ประสบการณ์ชีวิต,ความสุข,สุขภาพ

ในชีวิต..ไม่เคยหัวเราะอย่างมีความสุขอย่างนี้

 ความสุข ของแต่ละคนจะเป็นเช่นไรติดตามได้เลยค่ะ

นับเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้วที่คุณทนงศักดิ์ และคุณกุสุมาลย์    บรรยงศิริกุล สองสามีภรรยา ได้รู้จักกับแนวทางแห่งธรรมชาติอย่างชีวจิต ที่เขาทั้งสองยอมรับว่าเป็นกุญแจดอกสำคัญสำหรับสุขภาพ ซึ่งจะเห็นผลชัดเจนก็ต่อเมื่อตั้งใจปฏิบัติตามด้วยความเคร่งครัดเท่านั้น  ทุกวันนี้ ปัญหาด้านสุขภาพก็ดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับพวกเขาอีกต่อไป และที่สำคัญเขาทั้งสองได้ช่วยเผยแพร่วิถีแห่งสุขภาพนี้ออกไปอย่างเข้มแข็ง และได้รับผลตอบกลับมาอย่างดีเสียด้วย

คุณทนงศักดิ์เล่าย้อนถึงตัวเองในสมัยก่อนว่า “ผมมักจะมีปัญหาเรื่องอาการเจ็บคออยู่บ่อยๆ จนกระทั่งหมอแนะนำว่าการตัดต่อมทอนซินทิ้งไปเสียเลยน่าจะทำให้อาการดีขึ้น แต่มันก็ไม่หาย ผมก็ยังเจ็บคออยู่  แต่พอผมได้มีโอกาสรู้จักแนวทางการดูแลตัวเองแบบชีวจิตจากการเข้าร่วมคอร์ส และทดลองปฏิบัติตามดู ก็พบว่าไม่จำเป็นต้องกินยาอีกเลยเป็นเวลาปีกว่าแล้ว”

เช่นเดียวกับคุณกุสุมาลย์  ที่ถ้าคุณได้รู้จักกับเธอก่อนหน้านี้ คุณอาจจะนึกไม่ออกว่าผู้หญิงคนที่เคยจาม อยู่ท่ามกลางกระดาษทิชชูเปื้อนน้ำมูก ปวดหัวเพราะอาการภูมิแพ้ กับนักกีฬาที่แข็งแรงคนนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน เธอยิ้มน้อยๆก่อนจะบอกว่า นอกจากชีวจิตจะให้ชีวิตใหม่ที่แข็งแรงขึ้นกว่าเดิมแล้ว ยังทำให้ถุงยาที่เคยกองพะเนินอยู่นั้น ไร้ความหมายไปด้วย

เมื่อเห็นผลที่ดีขึ้นกับตัวเองอย่างชัดเจนขนาดนี้ เขาทั้งสองจึงอดไม่ได้ที่จะบอกต่อสิ่งดีเหล่านี้ไปให้กับคนอื่นบ้าง เริ่มจากคุณทนงศักดิ์ผู้เป็นสามี ที่ทำงานอยู่ในบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง เขาเริ่มรวบรวมหนังสือและข้อมูลต่างๆเอาไปไว้ในห้องสมุด เพื่อเป็นแหล่งความรู้ที่เพื่อนร่วมงานจะได้หยิบเอาไปศึกษากันได้ง่ายๆ  ส่วนภรรยาที่เป็นฝ่ายเสบียงก็ลงมือต้มน้ำอาร์ซีใส่กระติกฝากไปให้ด้วยทุกวัน

และถึงแม้ว่าความพยายามของคุณทนงศักดิ์จะยังไม่เห็นผลเป็นกลุ่มก้อนที่ชัดเจนมากนัก แต่เขาก็ดีใจว่ามีเพื่อนร่วมงานหลายๆคนเริ่มเห็นดีเห็นงามกับการมีสุขภาพที่ดีบ้างแล้ว คุณทนงศักดิ์เล่าว่า

“เนื่องจากเราเป็นบริษัทญี่ปุ่นที่คนส่วนใหญ่บ้างานกันมาก ทำให้หลายคนยังตัดตัวเองออกจากงานและยังแบ่งเวลาไม่ได้ ทำให้กลุ่มก้อนมันไม่ค่อยคืบหน้าเท่าไร  แต่ในหมู่คนที่เจ็บป่วยแล้วก็มีการตื่นตัวเยอะ บางคนไปรำตะบองตามสวนสาธารณะต่างๆแล้วทำไม่ทัน ก็มาให้เราช่วยสอนให้ หรืออย่างตอนกินอาหารที่ออฟฟิศซึ่งเป็นบุฟเฟ่ต์ เราก็จะกินให้เขาดูเป็นตัวอย่าง บางอย่างก็ต้องเขี่ยออก คนก็จะทำตาม ก็เริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องอาหารที่กินมากขึ้น มีการผลักดันให้มีข้าวกล้องในโรงอาหาร  แม่ครัวก็พยายามให้มีสลัดมากขึ้น เด็กบางคนบอกผมให้ตั้งชมรมเพราะเชื่อว่าอย่างน้อยเราจะมีความสามารถในการเรียกร้องเมนูของเราได้เอง”

