อาหารกาย & อาหารใจเพื่อผู้ป่วยมะเร็ง

ทุกวันนี้โรคมะเร็งไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกแล้ว  ใคร ๆ  ก็เป็นมะเร็งได้ ไม่ว่าอายุมากหรือน้อยแค่ไหน  และปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งของผู้ป่วยโรคนี้ก็คือเรื่องอาหารการกิน  ซึ่งมักมีคำถามว่า กินอะไรได้ กินอะไรไม่ได้ 

ชีวจิตจึงชวนคุณหมอจ๋า – พญ. อัญวีณ์ เกียรติอภิพงษ์ แพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ป้องกันและการชะลอวัยมาคุยกันเรื่องนี้

ยังไม่มีใครรู้อย่างแน่ชัดว่าโรคมะเร็งเกิดจากอะไร

มันยังเป็นความลับที่ไม่มีใครรู้เลย แม้ว่าจะมีการทำวิจัยมากมาย  แต่ก็ยังไม่มีใครพบสาเหตุที่แน่ชัด  ส่วนใหญ่มักออกมาว่าพฤติกรรมแบบนี้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่ไม่ได้ทำพฤติกรรมแบบนี้ เท่านั้น

ในความเป็นจริง  ร่างกายทุกคนมีการสร้างเซลล์มะเร็งขึ้นมานับไม่ถ้วนทุกวัน เพราะเซลล์มะเร็งเกิดจากการแบ่งตัวของเซล์ในร่างกายเรานี่เอง  แต่เป็นการแบ่งตัวแล้วหน้าตาผิดปกติไปจากเดิม ถ้าร่างกายยังมีความสามารถในการตรวจจับ เซล์ที่ผิดปกติก็จะถูกทำลายไม่ปล่อยให้กลายเป็นก้อนเนื้อ  นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวันในร่างกายของเรานับครั้งไม่ถ้วนตลอดเวลา

เชื่อกันว่ายิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งมีโอกาสที่เซล์แบ่งตัวผิดพลาดมากขึ้น แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่า คนแก่ไม่ได้เป็นมะเร็งทุกคน  และมะเร็งบางกลุ่มก็เป็นกันตั้งแต่อายุยังน้อย  หรือเรื่องพันธุกรรมมีผล 5-10 % เท่านั้น  แต่กลายเป็นพฤติกรรมมากกว่าที่ทำให้เซลล์แบ่งตัวผิดปกติ จ๋าค่อนข้างเชื่อทฤษฎีหลังมากกว่า เพราะเดี๋ยวนี้เราเจอมะเร็งในคนอายุน้อยกันมากขึ้น

มะเร็ง 5 อันดับแรกที่คนเป็นกันมากที่สุด

มะเร็ง 5 อันดับแรกที่คนทั่วโลกเป็นกันได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูกและมะเร็งลำไส้ใหญ่  แต่ละประเทศอาจสลับตำแหน่งสูงต่ำต่างกันไปบ้าง สำหรับประเทศไทยโดยภาพรวมคนไทยเป็นมะเร็งท่อน้ำดีและตับสูงสุด  แต่ถ้าแยกตามเพศ ผู้หญิงเป็นมะเร็งเต้านมสูงสุด  ผู้ชายมะเร็งตับและท่อน้ำดีสูงสุด

ส่วนจำนวนผู้เป็นมะเร็งทั้งโลก ปี 2018  ผู้เป็นมะเร็งรายใหม่เฉลี่ยปีละ 18 ล้านคน  และคาดว่าในปี 2025  ผู้เป็นมะเร็งรายใหม่จะเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยนปีละ 19 ล้านคน ประเทศไทย ที่ผ่านมาตัวเลขผู้เป็นมะเร็งรายใหม่เฉลี่ยปีละ 100,000 คน แต่ปี 2565 พบว่ามีผู้เป็นมะเร็งรายใหม่ถึง 140,000 คน เฉลี่ยวันละ 400 คน

