่เขาอยากได้จากเรา แต่เป็นวิธีการที่ทำให้เขาสร้างกำลังใจได้ด้วยตัวเอง อยู่ได้ด้วยตัวเอง เพราะยั่งยืนกว่า การขอความช่วยเหลือไม่ผิดนะครับ แต่การขออยู่เรื่อย ๆ โดยไม่เห็นคุณค่าถือว่าผิด ผิดแม้กระทั่งต่อตัวเองด้วย

บางคนมาขอให้ผมช่วยให้กำลังใจเขาอยู่บ่อย ๆ จนบางทีผมต้องตัด ไม่รับฟังแล้ว ถึงคนอื่นจะว่าใจดำ แต่ถ้าตามใจต่อไป  เขาจะมีชีวิตด้วยตัวเองไม่เป็น  ถ้าวันนี้เขาเกลียดเราแล้วเป็นพลังให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป ผมก็โอเคนะ เพราะผมพูดเสมอว่า ผมไม่ใช่ทุกอย่างของคุณ คุณยังมีครอบครัวของคุณ คุณต้องมีชีวิตของตัวเองต่อไป

จริง ๆ ช่วงหนึ่งผมก็ประสบวิกฤติในใจจากเรื่องนี้   เพราะผมดังกะทันหันจากรายการ The Mask Singer ที่พาให้เข้าไปอยู่ในวงการบันเทิง  ไม่ใช่เพียงวงการดนตรีอีกต่อไป  เหมือนกับผมข้ามไปอยู่อีกระดับ ผมได้รับการตอบรับจากคนรอบข้างอีกแบบ ทุกอย่างหันเหไปหมด  ช่วงแรกก็รับมือได้ยากเหมือนกัน เพราะเรากำลังรับมือกับความคาดหวังจำนวนมากอีกแบบหนึ่งที่เราวางตัวไม่ถูกว่าควรจัดการอย่างไร

จู่ ๆ วันหนึ่งโอมพูดอะไรมาก็เป็นข่าวไปหมด เหมือนเราถูกโฟกัส ทำให้ต่อไปนี้จะพูดอะไรก็คิดมากกว่าเดิม เพราะสร้างผลกระทบ  ถ้าเราสร้างผลกระทบที่ผิด เราสร้างบาปชนิดทวีคูณ ซึ่งเราก็ต้องรับแรงกระแทกนั้นด้วย วิธีการที่ดีที่สุดคือ ต้องสร้างตัวเองให้แข็งแกร่งพอที่จะรับแรงกระแทก อะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ของเรา หรือเบียดเบียนและสร้างความทุกข์ให้ตัวเรา เราก็รับไว้ไม่ได้ เราให้ความปรารถนาดีที่สุดแล้วเท่าที่เราจะทำได้แค่นั้น

ถามถึงชีวิตครอบครัวบ้าง เมื่อมีลูกสาว “น้องเวฬา” ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง และอยากให้ลูกเป็นเด็กแบบไหนคะ

ก็ดีครับ มีอะไรให้ทำตลอดเวลา (หัวเราะ) ตอนที่ทุกคนได้อ่านบทสัมภาษณ์นี้ ลูกก็น่าจะอายุ 8 เดือนแล้ว ลูกไม่ได้เปลี่ยนผมในด้านความคิด ผมก็ยังเป็นคนกระด้างและไม่หวานเหมือนเดิม ผมไม่ใช่คนติดลูก เพราะรู้สึกว่าเขาอยู่ได้  แต่สิ่งที่อยากให้ลูกเป็นคือ ให้เขาเป็นคนดีก็พอ คำว่าดีสำหรับผมคือ หนึ่ง เขาต้องเข้าใจเรื่องเสียสละ เพราะผมเชื่ออย่างยิ่งว่า รากฐานของความดีทั้งปวงมีเหตุมาจากการเสียสละ  ไม่ว่าอะไรก็ตาม เช่น ช่วยคนข้ามถนนก็คือการสละเวลา สละแรงกาย การให้เป็นการสละทั้งหมด การตั้งใจทำงานเหมือนกับไม่สละอะไร แต่เป็นการสละความสะดวกสบายส่วนตัว

สองคือ เขาต้องมีหิริโอตัปปะ เข้าใจว่าอะไรคือดีอะไรคือชั่ว เขาหลงทางได้แต่ต้องรู้ตัวว่ากำลังทำผิด เพราะคนที่น่ากลัวที่สุดคือคนที่ทำผิดแล้วไม่รู้ว่าผิด  ชั่ววูบหนึ่งเขาอาจรู้สึกว่าขอเกเรบ้าง แต่ตราบที่เขารู้ตัว เขาจะหาทางกลับบ้านเจอ เรื่องที่สามคือ ขอให้เขารู้ว่าเวลาผ่านไปไวคือไม่ให้เขาประมาท เวลาเป็นของมีค่า ถ้าเข้าใจก็จะทำให้เขาไม่ประมาท สามข้อนี้จะพาเขาไปโลกุตร เพราะเป็นธรรมะสามข้อที่ทำให้อยู่เหนือโลก ถ้าเข้าใจตรงนี้ได้ทั้งหมดก็น่าจะบรรลุธรรมได้ แต่ต้องเข้าใจจริง ๆ เพราะมีความลึกซึ้งกว่าที่พูดกันมาก