ติดตามประสบกาณ์ต่อได้ใน

หน้าถัดไป

ผิดกับคุณกุสุมาลย์ซึ่งแม้จะเริ่มต้นช้ากว่าผู้เป็นสามีไปบ้างแต่กลุ่มสุขภาพในศูนย์เยาวชนไทยญี่ปุ่นดินแดงของเธอกลับเติบโตและทวีความเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ  ทั้งที่เป็นการเริ่มต้นจากความสนใจส่วนตัวของเธอเองแท้ๆ คุณกุสุมาลย์เล่าให้เราฟังว่า  ”ปกติมาวิ่งออกกำลังอยู่แล้วทุกวัน เราก็หิ้วตะบองมาด้วย พอวิ่งเสร็จเราก็รำตะบองของเราคนเดียว ก็จะมีเพื่อนที่วิ่งด้วยกันเริ่มสนใจ จากหนึ่งคนเป็นสิบคนแล้วก็ทยอยกันมามากขึ้นเรื่อยๆกลายเป็นสี่สิบคนในปัจจุบันภายในเวลา 3 เดือน ขนาดที่ว่ามีคนที่มายืนดู ก็ช่วยบริจาคไม้ตะบองให้เราสำหรับเป็นกองกลาง เผื่อบางคนที่ไม่ได้เอาตะบองมา”

จากการพูดคุยกัน ส่วนใหญ่ยอมรับว่าสุขภาพดีขึ้น บางคนก็บอกว่าลดน้ำหนักได้ดีขึ้น แต่รายที่คุณกุสุมาลย์ประทับใจมากก็คือ เธอสามารถทำให้คนๆหนึ่งหัวเราะได้อย่างมีความสุข “มีคุณลุงคนหนึ่งเป็นเจ้าของโรงงาน ทุกวันเขาเครียดมาก ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดีก็ยิ่งแย่ ซึ่งเขาก็พยายามมาวิ่งออกกำลังกายทุกวัน จนวันหนึ่งมาร่วมรำตะบองกับพวกเรา ยิ่งตอนท่าเตะแกชอบมาก หัวเราะใหญ่เลย พอเลิกแล้ว เขาก็รีบเดินมาขอบคุณเราแล้วบอกว่า ในชีวิตนี้ ผมไม่เคยได้หัวเราะอย่างมีความสุขอย่างนี้เลย ขอบคุณอาจารย์มาก   ฟังแค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว หายเหนื่อยแล้ว “

คุณทนงศักดิ์ยังกล่าวฝากทิ้งท้ายสำหรับคนที่ยังปล่อยปละละเลยกับสุขภาพของตัวเองอยู่ว่า “แนวทางชีวจิตมันประกอบด้วยการกิน การอยู่และจิตใจ ถ้าเราปรับเปลี่ยนได้เร็วมันก็ยิ่งได้เปรียบ เราต้องคิดว่าสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ จัดการตัวเองให้เคยชินกับการออกกำลังกายเหมือนที่เราต้องอาบน้ำแปรงฟัน ถ้าทำได้อย่างนั้น ความเชื่อมั่นในเรื่องสุขภาพอนามัยก็จะมากขึ้น และความเชื่อมั่นเรื่องอื่นๆมันก็จะตามมาเอง อย่างตัวผมเองรู้สึกเลยว่าตัวเองใจเย็นขึ้นเยอะ  ตั้งหลักในการแก้ปัญหาได้ดีขึ้น เพราะชีวจิตเราไม่ได้พูดถึงแค่อาหารหรือการออกกำลังกายอย่างเดียว แต่เราพูดถึงการปรับจิตใจด้วย ซึ่งช่วยได้เยอะมาก เราจะสามารถจัดการกับปัญหาต่างๆได้ ที่สำคัญแนวทางเหล่านี้ทำให้เราไม่ต้องพึ่งหมอพึ่งยา และดูแลตัวเองได้มากขึ้น “

ลองทำตามคำแนะนำของทั้งสองท่านดู แล้วคุณจะรู้ว่า”ความสุขแห่งชีวิต”นั้น  บางทีก็อยู่ใกล้แค่มือคว้าเท่านั้นเอง