อย่างไรก็ตาม เมื่อก่อนคนเป็นมะเร็ง ยกตัวอย่างเช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง จะมีก้อนเนื้องอก ไม่นานก็แตกมีเลือดไหล น้ำเหลืองไหล  ถ้ามะเร็งเต้านม นมก็จะใหญ่ข้างเล็กข้าง แต่ทุกวันนี้คนเป็นมะเร็งไม่ได้มีวิถีชีวิตแบบนั้นแล้ว   ไม่ได้เข้าสังคมไม่ได้หรือมีสภาพร่างกายทุพลภาพจนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ   ดังนั้นแม้ว่าผู้ป่วยมะเร็งไม่มีทีท่าว่าจะน้อยลง  แต่หากพูดถึงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย กลับดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก  เพราะวิทยาการทางการแพทย์ช่วยให้ผู้ป่วยอยู่กับมะเร็งได้ดีขึ้น

ไม่ว่าจะรักษามะเร็งด้วยวิธีใด ร่างกายก็ต้องแข็งแรง

คนไข้ก็ต้องเตรียมร่างกายให้แข็งแรงพอ ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถรักษาได้ เพราะถ้าผอมมาก โปรตีนในร่างกายต่ำมาก  เซลล์เม็ดเลือดขาวเม็ดเลือดแดงในร่างกายไม่เหลือเลย ก็ไม่สามารถผ่านเกณฑ์เข้ารับการรักษาได้ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด ให้เคมีหรือฉายแสง ทำให้ต้องเลื่อนการรักษาออกไป

แม้แต่หลังการรักษา อย่างการให้เคมีบำบัด   สิ่งที่เกิดขึ้นคือผิวดำ คล้ำ หมอง ๆ ปากแห้ง หรือแสบปากไปหมดเลย กลืนอะไรก็ไม่อร่อย อาหารย่อยยาก ทางเดินอาหารทั้งหมดที่เคยชุ่มฉ่ำไปด้วยเซลล์ดี ๆ ก็แห้งฝ่อไป เม็ดเลือดขาวหายไปจำนวนมาก ทำให้ภูมิคุ้มกันตก ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ในช่วงนี้นอกจากกินยากแล้ว อาหารที่กินยังต้องพิถีพิถัน เพราะภูมิคุ้มกันน้อย

โปรตีน อาหารสำคัญของผู้ป่วยมะเร็ง

ตลอด 10 ปีที่อยู่คลุกคลีกับผู้ป่วยมะเร็ง คนไข้ถามทุกวันว่าต้องกินอะไร มันยากเนอะ กินอาหารปกติก็แทบกินไม่ได้อยู่แล้ว ยังจะให้กินอะไรแบบนี้อีก  จึงเป็นโจทก์ใหญ่ของคนเป็นมะเร็งเลย

 การรักษามะเร็งที่ทำอยู่ในปัจจุบัน คือการทำลายเซลล์มากมาย  ทีนี้ส่วนประกอบหลักของเซลล์คือโปรตีน   ถ้าไม่มีโปรตีนเราสร้างเซลล์ใหม่ไม่ได้  ดังนั้นโปรตีนจึงสารอาหารหลักที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ไม่ว่าจะก่อน ระหว่าง หรือหลังรักษา

ผู้ป่วยมะเร็งบางส่วนเชื่อว่า ต้องไม่กินเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์อีกเลย  ทั้ง ๆ ที่โปรตีนจากสัตว์ เรียกว่า  complete protein คือโปรตีนจากสัตว์เพียง 1 ชนิด ให้กรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน ดังนั้นถ้าปฏิเสธผลิตภัณฑ์จากสัตว์ไปเลย  คนไข้จะเสียโอกาสได้รับโปรตีนดี ๆ  บางคนอาจไปกินถั่วแทน แต่ก็ต้องกินในปริมาณมาก เพื่อให้ได้โปรตีนเท่ากับที่ได้จากสัตว์