ส่วนธรรมะที่ทำให้ลูกอยู่ในโลกนี้ได้ดีคือ การรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพราะตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา ผมเพิ่งเข้าใจได้เองว่า สุดยอดของการเข้าใจคือ การเข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องเข้าใจไม่ได้ บางเรื่องก็ต้องปล่อยไปเหมือนกัน เข้าใจว่าบางคนต้องอยู่ห่าง เข้าใจว่าเราไม่ต้องเข้าใจบางคนก็ได้ นี่คือสุดยอดของความเข้าใจแล้ว และนี่คือศิลปะของการอยู่กับคนอื่นจริง ๆ คือ เราไม่ได้ไปเปลี่ยนวิถีของเขา แล้วก็ไม่ปล่อยให้เขามาเปลี่ยนวิถีของเรา

คิดว่าอะไรทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างในทุกวันนี้

ถ้าทางโลกคือ ความสม่ำเสมอ ความมุ่งมั่น ผมเชื่อว่าตัวเองมีความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่นมากมายมหาศาล ผมมีแรงที่จะทำอย่างยิ่งยวด และยังมีครอบครัวที่ดี ทีมงานและเพื่อนร่วมงานที่ดี ผมมีทุกอย่างที่ดีอยู่รอบตัว ทำให้รู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จ  อีกอย่างคือ ต้องทำตัวพร้อมอยู่ตลอดเวลา คนเราชอบอ้างว่า ตัวเองไม่มีโอกาส ซึ่งไม่จริง เรามีโอกาส แต่ไม่พร้อมรับโอกาสต่างหาก เรื่องทุนการศึกษาเป็นตัวอย่างที่ดี มีทุนเปิดทุกปี แต่คุณไม่เคยได้ เพราะเกรดไม่ถึง นั่นเป็นเพราะไม่มีโอกาสหรือไม่พร้อมรับโอกาส  ถ้าทุนไม่มีสักปี อย่างนี้เรียกว่าไม่มีโอกาส แต่ทุนมีทุกปี เพียงแต่คุณไม่พร้อมที่จะเป็นที่หนึ่งเพื่อรับทุนนั้น เท่านั้นเอง

ส่วนทางธรรมถ้าถามว่าผมประสบความสำเร็จไหม ก็ยังไม่ครับ ผมยังโดนอาจารย์ที่นับถือตำหนิอยู่เป็นประจำ แต่ผมไม่ท้อและเดินหน้าต่อไป  เพราะกิเลสต้องสู้อยู่ทุกวัน ไม่ใช่ว่าวันนี้เราชนะแล้วจะชนะตลอดไป ไม่ใช่ว่าหนึ่งครั้งแล้วจบ ตราบใดที่คุณยังไม่บรรลุธรรมเหนือโลกในระดับโสดาบันขึ้นไป ไม่มีหลักประกันเลยว่า กิเลสนั้นจะโดนดับจริงอย่างสมบูรณ์

คำถามสุดท้าย อยากรู้ว่าความสุขในตอนนี้ของโอมคืออะไรคะ

จริง ๆ ผมมีความสุขทุกตอนนะครับ (หัวเราะ) แต่สำหรับตอนนี้คือ การที่ได้ทำงานกับคนที่มีความสามารถหลากหลาย ได้เจอคนเยอะ ได้เรียนรู้เพิ่มเติมในสิ่งที่ยังขาด  ผมรู้สึกว่า การที่ทุกวันได้เจออะไรใหม่ ๆ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลาก็เป็นความสุข เพราะเราไม่ได้ย่ำอยู่กับที่ ไม่ได้ติดอยู่ในคอมฟอร์ตโซน
ไม่ได้ทำทุกอย่างซ้ำจนกระทั่งลืมไปว่าความหมายของการทำสิ่งที่เราทำอยู่นั้นคืออะไร

SECRET BOX

เราควรทำตัวให้พร้อมรับกับโอกาสที่มีอยู่ตลอดเวลา อย่าอ้างว่า ไม่มีโอกาส เพราะหลายครั้งตัวเราเองเองที่ไม่พร้อมรับโอกาสนั้นมากกว่า – โอม ค็อกเทล


ที่มา: คอลัมน์ Idol Secretฉบับ 227 (10 ธ.ค.2560) นิตยสาร Secret
เรื่อง: เชิญพร คงมา ภาพ: สุเมธ วิวัฒน์วิชา ผู้ช่วยช่างภาพ: อัญชลี มวยพิมาย สไตลิสต์: สลาลี สมบัติมี
แต่งหน้า-ทำผม: ภูดล คงจันทร์


บทความน่าสนใจ

ชีวิตนี้ที่เลือกเอง ปุ๊กกี้ ปริศนา พรายแสง

“หนุ่ม กะลา” เปิดหมดใจ จากวันที่ทุกข์ ถึงวันที่ซึ้งในธรรม

สู้สุดหัวใจ นิยามชีวิตของ จอห์น มกจ๊ก ตลกหญิงร่างเล็กใจสู้

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.