เข้มงวด เจ้าระเบียบ
การเป็นคนมีระเบียบวินัยนั้นถือเป็นสิ่งที่ดี แต่หากใครที่ยึดถือกฎเกณฑ์ต่างๆอย่างเคร่งครัดเกินไป จนไม่เคยรู้จักคำว่า “ยืดหยุ่น” บ้าง ก็อาจก่อความเครียดให้ตัวเองได้
เนื่องจากคนที่มีนิสัยเจ้าระเบียบมักจะชอบเคี่ยวเข็ญตัวเองให้ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบตลอดเวลา นอกจากนั้นยังคาดหวังว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว เช่น ครอบครัว เพื่อนร่วมงานองค์กร ฯลฯ จะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับต่างๆ ด้วยเช่นกัน บางครั้งคนกลุ่มนี้จึงติดนิสัยเผด็จการ ชอบบังคับให้คนอื่นทำทุกอย่างตามมาตรฐานของตนเอง
ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตยังบอกด้วยว่า การเป็นคนเจ้าระเบียบมากเกินไปมีส่วนทำให้ความสุขในชีวิตลดลง เพราะคนประเภทนี้ยึดถือแนวคิดในการทำงานแบบเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ จึงต้องทำงานหนักและเหนื่อยกว่าคนอื่นหลายเท่า เพื่อให้ผลงานออกมาสมบูรณ์แบบทุกกระเบียดนิ้ว อีกทั้งการไม่รู้จักยืดหยุ่นและชอบคาดหวังให้ผู้อื่นทำทุกอย่างตามมาตรฐานของตัวเอง ยังทำให้คนกลุ่มนี้หงุดหงิดง่าย เพราะเมื่อใดที่ต้องทำงานร่วมกับคนที่มีแนวทางปฏิบัติต่างจากตนเอง พวกเขาจะรู้สึกไม่พอใจอยู่เสมอ โดยไม่เคยย้อนกลับมาคิดว่า
มนุษย์แต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน จนทำให้ตนต้องแบกรับความเครียดไปโดยไม่รู้ตัว และเป็นสาเหตุก่อโรคหัวใจและโรคอื่นๆ เช่น ไมเกรน ความดันโลหิตสูงตามมา
เวิร์คกิ้งวูแมนตัวแม่
“ทำงานตัวเป็นเกลียว หัวเป็นนอต” คือนิยามของคนทำงานยุคนี้ และดูเหมือนว่าค่านิยมในการทำงานหนักจะเป็นสิ่งที่ใช้วัดคุณค่าของคนได้เป็นอย่างดี แต่เชื่อหรือไม่คะว่า การมุ่งมั่นทำงานหนักจนไม่มีเวลาพักผ่อนแบบนี้ นอกจากจะทำให้เสียสุขภาพแล้ว ยังส่งผลรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต!
เรื่องนี้ชีวจิตไม่ได้โม้ แต่การทำงานหนักจนตายมีกรณีศึกษาให้เห็นกันจริงๆในแดนปลาดิบ โดยมีการค้นพบโรคชนิดหนึ่งชื่อว่า โรคคาโรชิ(Karochi Syndrome) ที่หมายถึงการเสียชีวิตเพราะทำงานหนัก
โรคที่ว่านี้เกิดจากลักษณะนิสัยของชาวญี่ปุ่นที่มีความมุ่งมั่นกับการทำงานเป็นอย่างมาก บางคนก็ทุ่มเทให้การทำงานล่วงเวลาจนไม่ยอมพักผ่อนและเกิดความเครียดสะสม ซึ่งเป็นเหตุให้หัวใจและสมองต้องทำงานหนักมากขึ้น นำไปสู่การเกิดโรคคาโรชิ ซึ่งมีอาการคล้ายกับโรคใหลตาย คือนอนหลับแล้วเสียชีวิตไปเฉยๆบนโต๊ะทำงานหรือสถานที่ต่างๆ เช่น รถไฟฟ้า สวนสาธารณะ ฯลฯ แค่คิดภาพตามก็น่ากลัวแล้วค่ะ
ประหม่า กังวล ตีตนไปก่อนไข้
หลายคนเคยมีอาการหัวใจเต้นแรง หายใจติดๆขัดๆ เหงื่อออก และมือไม้สั่น ในเวลาที่รู้สึกกลัว วิตกกังวล หรือประหม่าเมื่อต้องทำอะไรต่อหน้าคนหมู่มาก ซึ่งอาการดังที่กล่าวมาคงเป็นตัวบ่งบอกได้ว่า ลักษณะนิสัยของคนกลุ่มนี้มีส่วนเชื่อมโยงกับหัวใจอย่างไร
ดังที่ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม และดร.ปรัชญา ปิยะมโนธรรม สองนักจิตวิทยาชื่อดัง กล่าวไว้ในหนังสือ พัฒนาจิตพิชิตงานว่า คนทำงานที่มีนิสัยขี้กลัว ขี้ประหม่า จะรู้สึกอึดอัดและเครียดง่ายกว่าคนทั่วไป เพราะพวกเขามักจะคิดว่าตัวเองถูกจับจ้องอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น สุดท้ายจึงต้องเก็บทุกอย่างไปคิดมากและร้องไห้ตามลำพัง
