ไม่มีรักไหนยิ่งใหญ่กว่ารักแท้ของ ครอบครัว คุณช่า – ธัชปชา และ แม่นิด – สุมน เศรฐไชย
ครอบครัว นี้มีสตอรี่ เพราะกว่าจะเข้าใจกันได้เท่าวันนี้ ทั้งคุณช่าเจ้าของเพจ บันทึกของตุ๊ด และคุณแม่นิดต้องผ่านเรื่องราวความไม่เข้าใจและเหตุการณ์บีบหัวใจมามากมาย
แต่วันนี้คุณช่าและแม่นิดช่วยกันเล่าอย่างอารมณ์ดี เพราะสุดท้ายความรักความเข้าใจชนะทุกอุปสรรคแล้ว
เริ่มต้นจากการเล่าเรื่องราวของช่วงวัยหนึ่งของคุณช่าที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันใน ครอบครัว
แม่นิด : แม่รู้ว่าเขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่เขาเรียนอยู่ ป.4 แล้ว เคยเห็นเขาขโมยเสื้อผ้าน้องสาวไปใส่ รองเท้าเด็กผู้ชายที่ซื้อให้ก็ไม่ใส่ แอบเอารองเท้าน้องสาวไป เท้าใหญ่กว่าก็ยัดเข้าไป ตอนแรกแม่เห็นก็ตกใจเหมือนกันนะ แต่พอรู้แล้วก็เก็บไว้คนเดียว พยายามสังเกตเขา ไม่ได้ให้ท้าย ปล่อยให้เขาเป็นในแบบของเขาไปนั่นแหละ แม่รับได้ เขาจะเป็นอะไรก็ลูกเรา
ช่า : พอเริ่มขึ้นมัธยมต้น เราเริ่มออกสาว ยิ่งย้ายโรงเรียนมีกลุ่มเพื่อนที่เป็นตุ๊ดก็เริ่มแต่งหน้า จนไปถึงขั้นกินยาคุมเลย ตอนนั้นเป็นช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง แม่ต้องไปเปิดท้ายขายของตอนเย็น เรากลับบ้านก็เจอแต่พ่อ และพ่อก็เริ่มสงสัย
แม่นิด : มีหลายอย่างที่พ่อเขาเริ่มจับได้ ทั้งไปกันคิ้ว โกนขนหน้าแข้ง คนนี้ (มองไปทางคุณช่า) เขาก็ทำอะไรไม่เก็บให้เรียบร้อย พ่อเห็นเขาโกนขนหน้าแข้งทิ้งไว้ ก็ตามมาฟาดเลยนะ กำลังจะไปโรงเรียนอยู่แล้ว แม่ก็ไม่ยอม เพราะเราก็อยู่ข้างลูก
ช่า : แต่วันหนึ่งพ่อก็จับได้ เพราะเขาฝากกุญแจรถไว้กับเรา พอเราล้วงกุญแจรถคืน ปรากฏว่ากลายเป็นหยิบแป้งพัฟฟ์ออกมา ช่าจึงบอกพ่อกับแม่ว่าเราเป็นอะไร แรก ๆ พ่อรับไม่ได้ ต่อมาพ่อเริ่มค้นกระเป๋า พอเจอเครื่องสำอางก็ตีเลย และพยายามบอกว่าผู้ชายไม่ใช้ของแบบนี้ เขาคงคิดว่าเราจะหาย แต่ตอนนั้นเราก็ดื้อด้วยแหละ ยิ่งพ่อห้ามไม่ให้กลับดึก ควบคุมทุกอย่าง กลายเป็นว่าเรามีปัญหากับพ่อหนักมาก ถึงขนาดที่พ่อพูดว่า แค่เห็นหน้าแกฉันก็โมโหแล้ว
วันที่โดนพ่อตี เรารู้ว่าเราทำผิดอะไร ที่เราเป็นอย่างนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเรา แต่เรารู้ว่าในสายตาพ่อ ทำไมพ่อถึงมองว่าเราผิด เพราะเราเป็นลูกชายคนโตในครอบครัวคนจีน เราเป็นความหวังของเขาที่จะต้องโตมาเป็นหัวหน้าครอบครัว มีลูกเต้า พอทุกอย่างผิดไปจากที่เขาคิดไว้ ชนิดเป็นอีกอย่างหนึ่งเลย ไม่ใช่แค่เกเร กินเหล้า ติดยาที่มันอาจแก้ไขได้ เราจึงไม่เคยโทษพ่อเลย และเข้าใจว่าทำไมพ่อถึงผิดหวังในตัวเรา