  74-47 แม่ลูกต่างวัย หัวใจเดียวกัน   

“ พี่คิดว่าจะให้แหวนเพชรแม่กี่วง  ก็ไม่เท่ากับให้สุขภาพดีกับคุณแม่ ”    เป็นคำพูดที่ออกมาจากใบหน้าเปี่ยมสุขของผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำให้เราสนใจเรื่องราวของเธอขึ้นมาทันที   เพราะในสภาพสังคมปัจจุบันจะหาคนเป็นลูกสนใจดูแลสุขภาพของแม่อย่างจริงจังนั้นยากเต็มที

แม่ลูกคู่นี้คือคุณแม่วิไลวรรณ และ คุณตุ้ย- กิตติพร    มณีฤทธิ์ คนแรกอายุ 74 ส่วนคนหลังอายุ 47 แม้ตัวเลขของอายุจะบอกถึงความแตกต่างของวัย   แต่สองแม่ลูกคู่นี้ไม่เคยทำให้มันเป็นช่องว่างระหว่างกันเลยเพราะทั้งสองมีเรื่องให้สนทนาพูดคุยในหัวข้อเดียวกันอยู่เสมอ  คุณตุ้ยช่างเสริมสวย และคุณแม่นักโหราศาสตร์  ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

คุณแม่วิไลวรรณนั้นให้ความสนใจเรื่องสุขภาพตั้งแต่อายุ 40 กว่าๆเนื่องจากความเจ็บไข้ไม่สบายของตัวเอง “ ตอนนั้นเป็นทุกโรคเลย  ถามมาเลย ยืนๆนี่เป็นลมพับตาเหลือกตาค้าง    เพราะทำงานแล้วทานอาหารไม่ตรงเวลา  แล้วก็ทานอาหารไม่ถูกวิธี  หมูเห็ดเป็ดไก่เอาทุกอย่างเลย   ก็เลยเป็นทุกโรค เมื่ออายุ  45-47 ปี  ทีนี้ก็เลยเริ่มไปออกกำลังกายที่สวนลุมมาโดยตลอด”

คำว่า “ออกกำลังกาย” ที่สวนลุมของคุณแม่วิไลวรรณนั้นนับว่าแตกต่างจากคนอื่น  เพราะตื่นตั้งแต่ตี 3  เพื่อเตรียมตัวไปวิ่ง  “ กิจวัตรประจำวันของแม่คือตื่นตี 3 แต่งตัวเสร็จออกจากบ้านตี 3 ครึ่ง  ไปยืนรอรถเมล์นั่งรถเมล์สาย  77  ไปถึงสวนลุม   พอตี 4 ประตูสวนลุมเปิดแม่ก็วิ่งแกมเดินได้รอบหนึ่ง   แล้วก็มายกขายกแข้งต่ออีกหน่อยแล้วก็กลับ ”

ส่วนตัวคุณตุ้ยสาเหตุที่สนใจดูแลสุขภาพเป็นพิเศษนั้นมาจากความคิดที่ว่า  “ พี่ตัวคนเดียวต้องรักษาสุขภาพไว้ให้ดี เพราะ ไม่มีสามี  ไม่มีลูก  ถ้าพี่เป็นภาระสังคมก็จะไม่มีใครมาดูแล  เมื่อก่อนตอนอายุ  30 ต้นๆ พี่เป็นโรคเกาต์ ตั้งแต่เล็กจนโตเป็นคนไม่ชอบกินผัก  จะกินแต่หมูไก่     คุณหมอเลยแนะนำว่าให้ลดอาหารจำพวกสัตว์ปีกลง  ตอนหลังมาเป็นลมพิษ และแพ้ผงชูรสอีก พี่เลยเริ่มเปลี่ยนมาทานอาหารมังสวิรัติ     แต่พี่ทานผิดเพราะชอบทานอาหารที่ทั้งมันทั้งเผ็ด  กะทินี่ประจำ  แล้วยังชอบทานชีสทานไอศกรีมเป็นพิเศษ  ตัวพี่ออกกำลังกายที่สวนหลวง ร. 9 ส่วนคุณมาออกกำลังกายที่สวนลุม เพราะบ้านเราอยู่คนละที่กัน ”

ด้วยความที่สนใจในสุขภาพนี่เองทำให้วันหนึ่งคุณตุ้ยบอกคุณแม่ว่าจะพาไปเที่ยวกาญจนบุรี   ทั้งที่ความจริงแล้วคือการพาไปเข้าคอร์สชีวจิต (รุ่นที่ 13 ต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา) “ บอกคุณแม่ว่าจะพาไปเที่ยว  ให้เอาชุดออกกำลังกายไปด้วยเผื่อเดินเล่นตอนเช้าคุณแม่ก็นึกสงสัยแต่ไม่ได้ว่าอะไร   ก่อนไปคอร์สพี่ก็อ่านหนังสือชีวจิตมา 2-3 ปีแล้ว ให้คุณแม่อ่านด้วย เช่น   ‘มะเร็งแห่งชีวิต’  ….เอา  ‘กูแน่’ ไปให้คุณแม่   คุณแม่บอก  ‘แม่ไม่แน่’  ไม่อ่านหรอก”

