Digital Detox : เทรนด์ใหม่มาเเรงแซงทุกโปรแกรมออนไลน์
Digital Detox (ดิจิตัล ดีท็อก) คือ การบำบัดอาการเสพติดเทคโนโลยี หรือเว้นวรรคพักการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั่วคราว โดยเริ่มจากหยุดเล่น หยุดแชท หยุดไลฟ์ ห่างจากโลกโซเชียล เพื่อให้ร่างกายได้คุ้นชินกับความไม่มี
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. David Greenfield คลินิกด้านจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัย University of Connecticut และผู้ก่อตั้งศูนย์ Internet and Technology Addiction พบว่า
“ปัจจุบันคนอเมริกันมีความสนใจเรื่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ลดลง เพราะมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น เหลือเพียงแค่ 8 วินาทีเท่านั้น (จาก 12 วินาที) ซึ่งสั้นกว่าความสนใจของปลาทองเสียอีก”
การศึกษาจากสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน พบว่า
“เกือบ 1 ใน 5 ของคน พูดว่าเทคโนโลยีเป็นแหล่งความเครียด ส่งผลกระทบต่อร่างกายเเละสุขภาพ จากอาการปวดคอ ริ้วรอย ไปจนถึงความดันโลหิตสูง”
แต่เเน่ใจหรือว่าคุณจะยอมแพ้ หยุดเล่นโทรศัพท์ โซเชียล ออนไลน์ได้จริง?
“ผู้เชี่ยวชาญยอมรับว่าเราไม่จำเป็นต้องเลิกใช้โทรศัพท์อย่างถาวร เพียงแต่ต้องรู้จักวางโทรศัพท์จากมือให้ได้”
10 วิธีเข้าสู่ การดีท็อกซ์ (Digital Detox)
ชีวจิตออนไลน์ รวบรวมข้อมูลที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเป็นวิธีการที่ดีที่จะนำไปสู่วิธีการห่างไกลจากเทคโนโลยี สังคอมออนไลน์ ได้ง่ายที่สุด แถมไม่ทำลายความสัมพันธ์กับคนรอบๆข้างด้วย
1.ปิดการแจ้งเตือนโทรศัพท์
ถึงเเม้เราจะได้รับรู้ข้อมูล อัพเดท แบบทันถ่วงที ไม่ตกข่าว เเละอยู่ในกระเเสตลอดเวลานั้นเป็นเรื่องที่ดี เเต่ในบางครั้งก็อาจทำให้เราเสียสมาธิได้เช่นกัน ลองยอมวางโทรศัพท์ ปิดการเเจ้งเตือน หยุดสนใจสัก 5 ครั้ง ใน 30 นาที
ดร. Jesse Fox หัวหน้าฝ่ายสิ่งแวดล้อมเสมือนเทคโนโลยีการสื่อสาร และการวิจัยออนไลน์ของมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮ ระบุว่า
“การแก้ไขที่ง่ายแสนง่ายที่สุด คือการปิดการเเจ้งเตือนให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้”
2. เปลี่ยนการแสดงผลหน้าจอเป็นขาวดำ
เหตุผลหนึ่งที่อุปกรณ์ของเรามีเสน่ห์น่าสนใจ และดึงดูดสายตานั่นคือ มันมีชีวิตชีวา มีสีสัน น่าติดตาม เเต่ตอนนี้สมาร์ทโฟนหลายเครื่องมีฟังกชั่นที่สามาราถอนุญาตให้เราเปลี่ยนการตั้งค่าเพื่อให้โทรศัพท์ทั้งหมดปรากฏเป็นสีเทา หรือขาวดำได้ด้วย
3. วางโทรศัพท์ระหว่างมื้ออาหาร
ปกติเวลากินอาหารเรามักวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะอาหาร ข้างจานข้าวถูกมั๊ย มีงานวิจัยระบุว่า
“แม้ว่าเราจะไม่ได้ตรวจสอบ หยิบจับโทรศัพท์ขึ้นมา เพียงแค่วางไว้บนโต๊ะในระหว่างการประชุมสามารถลดคุณภาพของการประชุมได้ เพราะสมองของเรากำลังรอให้ไฟสว่างขึ้น และเป็นผลให้เราไม่ได้โฟกัสการประชุมได้อย่างเต็มที่”
ยังไงก็ลองเปลี่ยนที่วางโทรศัพท์ดูนะคะ ฮ่าๆๆ
4. กำหนดเวลาหยุดเล่น
หลายคนอาจจะรู้สึกเซ็ง เพราะไม่มีอุปกรณ์ให้แชท ให้เล่น แต่การหยุดพักจากเทคโนโลยีสามารถทำให้ความเป็นอยู่ของเราดีขึ้นได้ ไม่กระทบต่อการทำงาน และสุขภาพด้วย
ศาสตราจารย์ ดร. Adam Alter มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก แนะนำว่า
“ให้เริ่มต้นด้วยการกำหนดเวลาที่แน่นอนในแต่ละวัน ที่ปราศจากเทคโนโลยีเหมือนในขณะที่คุณกำลังกินอาหารกลางวัน หลังจากนั้นสังเกตุว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรหลังจากเปลี่ยนแปลงไป 1 สัปดาห์หรือมากกว่านั้น เพราะ คนส่วนใหญ่จะรู้สึกมีความสุขกับการเปลี่ยนแปลงและพวกเขาก็จะขยายจำกัดเวลาเสพย์ติดไปเรื่อยๆ”
5. ปรับห้องนอน ให้ปลอดเทคโนโลยีทุกประเภท
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. David Greenfield ระบุว่า
“ คนส่วนใหญ่ใช้โทรศัพท์เป็นนาฬิกาปลุก”
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราพยายามเอื้อมมือปิดเสียงเตือนจากโทรศัพท์ มันจะเริ่มเลื่อนผ่าน อ่าน Twitter Facebook ได้ง่าย ความจริงสิ่งที่ดีที่สุด
ถ้าสามารถวางโทรศัพท์ไว้นอกห้องนอนตอนกลางคืนและลงทุนซื้อนาฬิกาปลุกมาใช้แทนโทรศัพท์ก็จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะนอกจากนี้ การไม่มีเเสงจากโทรศัพท์ ยังช่วยให้การนอนหลับดีขึ้นด้วย เพราะแสงสีฟ้าของหน้าจอหลอกสมองของเราให้คิดว่าเป็นเวลากลางวัน อาจทำให้กลไกชีวภาพของร่างกายสับสนได้
6. เปลี่ยนมาอ่านในกระดาษ แทนการอ่านในโทรศัพท์หรือแท็บเล็ต
ถ้าใครชื่นชอบการอ่านหนังสือจะรู้สึกพึงพอใจและชอบ มากกว่าการอ่านบนแท็บเล็ต มีข้อมูลการวิจัยระบุว่า
“เมื่อเราอ่านหนังสือบนกระดาษ จิตใจของเราจะประมวลผลข้อมูลนามธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
ยังไงก็ลองเปลี่ยนมาอ่านหนังสือดีกว่าอ่านบนหน้าจอโทรศัพท์นะคะ
7. จำกัด ตัวเองไว้ที่ 1 หน้าจอในการอ่านแต่ละครั้ง
แค่คิดจะทำงานสักอย่าง หลายคนก็เริ่มเลื่อนผ่าน Instagram ไปเรื่อยๆ ส่งผลให้สมองของเราจะยุ่งเหยิง สับสนเล็กน้อย ดร. Jesse Fox ระบุว่า