เมื่อคุณพ่อรู้ คุณแม่จึงกลายเป็นคนกลางที่ต้องคอยไกล่เกลี่ยระหว่างพ่อและลูก
แม่นิด : หลายครั้งที่พ่อจะตี แม่ก็เอาตัวรับไว้ ไม่ให้เขาตีลูก เพราะลูกเรา เราก็รักไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร แต่แม่สงสารพ่อนะ พ่อเขารับไม่ได้ วันที่เห็นลูกกันคิ้วมาจนโก่งน่ะ แม่น้ำตาไหลเลย สงสารพ่อ สงสารคนรอบข้างเรา ช่วงที่เขาทาหน้าทาปาก โบ๊ะมาเต็มที่จากโรงเรียน แม่ก็จะลากเขาไปล้างหน้าล้างตาก่อน ส่วนคิ้วแม่ก็ขอเขาว่าอย่าไปกันอีกได้ไหม ผู้ใหญ่เห็นเข้ามันไม่ดี แม่เห็นยังรู้สึกตกใจเลยนะ จากนั้นเขาก็ไม่เคยกันคิ้วอีกเลย
ช่า : แม่จะเป็นพวกเรา อยู่ฝั่งเรามากกว่า แต่อยู่ตรงนั้นก็เหนื่อยนะ เพราะต้องรับมือกับเราซึ่งดื้อมาก แล้วพ่อก็แรง แม่ต้องรับแรงปะทะสองฝั่งมาตลอดอยู่หลายปีเลย
แม่นิด : ช่วงที่ลูกแรง ๆ แล้วแม่ต้องรับอยู่คนเดียว บางทีแม่ก็อายนะ อายเพื่อน แต่ตอนหลังไม่อายแล้ว รู้สึกว่าจะอายทำไม ก็ลูกเรา เขาไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้เราสักหน่อย เพื่อนแม่หรือคนรอบตัวแม่ก็ไม่เห็นมีใครรังเกียจลูกเราเลย
พอเข้ามหาวิทยาลัย คุณช่าต้องไปอยู่หอพัก ได้มีระยะห่างระหว่างกัน เหตุการณ์ต่าง ๆ จึงเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
ช่า : เราออกจากบ้านมาตั้งแต่เรียนอยู่ปีหนึ่งจนทำงาน ไป ๆ กลับ ๆ บ้านตลอด ช่วงที่เราหายไปจากบ้าน พ่อคงได้ทำความเข้าใจอะไรบางอย่าง เขาคงเริ่มรู้ว่าเราเป็นอะไร พอมีระยะห่างระหว่างกันทำให้พ่อได้คิด ก็มีแม่คอยอธิบาย ส่วนเราก็เป็นอย่างนี้มาเรื่อย ๆ ทุกอย่างก็เหมือนเป็นปกติ พ่อรู้ว่าเราเป็นอะไร แต่เราไม่ได้พูดเรื่องนี้กัน เพราะรู้สึกว่าไม่ควรไปพูด
แม่นิด : แม่จะบอกเสมอว่า อย่าไปแสดงออกให้พ่อเห็นเยอะ กลัวเขารับไม่ได้ แต่พ่อไม่เคยมาเซ้าซี้ถามเลยนะ อย่างลูกไปทำศัลยกรรมมา พ่อก็ไม่เคยมาถาม เธอรู้ไหมหน้าลูกเปลี่ยนไป เขาไม่เคยถามเลย (คุณช่าหัวเราะ)
ช่า : จนกระทั่งช่าทำเพจบันทึกของตุ๊ด และวันหนึ่งเริ่มดังจนออกหนังสือ บันทึกของตุ๊ด พ่อก็รู้ว่าเราเขียนหนังสือ แต่ไม่รู้ว่าชื่อเรื่องอะไร แม่กับน้องก็ช่วยกันปิด วันเปิดตัวหนังสือวันแรก พ่ออยากมาแสดงความยินดี แต่เราแต่งหญิง แม่ก็ต้องห้ามไม่ให้พ่อมา ทำให้แม่มาไม่ได้ด้วย วันนั้นพ่อจึงโทร.มาบอกว่า “ยินดีด้วยนะ ทำตัวดี ๆ แล้วกัน”
แม้ทุกคนในบ้านพยายามปกปิดเรื่องของคุณช่าไม่ให้คุณพ่อรู้ แต่สุดท้ายความลับก็ถูกเปิดเผย จึงเกิดเหตุการณ์บีบหัวใจอยู่หลายครั้ง