จนกลายเป็นคนเก็บกด ซึ่งส่งผลเสียต่อทั้งร่างกายและจิตใจ
ส่วนในวารสารอเมริกัน คอลเลจ ออฟ คาร์ดิโอโลจี (Journal of the American College of Cardiology) ได้ระบุเช่นกันว่า การวิตกกังวลกับสิ่งต่างๆเกินกว่าเหตุมีส่วนก่อโรคหัวใจและทำให้ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเสียชีวิตเร็วขึ้น
เนื่องจากระดับความวิตกกังวลส่งผลให้ผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นทางผ่านของเลือดและออกซิเจนที่จะส่งไปเลี้ยงหัวใจเกิดการอุดตัน จนก่อให้เกิดอาการหัวใจวายและเจ็บแน่นหน้าอกเพราะหลอดเลือดหัวใจตีบได้
ขี้น้อยใจ
ใครๆก็เคยน้อยใจกันทั้งนั้น แต่หากคุณผู้อ่านท่านใดที่มักจะเก็บทุกสิ่งทุกอย่างมาน้อยใจ หรือรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยค่าอยู่บ่อยๆจนแทบจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน คงต้องคอยระวังโรคหัวใจถามหา
เพราะข้อมูลจากมหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอน (University College London) ประเทศอังกฤษ ได้ทำการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและอาจหัวใจวายง่ายกว่าคนทั่วไป
การศึกษาครั้งนี้มีการสอบถามกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นข้าราชการที่ทำงานให้รัฐบาลอังกฤษ จำนวน 8,000 คน ปรากฏว่า กลุ่มตัวอย่างที่เห็นด้วยกับประโยคที่ว่า “ผม/ดิฉันมีความรู้สึกว่าตัวเองได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม” จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจสูง เนื่องจากความไม่พอใจที่ไม่ได้รับสิ่งต่างๆตามความคาดหวังจนต้องเก็บไปทุกข์ คิดมาก และเกิดความเครียดตามมาจึงส่งผลเสียต่อการทำงานของหัวใจค่ะ
ชอบคิดลบ
นิสัยสุดเสี่ยงในข้อสุดท้ายที่อันตรายไม่แพ้ข้ออื่น คือ การชอบคิดลบ มองโลกใบนี้เป็นสีดำมืดไปหมด จนบางคนอาจถึงขั้นคิดไปเองว่าชีวิตของเราช่างไร้ความสุขเสียจริงๆ คนที่ชอบคิดลบแบบนี้จึงเกิดความเครียดและซึมเศร้าได้ง่าย จนเป็นเหตุให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น
ดังที่วารสาร ไซโคโลจิคอล บูลเลติน (Psychological Bulletin) ระบุถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งกล่าวว่า การมองโลกในแง่ดีช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ คนที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจึงมักจะมีสุขภาพดีตามไปด้วย ซึ่งตรงข้ามกับคนที่ชอบมองโลกในแง่ร้าย เพราะนอกจากคนกลุ่มนี้จะมีหน้าตาหมองหม่นไม่สดใสแล้ว ทัศนคติที่เป็นลบยังส่งผลให้เกิดความเครียดง่ายและทำให้หัวใจทำงานผิดปกติ
ผลวิจัยยังอธิบายเพิ่มเติมว่า การหัวเราะที่ออกมาจากใจจริงบ่อยๆยังมีส่วนช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดที่หัวใจให้ดียิ่งขึ้น
ดังนั้น ผู้ที่มักจะคิดลบจนไม่ค่อยได้หัวเราะจึงเท่ากับเป็นการทำให้หัวใจอ่อนแอลงในทางอ้อมด้วย จึงยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจค่ะ
เครดิท : WHO
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
12 อาหารต้านเครียด รับรองกินแล้วอารมณ์ดี ไม่เหวี่ยงวีน
วิธีแก้ ออฟฟิศซินโดรม ด้วยท่าออกกำลังกายแบบง่ายๆ
เรื่องต้องรู้ ก่อนนวดรักษา โรคออฟฟิศซินโดรม