“ การทำงานหลายอย่างนั้นไม่ดีสำหรับเราจริงๆ หากเรากำลังมุ่งเน้นไปที่งานและต้องเสียสมาธิ จากการเลื่อนโทรศัพท์ เพราะการคลิ๊กออกไปหลายหน้า มันใช้เวลาหลายนาที ในการที่สมองจะปรับให้กลับไปเป็นเรื่องเดิม การสร้างนิสัยในการดูทีละหน้าจอ ช่วยปรับปรุงให้สมาธิของเราดีขึ้น”
8. ทำความสะอาดบัญชีโซเชียลมีเดีย
ในโลกออนไลน์ Facebook และ Instagram อาจช่วยให้เราเชื่อมต่อกับผู้คนในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนก็จริง แต่มีงานวิจัย ระบุว่า
“ยิ่งเราใช้เวลากับโซเชียลมีเดียมากเท่าไหร่ จะทำให้เรายิ่งรู้สึกแย่ลง ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลย เพราะเราเห็นชีวิตของเพื่อน หรือคนดังในโลกออนไลน์ที่ดีกว่ตัวเอง อาจนำไปสู่การเลียนแบบ ขาดความมั่นใจในตัวเองได้”
9. ดาวน์โหลดแอพที่เหมาะสม
หลายคนอาจรู้สึกว่าตัวเองติดโทรศัพท์มาก การใช้อุปกรณ์และแอพที่เหมาะสม โดยเลือกสิ่งที่ตัวเองชอบ เเละจำเป็นเท่านั้น เช่น แอพ Moment สามารถติดตามความถี่ที่การใช้ iPhone และ iPad ในแต่ละวันได้ และช่วยให้คุณกำหนดขีดจำกัด รายวันได้ ว่าจะใช้เวลากับมันเท่าไหร่
แอพ Freedom ช่วยให้เราบล็อกเว็บไซต์ใดก็ได้ที่ทำให้เราเสียสมาธิบนอุปกรณ์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ โดยมีเป้าหมายช่วยให้เราโฟกัส และ แอพ Off Time ช่วยให้สามารถบล็อกการโทรข้อความและการแจ้งเตือน คล้ายกับการไปเปลี่ยนการตั้งค่า“ ห้ามรบกวน” ของ iPhone
10. รักษาสุขภาพ ก่อนเป็นออฟฟิศซินโดรม
คนอเมริกันโดยเฉลี่ยใช้เวลาเกือบครึ่งหนึ่งของทุกวันที่จ้องมองหน้าจอ และบางครั้ง เพื่อต่อสู้กับอาการปวดตาที่รุมเร้า อาจทำให้เกิดตาแห้ง มองเห็นไม่ชัด และปวดหัวได้
แนะนำให้ปฏิบัติตามกฎ 20-20-20 ดังนี้
“ทุก ๆ 20 นาทีที่คุณมองที่หน้าจอให้มองและมองวัตถุ 20 ฟุตในระยะทางเป็นเวลา 20 วินาที นอกจากนี้อย่าลืมกะพริบตาบ่อยด้วยนะ”
นอกจากนี้พยายามถือโทรศัพท์ให้สูงขึ้น เพื่อจะได้มองเห็นได้ตรงๆชัดๆ ไม่ต้องปวดเมื่อคอเวลาจ้อง และหลีกเลี่ยงการใช้นิ้วหัวแม่มือ กดหรือจิ้มบ่อยเกินไป พยายามปรับเปลี่ยนใช้งานนิ้วอื่นจิ้มด้วย เพราสามารถทำให้เกิดการอักเสบและเจ็บปวดกล้ามเนื้อและข้อนิ้วมือได้
เราหวังว่า การทำดิจิตัลดีท็อก ทั้ง 10 ข้อนี้ จะช่วยให้คุณมีความสุขกับการใช้ชีวิตเเละใช้งานอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ และท่องโลกออนไลน์ได้อย่างไม่ป่วยนะคะ
อ้างอิง Health.com
เทรนด์น่าสนใจ 2020
Plant-based : เทรนด์อาหารมาแรงที่สุดในปี 2020
เทรนด์สุขภาพคนไทย 2020 ที่น่าจับตามองที่สุด 10 อันดับ
รวมเทรนด์ ความเชื่อสุขภาพ ที่ไม่ค่อยสุขภาพเท่าไรนัก