แม่นิด : ตอนลูกไปเล่นโฆษณา SKII แต่งเป็นผู้หญิง คนก็เห็นกันไปทั่ว แล้วคนที่ทำงานพ่อเป็นแฟนคลับช่า เขาก็เอามาโชว์ให้พ่อดู ช่วงนั้นพ่อก็ยังก้ำกึ่งกับลูกอยู่ เขาก็ปรี๊ดเพราะเวลาลูกกลับบ้านจะแมน ๆ หน่อย
ช่า : มีครั้งหนึ่งช่วงที่ดังแล้ว ออกหนังสือ บันทึกของตุ๊ด เล่มสอง เล่มสามแล้ว เด็กที่ทำงานพ่อฝากหนังสือมาขอลายเซ็น พ่อจึงได้รู้ชื่อหนังสือวันน้้น ปกหนังสือก็มีแต่งหญิงบ้าง (หัวเราะ) พ่อก็เอามาให้เซ็น แต่ไม่ได้พูดอะไร แล้ววันหนึ่งพ่อคงไปเห็นเราแต่งหญิงใส่วิกผมทองออกทีวีรายการ กาละแมร์จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ช่าตกใจมาก (เน้นเสียง)
แม่นิด : วันนั้นนั่งกินข้าวกันอยู่ พ่อก็พูดขึ้นว่า “ได้ข่าวว่าออกรายการ กาละแมร์ เหรอ ผมทองเชียว” พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ เขาก็แค่เตือนว่า “เป็นคนดังแล้ว ทำอะไรให้ระวังตัวนะ” เขาสอนลูกแค่นี้ เท่ากับพ่อยอมรับแล้วละ
ช่า : ตอนนั้นเรามองหน้าแม่เลย มันทั้งแปลกใจปนดีใจ เพราะพ่อพูดกับเราด้วยอารมณ์ปกติ ไม่ได้อารมณ์เสีย ไม่ได้ดีใจ พูดเหมือนเล่าสู่กันฟัง เราก็รู้แล้วว่า พ่อรู้แล้วละ หลังจากนั้นเวลาเราลงหนังสือพิมพ์ แต่งหญิงบ้าง เขาก็จะตัดเก็บไว้ แล้วเอามาให้แม่ดู ความสัมพันธ์ของช่ากับพ่อตอนนี้ไม่ต้องพูดกันแล้วว่าเป็นยังไง ระยะเวลาเกือบสิบปีพ่อค่อย ๆ ทำความเข้าใจด้วยตัวเองแล้วว่า ช่าเป็นอะไรและกำลังทำอะไรอยู่
แม้ว่าจะต้องผ่านความไม่เข้าใจมากมาย แต่สุดท้ายสิ่งที่ทำให้คุณพ่อยอมรับกลับไม่ใช่เรื่องไกลตัว
แม่นิด : ที่ผ่านมาแม่ก็บอกเขาว่าเราทำตัวของเราให้ดี ให้เขาสบประมาทเราไม่ได้ เรียนหนังสือให้เก่ง หางานทำให้ได้อย่าทำความเดือดร้อนให้ใคร ซึ่งเขาทำได้หมด แม่คิดว่าครั้งแรกที่พ่อยอมรับคือเขาทำเกรดเฉลี่ยได้ดี พ่อก็เริ่มมองแล้วว่าปล่อยไปแบบนี้แล้วเรียนดีขึ้นก็ไม่เสียหายอะไร
ช่า : จริง ๆ เรารู้ตั้งนานแล้วแหละว่าควรทำยังไงให้ที่บ้านยอมรับ นึกถึงว่าที่บ้านอยากให้เรียนดี มีงานทำ เราก็ไม่ได้เสียหายถ้าเราจะทำตัวดี เพราะมันก็เป็นผลดีต่อเราเอง และพ่อแม่ก็สบายใจ สิ่งที่เราทำไม่ใช่เพราะว่าเราเป็นเพศนี้ต้องทำตัวแบบนี้ เราแค่ทำตัวเป็นลูกที่ดีคนหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้รู้สึกว่าต้องพยายาม หรือคิดว่าเพราะเราเป็นตุ๊ด เราถึงต้องเรียนเก่ง แค่เราเป็นลูกที่ดีคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรมากกว่านี้เลย
แม่นิด : แม่ภูมิใจในตัวเขามาก ไม่คิดไม่ฝันว่าลูกอายุไม่เท่าไหร่ก็มาดูแลพ่อแม่ ดูแลครอบครัวได้ แม่ภูมิใจสุด ๆ เลย และเขาสร้างด้วยตัวเขาเองทั้งนั้น แล้วเขาก็ใช้หนี้ให้พ่อหมดเลยด้วย