นอกจากนั้นโปรตีนจากพืชและสัตว์ก็แตกต่างกัน โปรตีนจากสัตว์มีวิตามินและเกลือแร่ค่อนข้างมาก ในขณะที่โปรตีนในพืชมีน้อย และไม่มีวิตามินบี 12  ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือด  การที่ผู้ป่วยมะเร็งปฏิเสธไม่เกินเนื้อสัตว์อีกเลย จะส่งผลให้ร่างกายฟื้นตัวได้ยากขึ้น

เนื้อสัตว์จริงๆ ไม่ได้น่ากลัว ถึงแม้ว่ามีการศึกษาพบว่าเนื้อแดงสามารถกระตุ้นให้เป็นมะเร็งได้มากกว่า เพราะมันมีสาร nitrosamines  แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือสิ่งที่แฝงมากับการปศุสัตว์  เช่น การให้ฮอร์โมน ยาปฏิชีวนะกับสัตว์เพราะต้องการควบคุมโรคระบาด  จึงกลายเป็นว่าเราได้รับยาปฏิชีวนะมาแบบไม่ตั้งใจ   ซึ่งทำให้เราสูญเสียความสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ไป  ส่งผลให้กระบวนการภูมิคุ้มกันเสียไป  และก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง อันเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เป็นมะเร็ง  อย่างไรก็ตามควรเลือกกินเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงแบบออแกนิค ถ้าเป็นถั่วควรเลือกที่ระบุว่า Non-GMO

คนปกติที่ไม่ป่วยเป็นมะเร็ง ต้องการโปรตีน 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม สมมุติว่าหนัก 50 ก็ต้องกินโปรตีนให้ได้วันละ 50 กรัม  ยิ่งถ้าเป็นผู้ป่วยมะเร็งยิ่งต้องการโปรตีนเพิ่มจากปกติ  1.5-2 เท่า

อาหารประเภทอื่นก็จำเป็น 

นอกจากโปรตีน  ร่างกายก็ต้องได้รับสารอาหารประเภทอื่น ๆ ครบถ้วนอย่างเหมาะสมด้วย  อย่างคาร์โบไฮเดรต ปกติคนไทยกินมากกว่าที่ร่างกายต้องการอยู่แล้ว โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว อย่างพวกน้ำตาล น้ำหวาน ข้าวขาว  ควรเปลี่ยนเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวไม่ขัดสี ข้าวกล้อง  ที่เปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ช้า และทำให้ร่างกายอิ่มเร็วขึ้น นอกจากนั้นยังได้ไฟเบอร์ไปปรับสมดุลลำไส้  หรืออาจกินไฟเบอร์มากขึ้น แต่ก็ต้องเป็นไฟเบอร์ที่มั่นใจว่าไม่มีสารพิษ  ไม่มีสารตกค้างหรือยาฆ่าแมลง

ไขมันก็จำเป็น แต่บางคนก็ไม่กินอีก ทั้งที่ไขมันที่เป็นตัวให้พลังงานมากที่สุด แต่เนื่องจากไขมันจากสัตว์เป็นไขมันอิ่มตัวสูง  เราจึงควรเลือกไขมันจากพืช เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก  ซึ่งมีโอเมก้า 9 ที่ช่วยลดการอักเสบระดับเซลล์  บางครั้งอาหารที่เรากินทำให้เกิดการอักเสบโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเหมือนกับการทำให้เซลล์บาดเจ็บตลอดเวลา   หากเป็นแบบนี้บ่อย ๆ  ก็อาจกลายเป็นมะเร็งได้

          นอกจากนั้นยังต้องดื่มน้ำให้พอ  เพราะกระบวนการจัดการเซลล์ของร่างกายมีน้ำประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ จึงต้องใช้น้ำในการขับของเสียในกระบวนการเมตาบอลิซึ่มต่าง ๆ