นั่นเป็นความคิดของคุณแม่วิไลวรรณก่อนรู้จักกับชีวจิตจริงๆ แต่หลังจากได้เข้าคอร์สแล้ว  คุณแม่กลับเกิดความรู้สึกที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ “  รู้สึกดีกับการไปเข้าคอร์สครั้งนี้ กลับมาซื้อถุงทำดีท็อกซ์แจกเขาทั่วไปหมด   ชอบที่อาจารย์สอนเรื่องรีแลกซ์เซชั่น  การคลายเครียด  ทำให้หลับง่าย  ตามธรรมดาแล้วคนสูงอายุนี่หลับยากมาก  ไม่ว่าจะบริหารอย่างไรก็ยังหลับยาก  แล้วการทำดีท็อกซ์ก็ทำให้รู้สึกโล่งเบา กระปรี้กระเปร่า    ตามธรรมชาติของคนสูงอายุเนี่ยอยากจะยึดเอาที่นอน  หรืออยากนั่งเฉยๆ  เมื่อยๆ ซึมๆ เซาๆ  แต่สำหรับแม่ไม่เป็น  อีกอย่างเห็นอาจารย์สาทิสแล้วทำให้เรากระตือรือล้นขึ้น  ท่านยังดูหนุ่มและแข็งแรงมาก  ตอนนี้เวลาจะทานอะไรจะนึกถึงอาจารย์ก่อนอันไหนควรทานหรือไม่ควรทาน ”

ส่วนตัวคุณตุ้ยเองได้เล่าให้ฟังว่า “ หลังจากไปคอร์สชีวจิตแล้ว   กลับมาทำกิจกรรมหมดเลย  ดีท็อกซ์  รำกระบอง  ระวังเรื่องอาหารมากขึ้น  ทานข้าวกล้อง ดื่มน้ำอาร์ซี    …ทานชีส ทานมันนี่งดหมดเลย  จนลืมไอศกรีมไปเลย  ที่สำคัญไม่ดื่มกาแฟเลย  ตอนนี้เลิกพกยาลดแก๊สแล้วตั้งแต่มาทานอาหารชีวจิต ที่สำคัญพี่เองเป็นประธานชมรมผู้สูงอายุในชุมชน ซึ่งมีด้วยกัน  200คน  กิจกรรมที่ทำเป็นการออกกำลังกาย เช่น เต้นแอร์โรบิค  รำไทเก็ก  ตอนนี้กำลังรวบรวมคนจะรำกระบองที่แฟลต ส่วนที่สวนหลวงฯ ก็มีอยู่แล้วกลุ่มหนึ่ง”

“ ชีวจิตไม่ใช่การดูแลกายอย่างเดียวต้องดูแลจิตใจด้วย   เมื่อก่อนพี่เป็นคนเครียดง่าย  พอได้อ่านชีวจิตทำให้รู้ว่าเราต้องดูแลรักษาจิตใจด้วย  อย่างชีวจิตเล่มก่อนเขียนถึงเรื่องฤาษีขึ้นไปอยู่บนภูเขาแล้วกษัตริย์ขึ้นไปหาฤาษี    ถามว่าเวลาไหนเป็นเวลาที่ดีที่สุด  ฤาษีตอบว่า เวลาปัจจุบัน  ทำให้พี่ได้คิดว่าคนเราต้องเจอเรื่องเครียด  เรื่องเศร้าอยู่เป็นประจำทุกวัน    ปัญหาไหนที่เราแก้ไม่ได้เราก็ปล่อยมันไป  ปัญหามันก็เหมือนเมฆมันก็มีน้ำฝนตกลงมาเปียกเราบ้าง   ทีนี้พี่เลยคิดใหม่ เมื่อวานมันก็ผ่านไปแล้ว   พรุ่งนี้ก็ยังมาไม่ถึง  เราต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด”

นับได้ว่าเป็นคำพูดที่ช่วยยืนยันได้ดีที่สุดว่าทำไมสองแม่ลูกคู่นี้จึงดูสดชื่นกระฉับกระเฉง  เมื่อร่างกายแข็งแรง  จิตใจได้รับการดูแลเป็นอย่างดี  จะอายุ  47  หรือ  74  ก็แข็งแรงทั้งกายและใจได้เหมือนกันค่ะ     

ข้อมูลเรื่อง “ในชีวิต …. ไม่เคยหัวเราะอย่างมี ความสุข อย่างนี้” จากนิตยสารชีวจิต ฉบับที่ … เรื่องโดย: กองบรรณาธิการ

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.