ช่า : พ่อมีหนี้ติดพันมาตั้งแต่ช่วงฟองสบู่แตก เราก็ไปสืบว่าเหลือเท่าไหร่ วันหนึ่งก็ถือเช็คไปให้บอกว่า พ่อเอาไปปิดหนี้นะ เขาก็เหมือนทำอะไรไม่ถูก แต่รู้ว่าเขาดีใจอวยพรให้เรา ซึ่งก็เป็นการแสดงออกในแบบของเขา
แม่นิด : เรื่องนี้แม่รู้จากเพื่อนพ่อว่า พ่อไปคุยที่ทำงานว่าลูกชายปลดหนี้ให้หมดเลย เกษียณเขาก็สบายแล้ว พ่อเขาคงภูมิใจน่าดู วันหนึ่งเขาก็โทร.ไปหาลูกว่า “ถามอะไรหน่อย จะให้เขาเรียกชื่ออะไรกันแน่ ให้เรียกช่าหรือเรียกกัส (ชื่อที่เรียกกันที่บ้าน)”
ช่า : เราก็บอก เรียกช่าก็ได้ (หัวเราะ) เวลาไปไหนด้วยกัน ถ้าเจอคนที่รู้จักเราหรือเข้ามาขอถ่ายรูป เขาจะเรียกกันว่า “คุณช่า ๆ” พ่อก็จะบอกว่า “เขาเรียกแกน่ะ” คือพ่อรู้ทุกอย่างแล้ว
แม่นิด : ตอนนี้แม่มีความสุขมากที่สุด ระหว่างสามคนพ่อแม่ลูก ไม่มีอะไรต้องปิดกันอีกแล้ว พ่อเริ่มมาคุยกับแม่ว่าลูกจะเป็นอะไรก็เรื่องของเขา เมื่อก่อนเขาไม่เคยพูดเรื่องนี้กับแม่เลยนะ ตอนนี้พ่อบอกว่า สบายใจเนอะ ลูกสองคนก็สบายแล้ว เขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขา บางทีเขาห่วงลูกไม่ติดต่อมาหลายวัน เขาก็โทร.หาเองเลยนะ คุยกันงุ้งงิ้งพ่อลูก ความรู้สึกคนเป็นพ่อ ลูกประสบความสำเร็จก็ดีใจแล้ว
ช่า : ตอนนี้ทุกอย่างผ่อนคลายมาก แต่ทุกอย่างต้องใช้เวลาให้พ่อเข้าใจ ถ้าเทียบวันนี้กับพ่อเมื่อสิบปีที่แล้ว พ่อไม่เหมือนเดิมเลย วันนี้ช่าหลุดพูดคำว่า “คะ” ต่อหน้าพ่อ พ่อก็ไม่ว่าอะไร ทุกอย่างเปิดมาก พ่อยอมรับในตัวเราและเรามีความสุขมากเวลากลับบ้าน ได้กินข้าวด้วยกันหรือพากันออกไปกินข้าวข้างนอก อัพเดตชีวิตกัน
แม้เริ่มต้นจากความไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายเรื่องราวต่าง ๆ ที่ครอบครัวต้องเผชิญกลับทำให้รู้ว่า แท้จริงแล้วความรักที่มีให้กันในครอบครัวมากมายแค่ไหน
แม่นิด : ตอนนี้ที่บ้านผูกพัน รักใคร่สามัคคีกันมากขึ้น แน่นแฟ้นกันมากขึ้น ครอบครัวไหนที่เจอปัญหาแบบแม่ขอให้พยายามเข้าใจลูก อย่าเกลียดเขา เข้าใจลูกมาก ๆ แล้วสนับสนุนในทางที่เขาชอบ ให้เขาเก่งในทางของเขา และอย่าไปกดดัน เลี้ยงแบบธรรมดา มองว่าเขาเป็นลูกเรานี่แหละ อยากทำอะไร เรียนอะไรก็ส่งเสริม แค่ต้องสอนว่าอย่าไปทำความเดือดร้อนให้ใครก็พอ
ช่า : ช่าว่าเด็กสมัยนี้โชคดีนะที่มีช่องทางต่าง ๆ ให้คุณพ่อคุณแม่ทำความเข้าใจได้เยอะ และสังคมเปิดรับมากกว่า คุณพ่อคุณแม่ก็ปฏิบัติต่อเขาเหมือนลูกคนหนึ่ง ส่วนลูกก็ทำตัวเป็นลูกที่ดีเท่านั้นเอง ง่ายมาก
ทุกอย่างเกิดขึ้นก็เพราะความรัก และจบอย่างมีความสุขด้วยความรักแท้จริง ๆ
ที่มา : นิตยสาร Secret ฉบับที่ 230
เรื่อง : เชิญพร คงมา ภาพ : สรยุทธ พุ่มภักดี