ยาแก้ไอ เลือกใช้แบบไหนจึงเหมาะกับอาการที่เกิดขึ้นกับเรามากที่สุด
ยาแก้ไอ มีให้เลือกมากมายหลายชนิด และแม้ว่าการใช้ยาบรรเทาอาการไอจะเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ แต่บางครั้งก็มีความจำเป็น เนื่องจากอาการไอรบกวนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก
ข้อมูลจาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ระบุว่า
ยาบรรเทาอาการไอแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
1. ยาลดหรือระงับอาการไอ
ยาอาจออกฤทธิ์ที่จุดรับสัญญาณการไอส่วนปลาย หรือออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลางของสมองที่ควบคุมอาการไอ เช่น dextrometrophan, codeine (codeine เป็นยาควบคุม การซื้อยาชนิดนี้จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์) ควรเลือกใช้ในผู้ป่วยที่ไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ เพราะถ้ากดอาการไอมากๆ โดยเฉพาะในเด็ก เสมหะอาจอุดตันหลอดลม ทำให้ไอมากขึ้น
2. ยาขับเสมหะ
ถ้าเหตุของการไอเกิดจากเสมหะ การกระตุ้นให้ขับเสมหะออกไป จะช่วยให้อาการไอดีขึ้น โดยยาจะไปกระตุ้นการทำงานของเยื่อบุในระบบทางเดินหายใจในการกำจัดเสมหะ เพิ่มปริมาณสารคัดหลั่งในระบบทางเดินหายใจ ทำให้ปริมาณเสมหะมากขึ้น จึงไอเอาเสมหะออกมาได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น potassium guaiacol sulphonate, terpin hydrate, ammonium chloride ควรเลือกใช้ในผู้ป่วยที่ไอแบบมีเสมหะ
3. ยาละลายเสมหะ
ช่วยลดความเหนียวของเสมหะ ทำให้ร่างกายสามารถขับเสมหะออกมาได้ง่ายขึ้น เช่น ambroxol hydrochloride, bromhexine, carbocysteine ควรเลือกใช้ในผู้ป่วยที่ไอแบบมีเสมหะ บางครั้งนิยมใช้ร่วมกับยาขับเสมหะ อย่างไรก็ตามยาละลายเสมหะที่ดีที่สุดก็คือ “น้ำเปล่า” นั่นเอง
กล่าวโดยสรุปคืออาการไอเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรคไม่ร้ายแรง เช่น หวัด คออักเสบ หรือหลอดลมอักเสบ และโรคร้ายแรง เช่น ปอดอักเสบ เนื้องอกบริเวณลำคอ กล่องเสียง หรือหลอดลม หากผู้ป่วยไม่ได้รับการวินิจฉัยหาสาเหตุที่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นหากได้รับการรักษาเบื้องต้นแล้วอาการไอไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์
บทความอื่นที่น่าสนใจ
มะขามป้อม “สุดยอดยาไทย” ชุ่มคอ แก้ไอ เพิ่มภูมิต้านทาน
วิธีกินต้านหวัด แก้ไอ เจ็บคอ และอาการที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
DIY ยาแก้ไอมะกรูด สูตรโฮเมดทำเองได้ง่ายจัง