วิตามินและแร่ธาตุ  ควรกินให้หลากลาย โดยเฉพาะวิตามินที่มีส่วนช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันได้แก่ วิตามินซี วิตามินดี 3 sync selenium 4 ตัวนี้มีผลงานวิจัยออกมาแล้วว่าช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันได้จริง ถ้าภูมิคุ้มกันเราไม่แข็งแรง  มันจะตรวจจับเซลล์มะเร็งได้ไม่ดี ถ้าเป็นมะเร็งแล้วภูมิคุ้มกันแข็งแรงก็มีประโยชน์ในการช่วยกระตุ้นการทำงานของ NK Cell  ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  ผลคือช่วยลดความรุนแรงของมะเร็งระยะต่าง ๆ ได้

 

อาหารที่ผู้ป่วยมะเร็งควรหลีกเลี่ยง     

เราอาจเคยได้ยินที่พูดกันว่าน้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง  จริง ๆ แล้วเซลล์มะเร็งกินอาหารทุกอย่าง  แต่มีทฤษฎี   Warburg effect  ซึ่งกล่าว่า เซลล์มะเร็งใช้น้ำตาลเปลืองมาก  น้ำตาล 1 โมเลกุลให้พลังงานนิดเดียว มันหิวเลยต้องใช้น้ำตาลมาก ๆ  เพื่อให้ได้พลังงานออกมามาก ๆ  อาหารอย่างอื่นมะเร็งเอาไปใช้ยาก แต่น้ำตาลนำไปใช้ได้เลย     ไม่ว่าจะยังไม่เป็นมะเร็ง เป็นมะเร็งแล้ว กำลังรักษาอยู่  หรือในช่วงระยะฟื้นฟู ก็ต้องควบคุมน้ำตาล

น้ำตาลที่เราคาดไม่ถึงคือ อาหารที่ต้มจนผิวของเนื้อสัตว์หรือผักเป็นสีน้ำตาล นั่นคือน้ำตาลที่ผ่านกระบวนการ คือเป็นน้ำตาลที่แอดวานซ์ขึ้นไปอีก และมีความสามารถในการเกาะติดเซลล์ให้มีความชราลงได้เร็วขึ้น  อาหารตุ๋นก็ต้องเป็นการตุ๋นที่ไม่ได้ใส่น้ำตาลแล้วทำให้เกิดสีน้ำตาล บางคนอาจไม่ทันคิดเรื่องนี้

บางคนบอกว่าไม่ได้กินน้ำตาลอยู่แล้ว แต่อาจไม่ได้ระวังน้ำตาลแฝง เช่น น้ำจิ้มน้ำหวาน น้ำผลไม้  มันเป็นแหล่งของน้ำตาลเหมือนกัน   ไม่ถึงกับห้ามกินน้ำตาลเด็ดขาด  แต่ไม่ควรกินมากกว่าวันละ 4-6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม  ถ้าลองดูฉลากโยเกิร์ตขวดเดียวก็มีน้ำตาล 21 กรัมแล้ว  หมดโควตาแล้ว

ดังนั้น จึงต้องจริงจังกับการเลือกอาหาร อ่านฉลากโภชนาการให้เป็นนิสัยมากขึ้น เพื่อจะได้รู้ว่าอาหารที่เราเห็นว่ามันไม่เห็นหวานเลย แต่น้ำตาลเยอะอยู่นะ 

นอกจากนั้น พวกอาหารแปรรูป เช่น ลูกชิ้นไส้กรอก  ก็ต้องระวัง เพราะอาหารเหล่านี้มีสารอาหารที่มีประโยชน์น้อยมาก และมีสารปรุงแต่ง สารกันบูดค่อนข้างมาก ซึ่งไม่เป็นผลดีกับร่างกายแถมมะเร็งชอบ  อันนี้รวมไปถึงอาหารปิ้งย่างโดยเฉพาะปิ้งจนเกรียมไหม้  นั่นคือสารก่อมะเร็ง (Carcinogen) ที่เราเห็นได้ด้วยตาเลย

 

อย่าทิ้งการรักษาในปัจจุบัน

ความเชื่อเรื่องการกินอาหารประเภทนั้นประเภทนี้  อยากให้มีสติในการรับฟังข้อมูล  ควรปรึกษาแพทย์ที่รักษาก่อนว่านำมาใช้ร่วมกันได้หรือไม่  ซึ่งจะช่วยทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น   คุณหมอบางท่านอาจมองว่า พวกสมุนไพรมีสเตรียรอยด์  เพราะสารบางอย่างที่มากับพืชบางชนิดมีฤทธิ์ในทางยาที่อาจมาขัดขวางการรักษา    เราสามารถหา second opinion  กับคุณหมอที่เป็น Integrative Cancer  ซึ่งจะมีแนวคิดเรื่องการนำหลายวิธีมาใช้ร่วมกันในการรักษามะเร็ง

อย่างไรก็ตาม คุณหมอกลุ่มนี้ก็จะบอกอยู่ดีว่าการรักษาแพทย์แผนปัจจุบันก็ต้องทำให้ครบ  แต่จะแนะนำวิธีซัพพอร์ตอื่น ๆ  เพิ่มขึ้น สรุปแล้วถ้าคนไข้อยากกินอะไร เอาเป็นว่าอย่าสุดโต่ง อย่ากินอยู่อย่างเดียว

ผู้ป่วยมะเร็ง จิตใจก็สำคัญ 

ผู้เป็นมะเร็งต้องเริ่มต้นจากการยอมรับก่อน บางคนปฏิเสธมัน  ไม่ใช่ฉัน มันเกิดขึ้นได้ยังไง เราดูแลตัวเองดีมาก ทำไมถึงเกิดในช่วงนี้ การคิดแบบนี้ยิ่งทำให้ร่างกายเครียดมาก พอเครียด โรคดำเนินเร็วมาก บางทียังไม่ทันรักษาเลย  ไปไกลเลย เพราะฉะนั้นต้องตั้งสติและยอมรับ

เราไม่ควรเห็นว่ามะเร็งที่อยู่ในร่างกายเราเป็นศัตรู  ถ้าเรายอมรับได้ว่ามันคือส่วนหนึ่งของร่างกายเรา  เพราะเกิดจากการแตกตัวของเซลล์ในร่างกาย  อย่าคิดว่าตัวเองโชคร้าย เพราะมะเร็งมันเกิดกับใครก็ได้

ถ้าเราทำใจยอมรับและเรียนรู้มันว่าเรามีมันอยู่ในร่างกาย แล้วค่อยๆ เปิดใจและเรียนรู้ไปด้วยกันว่าเราจะต้องอยู่กับเขาอย่างไร  ไม่ว่าเราจะต้องรักษาด้วยวิธีที่รุนแรงแค่ไหน เราก็กำลังดูแลเราและเขาให้เดินไปด้วยกันต่อได้  เรายังสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตได้เหมือนปกติ  เราสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่เรารักได้เหมือนเดิม  มีช่วงเวลาที่เราทำงานได้เหมือนเดิม เป็นมะเร็งเป็นได้ก็รักษาได้

บางคนรักษาไม่หายด้วยซ้ำก็อยู่กันไป 10 ปี  เราแค่มีหน้าที่ต่อเพื่อนคนนี้ในอีกมุมนึง เราอาจจะต้องไปหาหมอให้คุณหมอดูว่าเพื่อนเราเป็นยังไงบ้าง คนนี้เขายังสบายดีอยู่ไหม ลามไปถึงไหนแล้ว

ข้อมูลจาก : นิตยสารชีวจิต

 


 

เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ

 

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.